14 พ.ย. 2021 เวลา 13:17 • หนังสือ
คุณรู้หรือไม่ว่า...แค่ตั้งเป้าหมายบางทีอาจไม่พอให้คุณประสบความสำเร็จ แต่คุณต้องรู้วิธีการปลดล็อค “การทำให้เป้าหมายทำงานเพื่อคุณ” ด้วย คำถามคือ คุณรู้วิธีนั้นแล้วหรือยัง?
สรุปหนังสือ 7 Strategies for Wealth and Happiness ตอนที่ 4
1
#กลยุทธ์ที่ 1: ปลดปล่อยอำนาจของเป้าหมาย
บทที่ 1: คุณได้รู้จักความหมายของ 5 คำสำคัญไปแล้ว นั่นคือ ความพื้นฐาน ความมั่งคั่ง ความสุข ความมีวินัย และความสำเร็จ
บทที่ 2: คุณรู้แล้วว่า “อะไรคือสิ่งกระตุ้นอย่างรุนแรง” หรือ “เหตุผลสำคัญ” ที่เป็นแรงผลักดันให้ชีวิตของคุณต้องมีบัญชีรายการเป้าหมาย
บทที่ 3: คุณรู้ “วิธีการตั้งเป้าหมายระยะยาว” รวมไปถึงความหมายที่แท้จริงของ “เป้าหมายระยะสั้น” แล้ว
ในบทนี้แอดก็จะมาเล่าต่อถึงวิธีการที่จะทำให้เป้าหมายต่างๆ ที่เราตั้งไว้นั้น ทำงานเพื่อกันเราค่ะ
“หากไร้ซึ่งความฝันและจินตนาการ เราตาย” นี่คือคำกล่าวที่อยู่ในคัมภีร์ไบเบิล
1
ด้วยความฝัน เราสามารถถูกเปลี่ยนไปอยู่ในเส้นทางพิเศษและไม่เคยมีมาก่อน จิมบอกว่า...ในบทที่ผ่านมาเขาได้แสดงให้เราเห็นถึงวิธีเลือกเป้าหมาย แล้วเริ่มต้นเอื้อมไปคว้ามัน ตอนนี้เราจะได้เรียนรู้วิธีปล่อยให้ความฝันเปลี่ยนชีวิตจริงๆ ของเรากันค่ะ
สิ่งที่จำเป็นต้องเข้าใจคือ ทันทีที่คุณตั้งเป้าหมายซึ่งมีความสำคัญต่อคุณจริงๆ แล้ว คุณจะไม่เป็นคนเดิมอีกต่อไป เป้าหมายที่แท้จริงจะมีผลกระทบเกือบทุกอย่างที่คุณทำตลอดทั้งวัน และมันจะอยู่กับคุณไม่ว่าคุณจะไปที่ไหนก็ตาม
แต่สำหรับเป้าหมายที่จะ “ขับเคลื่อน” คุณได้จริงๆ เป้าหมายที่จะรับผิดชอบต่อชีวิตของคุณได้ มันต้องมีคุณค่า
คำแนะนำของจิมคือ...
1
เพื่อที่จะให้เป้าหมายของคุณเปลี่ยนแปลงตัวคุณ คุณต้องตั้งมันให้สูงไว้ ตั้งมันให้ไกลเกินเอื้อมพอที่จะทำให้คุณเติบโตและเหยียดสูงขึ้นไป : ตั้งมันให้สูงพอที่จะปลุกเร้าจินตนาการของคุณและกระตุ้นให้คุณเกิดการกระทำ
1
แต่เช่นเดียวกับที่คุณต้องตั้งเป้าหมายให้สูงพอที่จะดึงคุณขึ้นไป จงอย่าตั้งมันให้ห่างไกลจากคุณมากจนคุณเสียกำลังใจไปก่อนที่คุณจะเริ่มต้น
คุณพร้อมที่จะเดินตามความฝันของคุณหรือยังคะ? ถ้าพร้อมแล้วไปกันเลยค่ะ!!!
7 ปัจจัยที่ต้องรู้ เพื่อปลดล็อค “การทำให้เป้าหมายทำงานเพื่อคุณ”
จิมบอกว่า...
คุณค่าที่แท้จริงในการตั้งเป้าหมาย ไม่ใช่การบรรลุมัน การได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ ที่คุณต้องการเป็นเรื่องที่มีความสำคัญรองลงมาอ เหตุผลหลักในการตั้งเป้าหมาย คือ “การบังคับให้คุณเปลี่ยนเป็นคนที่คุณต้องเป็นเพื่อที่จะบรรลุมัน”
3
เขาขยายความ โดยอธิบายต่อไปในลักษณะถาม-ตอบ
Q: อะไรที่คุณคิดว่าคือคุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน? มันคือเงิน 1 ล้านหรือ?
A: จิมตอบว่า...เขาไม่คิดเช่นนั้น เขาบอกว่า คุณค่าที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอยู่ในทักษะ ความรู้ วินัย และคุณสมบัติของผู้นำที่คุณจะพัฒนาในการไปสู่สถานภาพที่สูงขึ้นนั้นมันคือประสบการณ์ที่คุณจะได้มา ในการวางแผนและการพัฒนากลยุทธ์ มันคือความเข้มแข็งภายในที่คุณจะพัฒนา เพื่อให้มีความกล้าหาญ ความเชื่อมั่นอันแรงกล้า และกำลังใจเพียงพอที่จะดึงดูดเงิน 1 ล้าน
7
Q: ถ้าให้เงิน 1 ล้านกับใครบางคนซึ่งไม่ได้เป็นเจ้าของทัศนคติของเศรษฐีเงินล้าน คนผู้นั้นมักจะสูญเสียมันไปเป็นส่วนใหญ่ แต่กลับกันถ้าเอาความมั่งคั่งทั้งหมดไปจากเศรษฐีเงินล้านที่แท้จริง เขาหรือเธอจะสร้างความมั่งคั่งได้ทันที ทำไมหรือ?
2
A: เพราะว่าคนซึ่งได้สถานภาพเศรษฐีเงินล้านของพวกเขามา ได้พัฒนาทักษะ ความรู้และประสบการณ์เพื่อที่จะทำกระบวนการเดิมซ้ำครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเอง
1
ดังนั้น เมื่อคนบางคนกลายเป็นเศรษฐีเงินล้าน “สิ่งที่มีความสำคัญน้อยที่สุดคือสิ่งที่พวกเขามี แต่สิ่งที่มีความสำคัญมากที่สุดคือ สิ่งที่พวกเขาเปลี่ยนไปเป็น"
จิมแนะนำให้เราถามคำตอบสำคัญกับตัวเองคือ... คนประเภทไหนที่คุณจะต้องเป็นเพื่อให้ได้ทุกสิ่งที่คุณต้องการ? จิมแนะนำให้เขียนคำตอบของคำถามนี้ลงในสมุดโน้ตด้วย รวมทั้งเขียนประเภทของทักษะที่คุณจำเป็นที่จะต้องพัฒนาและความรู้ที่คุณจำเป็นที่จะต้องได้รับลงไป คำตอบจะให้เป้าหมายใหม่บางอย่างแก่คุณเพื่อการพัฒนาส่วนตัว
จงจำกฎข้อนี้ไว้ : “รายได้ยากที่จะสูงกว่าการพัฒนาที่เกิดขึ้นกับตัวเอง” นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราทุกคนจึงต้องทำให้ตัวเราได้รับการเปลี่ยนแปลงด้วยการสำรวจตัวเอง
2
จิมบอกว่า...คนเป็นจำนวนมากกลัวที่จะเริ่มต้นเพราะความล้มเหลวและความเจ็บปวดในอดีต
1
สิ่งที่เขาอยากจะบอกกับเราก็คือ “ไม่มีอะไรที่เราสามารถทำเกี่ยวกับอดีตได้ มันตายและถูกฝังไปแล้ว” แต่คุณสามารถทำได้มากมายเกี่ยวกับอนาคตของคุณ คุณไม่ต้องเคยเป็นคนที่คุณเป็นเมื่อวานนี้ คุณสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในชีวิตของคุณได้ ถ้าคุณเพียงแต่ให้โอกาสแก่ตัวคุณเอง
2
ดันนั้น จงเริ่มต้นเพื่อตัวคุณเอง ให้โอกาสตัวคุณเองที่จะเปลี่ยนเป็นทั้งหมดที่คุณสามารถเปลี่ยนไปเป็น และประสบความสำเร็จในทั้งหมดที่คุณสามารถประสบความสำเร็จได้
2
การบริหารเวลา เป็นเรื่องที่นิยมพูดกันในปัจจุบัน ว่าทำอย่างไรจึงจะใช้เวลาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น แล้วคุณล่ะ? คุณอยากบริหารเวลาได้ดีขึ้นไหม? ถ้าเช่นนั้นแล้ว คุณจำเป็นต้องเข้าใจสิ่งนี้
ถ้าคุณไม่มีเป้าหมาย มันก็เป็นไปไม่ได้ที่จะบริหารเวลาของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ ผลิตภาพ คือผลของวัตถุประสงค์ที่แน่นอนชัดเจน การจัดสรรเวลาไม่ใช่เรื่องสำคัญถ้าวัตถุประสงค์ไม่แน่นอนและไม่ได้ถูกปลูกฝังในจิตใจอย่างชัดเจน
จิมบอกว่ามันง่ายแค่นั้นเอง นี่คือหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ว่า ทำไมการเขียนเป้าหมายลงบนกระดาษจึงสำคัญมากๆ
เรื่องเล่าเกี่ยวกับ “ฤดูกาล”
1
สำหรับเกษตรกรแล้ว ฤดูใบไม้ผลิเป็นเวลาที่กระฉับกระเฉงที่สุดของเขา เมื่อมันเป็นเช่นนั้นแล้ว เขาจึงต้องทำงานต่อเนื่องกันอย่างไม่หยุดยั้ง โดยตื่นนอนก่อนพระอาทิตย์ขึ้น และยังคงทำงานอย่างตรากตรำต่อไปจนนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน เขาต้องให้เครื่องมือของเขาทำงานเต็มประสิทธิภาพ เพราะว่าเขามีเวลาจำกัดเพียงเล็กน้อยสำหรับการหว่านเมล็ดพันธุ์ของเขา แล้วก็มาถึงฤดูหนาว ฤดูที่มีงานน้อยลงจนทำให้เขาไม่ยุ่ง
จิมบอกว่า...มีบทเรียนหนึ่งในประเด็นนี้ คือ จงเรียนรู้ที่จะใช้ฤดูกาลของชีวิต จงตัดสินใจว่าเมื่อไหร่จะเคลื่อนไหวทำงาน และเมื่อไหร่จะเอนหลังพักผ่อน เมื่อไหร่จะถือเอาประโยชน์ เมื่อไหร่จะปล่อยให้สิ่งต่างๆ เคลื่อนผ่านไป
1
มันง่ายที่จะสูญเสียความรู้สึกตามธรรมชาติของการจัดลำดับสิ่งที่ต้องทำก่อนหลังและวงจรชีวิต อย่าปล่อยให้ปีหนึ่งปนไปกับปีอื่นๆ ในขบวนแห่ของงานและความรับผิดชอบที่ดูเหมือนไม่มีวันสิ้นสุด
2
จงดูแลฤดูกาลของตัวคุณเอง อย่างน้อยที่สุดก็เพื่อมิให้คุณสูญเสียการมองเห็นคุณค่าและสาระของชีวิต
เมื่อใดก็ตามที่คุณต้องตัดสินใจ ให้ถามตัวเองว่า...นี่เป็นเรื่องสำคัญหรือเรื่องไม่สำคัญ? ด้วยการถามคำถามนี้พร้อมกับเป้าหมายที่มีในใจคุณอยู่เสมอ คุณจะลดความเสี่ยงของการใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับแผนงานที่ไม่สำคัญ
1
แนวคิดเกี่ยวกับเรื่องสำคัญและเรื่องไม่สำคัญ มีการนำไปประยุกต์ใช้ให้เกิดประโยชน์ได้อีกทางหนึ่ง มันบอกด้วยว่าอย่าใช้เวลาส่วนน้อยกับเรื่องสำคัญ มันง่ายที่จะเอาคุณค่าทั้งหมดมาปนกัน ตัวอย่างเช่น พ่อแม่ใช้เวลา 3 ชั่วโมงดูทีวี และเพียง 10 นาทีเล่นกับลูกๆ เป็นต้น
1
และแนวคิดเดียวกันนี้ก็เอามาประยุกต์ใช้กับเรื่องเงินได้ด้วย อย่าใช้เงินส่วนใหญ่กับสิ่งไม่สำคัญ และในทางกลับกัน อย่าใช้เงินส่วนน้อยกับสิ่งสำคัญ ยกตัวอย่างเช่น คนบางคนใช้เงินจำนวนมหาศาลไปกับอาหารสำหรับร่างกายของพวกเขา และใช้เงินน้อยมากกับอาหารสำหรับจิตใจของพวกเขา เป็นต้น
การใช้เวลาและเงินที่ดีที่สุดมาจากการเพิ่มคุณค่าสูงสุดให้กับมัน มันเรียกว่าการลงทุนอย่างรอบคอบเพื่อผลตอบแทนสูงสุด
จิมบอกกับเราว่า...จงใส่ความตั้งใจสูงสุดลงไปในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำ เมื่อคุณเขียนจดหมาย จงมีสมาธิ พยายามแก้ปัญหาหรือ? จงมีสมาธิ กำลังสนทนาหรือ? ถูกต้อง จงมีสมาธิ คุณจะไม่เชื่อผลของการทำเช่นนี้ที่จะมีต่อชีวิตของคุณเลย
ตามธรรมชาติแล้ว มีเวลาที่จะปล่อยให้จิตใจของคุณล่องลอยไป แต่จงทำมันระหว่างเวลาที่คุณกันเอาไว้เป็นพิเศษสำหรับการทำเพียงแค่เรื่องนั้น และเมื่อคุณปล่อยให้จิตใจล่องลอยไป ก็ไม่ต้องทำอะไรอื่นเลย
1
ออกไปเดินเล่นบนชายหาด หรือขับรถไปบนภูเขา...ไปให้ไกลจากความกดดันของชีวิต ปล่อยให้สายลมพัดผ่านเส้นผมของคุณ แล้วปล่อยให้จิตใจของคุณทะยานไป นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคุณ แต่จงทำมันในเวลาที่คุณกำหนดไว้เท่านั้น เวลาอื่นนอนเหนือจากนี้ทั้งหมด จงมีสมาธิ
จิมบอกว่า...แม้แต่กับแผนของการกระทำที่ไตร่ตรองรอบคอบอย่างระมัดระวังมากที่สุดแล้วก็ตาม คุณก็จะไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ ทำไมจึงพูดแบบนี้หลังจากที่ใช้เวลาตั้งมากมายแสดงให้คุณเห็นวิธีที่จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ?
คำถามคือ...ทำไมคุณจึงจะไม่ได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณต้องการ?
เขาตอบว่า...ก็เพราะว่าโลกไม่ได้เป็นแบบนั้น บางเวลามันจะมีฝนลูกเห็บตกลงมาบนพืชผลของคุณ และฝนตกลงมาบนขบวนแห่ของคุณ บางเวลาปลวกของชีวิตจะกัดแทะฐานรากของคุณ
อย่างไรก็ตาม ข่าวดีคือว่า มีข่าวดีมากมายด้วยเช่นกัน ถ้าคุณทำตามคำแนะนำที่ได้ให้ไป คุณจะได้รับมากยิ่งกว่ามาก คุณมันจะได้รับมากกว่าที่คุณจะไม่ได้รับสิ่งที่คุณต้องการ และสิ่งเหล่านั้นเป็นแต้มต่อที่ดีทีเดียว
เป็นยังไงบ้างคะ อ่านมาถึงตรงนี้แล้ว แอดก็หวังว่าลูกเพจของแอดจะได้ปลดล็อควิธีการทำให้เป้าหมายทำงานเพื่อเราไปบ้างไม่มากก็น้อย
สำหรับตัวแอดเองคิดว่า...เราไม่มีทางรู้หรอกว่า เมื่อเราตั้งใจทำอย่างเต็มที่แล้ว เป้าหมายที่เราตั้งไว้นั้นสุดท้ายจะประสบความสำเร็จหรือไม่ บางทีมันก็เป็นเรื่องของจังหวะชีวิต รวมไปถึงปัจจัยหลายๆ อย่างด้วย
1
แต่ที่รู้แน่ๆ คือ ถ้าไม่เริ่มทำอะไรสักอย่าง ก็ไม่มีวันได้มาก และตราบใดที่เราไม่หยุดทำ ไม่หยุดความพยายาม แอดเชื่อว่าเรามีโอกาสเสมอค่ะ
โฆษณา