Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
สมองไหล
•
ติดตาม
15 พ.ย. 2021 เวลา 12:37 • ธุรกิจ
เด็ก 21 กับ ความฝันที่เป็นจริง
น้องวี เด็กหนุ่มวัย 21 ปี แบกความฝันอันริบหรี่ทัก Inbox เข้ามาปรึกษากับผม ว่าไม่รู้จะไปต่อยังไงดี เขามีความฝันอยากสร้างโรงเรียนสอนฟุตบอล แต่ไม่มีเงินทุนมากพอ ตอนนี้ก็เลยเปิดเพจเกี่ยวกับกีฬาฟุตบอลไปก่อน แต่ถึงกระนั่นเพจก็ทำมาเกือบ 2 ปีแล้ว ไม่มีวี่แววว่าจะโตขึ้นหรือเปลี่ยนเป็นธุรกิจได้เลย ตอนนี้ไม่รู้จะปรึกษาใคร ก็เลยลองทักเพจสมองไหลมาดู
1
หลังจากที่ผมตรวจเช็คอาการและให้คำปรึกษาไปเบื้องต้น ผมก็แนะนำน้องว่า ถ้าอยากประสบความสำเร็จ สิ่งที่ต้องสร้างให้เป็นนิสัย คือ การอ่านหนังสือ
ประกอบกับ ณ ตอนนั้น หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ ที่ผมเขียน เพิ่งจะเปิดตัวพอดี ซึ่งเนื้อหาทั้งหมดในเล่มนี้ ก็สามารถแก้ปัญหาที่น้องเจอได้ทุกอย่าง บวกกับผมตั้งใจเขียนเรื่องธุรกิจ การตลาด ให้ออกมาในภาษาที่เข้าใจง่ายๆ จึงคิดว่ามันน่าจะเหมาะสำหรับเป็นหนังสือเล่มแรกในชีวิตของน้องเขา
หลังจากผ่านไปแค่ 6 เดือน น้องก็ทักเข้ามาบอกผมว่า “ตอนนี้ความฝันแรกของเขาสำเร็จแล้ว ตอนนี้โรงเรียนสอนกีฬาฟุตบอลที่เคยเป็นได้แค่ฝันมันเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว ที่สำคัญ คือ มีสมาชิกเยาวชนมากกว่า 70 คน ต่อจากนี้เขาจะมุ่งมั่นสร้างสร้างเยาวชนที่ดี เพื่อสร้างนักฟุตบอล สร้างอาชีพให้แก่เด็กและบุคลากรในพื้นที่”
ขอบคุณหนังสือเล่มนี้ ที่ทำให้เขาสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้โดยไม่ต้องใช้เงินทุนเลย ตอนแรกคิดจะเลิกทำเพจไปแล้วด้วยซ้ำ ขอบคุณจริงๆ ที่หนังสือเล่มนี้ช่วยชุบชีวิตให้เขากลับมามีวันนี้ได้อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ผมกล่าวแสดงความยินดีกับน้องอย่างสุดซึ้ง พร้อมตอบไปว่า “ความสำเร็จทั้งหมดนี้ ผมมีส่วนแค่ครึ่งเดียว ที่มันสำเร็จได้ เพราะน้องตั้งใจจริง ลงมือทำจริงทุกกระบวนการ ทุกอย่างมันจึงผลิดอกออกผลและเบ่งบานขนาดนี้”
และเพื่อให้ทุกคนได้นำบทเรียนครั้งนี้ไปใช้กับการเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองได้ ผมจึงถอดบทเรียนหลักๆ 3 ข้อ ที่น้องวีได้นำไปใช้ จริง มาเล่าให้ทุกคนฟังกันครับ
1
1) ทำธุรกิจต้องมี “จุดยืน”
คนส่วนใหญ่รู้ดี 100% ครับว่าตัวเองทำธุรกิจอะไร แต่น้อยคนที่จะรู้ว่า คุณทำสิ่งนี้ไปทำไม และ ทำเพื่อใคร
ครั้งแรกที่ผมเข้าไปดูเพจเกี่ยวกับฟุตบอลที่น้องทำอยู่ ปรากฎว่าจุดยืนแทบไม่มีเลย คือ ดูไม่ออกว่าเพจนี้ทำขึ้นมาเพื่ออะไร เพราะมันมีทั้งข่าว การประชาสัมพันธ์ การแจ้งผลการแข่งขันฟุตบอลท้องถิ่น ที่สำคัญ คือ มีการรับสปอนเซอร์สายเทาด้วย
ผมจึงกลับมาถามน้องทันทีว่า ถ้าสมมติน้องเป็นคนรักสุขภาพมากๆ แล้วทุกวันน้องก็จะซื้ออาหารออแกนิกจากพ่อค้าคนหนึ่ง แต่บังเอิญมีอยู่วันนึงน้องดันไปเห็นคนที่เคยขายอาหารสุขภาพให้น้องกำลังนั่งกินของอ้วนอย่างช็อกโกแลตกับโอรีโอ้อยู่ที่ร้านเค้กแห่งหนึ่ง
คำถาม คือ น้องจะยังเชื่อมั่นและซื้ออาหารสุขภาพจากเขาอีกไหม ?
น้องคงจะคิดในใจ ว่า “ไอนี่ของจริงหรือเปล่าว่ะ ยังเชื่อได้อีกไหมเนี่ย แล้วอาหารที่มันเคยขายให้เรามีประโยชน์กับสุขภาพจริงหรือเปล่า ในเมื่อเจ้าของไม่เห็นจะรักสุขภาพเลย”
น้องทำเพจฟุตบอลเพื่อเยาวชน แต่รับโฆษณาสายเทา ซึ่ง “จุดยืน” มันขัดแย้งกัน
ขึ้นชื่อว่า “เยาวชน” มันต้องปราศจากอบายมุขทุกชนิด การทำอย่างนี้มันไม่ต่างอะไรกับการขายอาหารเพื่อสุขภาพ แต่เรากลับบริโภคน้ำตาล และ ทานช็อกโกแลต นั่นแหละ
แล้วอย่างนี้ใครจะเชื่อถือน้องล่ะ
จะมีพ่อแม่ผู้ปกครองที่ไหน ปล่อยให้ลูกหลานของเขามายุ่งกับเพจของน้อง
หรือ พาร์ทเนอร์ต่างๆ เช่น โรงเรียน แบรนด์รองเท้า เสื้อผ้า อุปกรณ์กีฬา ก็ไม่มีใครอยากทำงานด้วย เพราะมันเสียภาพลักษณ์ของเขา
แม้แต่นักกีฬาเยาวชน หรือ มืออาชีพ ก็ไม่มีใครอยากพูดคุยหรือซื้อสินค้ากับน้อง
ดังนั้น ถ้าอยากโต ให้หยุดรับสปอนเซอร์สายเท่า แล้วมุ่งเน้นไปที่การสร้างคอนเทนต์ให้แรงบันดาลใจ และ พัฒนานักฟุตบอลเยาวชน
ซึ่งตอนแรกน้องวี ก็เหมือนจะไม่เห็นด้วย เพราะรายได้จากสปอนเซอร์สายเทา เป็นรายได้หลักอยู่
ผมเลยตอบกลับไปว่า ถ้าอยากทำธุรกิจให้เติบโต “ต้องยอมเสียน้อย เพื่อให้ได้มาก”
น้องวี จึงรับปาก ว่าจะกลับไปแก้ไข ตามที่ผมบอก
ผ่านไป 1 เดือน น้องกลับมาบอกผมว่า ตอนนี้คอนเทนต์ ทะลุ 1 ล้านวิวเป็นครั้งแรก และ เพจเติบโตขึ้นก้าวกระโดดคนมีผู้ติดตาม 40,000 คนทันที
ที่สำคัญ คือ ตอนนี้น้องเริ่มสร้างโมเดลธุรกิจ จำหน่ายสินค้า และ ร่วมกับชมรมกีฬาฟุตบอลต่างๆ
2) หา “ลูกค้า” ให้ได้ก่อน แล้วค่อยหาคนขายสินค้าให้เราทีหลัง
เวลาจะเริ่มต้นธุรกิจ STEP ที่คนส่วนใหญ่มักจะคิดกันก็คือ ต้องมีเงินทุนสักก้อน แล้วก็เอาไปลงทุนกับสินค้าหรือเปิดร้าน จากนั้นก็ค่อยหาลูกค้ามาซื้อเพื่อขายของออกไป
แต่คำถาม คือ คุณแน่ใจได้ยังไง ว่าสินค้าหรือบริการของคุณจะตอบโจทย์ลูกค้าจนเขายอมจ่ายเงินจริงๆ
แน่นอนว่ามันไม่มีอะไรการันตี ทุกอย่างคือการเสี่ยงดวง จึงไม่แปลกที่คนเริ่มต้นด้วย STEP แบบนี้มักจะเจ๊ง
แต่สิ่งที่หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจบอกก็คือ คุณต้องหาลูกค้าให้ได้ก่อน ลองขายของไปก่อน ไม่ต้องมีสินค้าก็ได้ เพราะคุณจะได้รู้จริงๆ ว่าของที่คุณจะขายมีคนซื้อไหม ถ้าไม่มีคนซื้อก็เปลี่ยนไปขายอย่างอื่นได้ง่ายๆ โดยไม่ต้องเอาเงินทุนไปละลายแม่น้ำ
แต่ถ้ามันมีคนซื้อจริงๆ ในช่วงแรกคุณอาจจะเปิดรับพรีออเดอร์ หรือ บอกไปก่อนว่าของหมด แต่สิ่งที่คุณจะได้มาก็คือ คุณจะรู้ข้อมูลจริงๆ ว่าสินค้าหรือบริการตัวไหนที่ลูกค้าต้องการจริงๆ
และเมื่อคุณมีลูกค้าอยู่ในมือ บางทีคุณอาจไม่ต้องลงเงินทุนตัวเองเลยก็ได้ คุณให้ลูกค้าจ่ายก่อน แล้วเอาเงินนั้นไปลงทุนทีหลัง หรือ ถ้าจะใช้เงินลงทุนก่อน เงินที่คุณลงทุนไปมันก็ใช้ได้ผลจริงๆ ไม่ใช่การโหนหินถามทาง
ซึ่งน้องวีใช้วิธีนี้ หลังจากที่ทำเพจจนเติบโต ก็มีเยาวชนติดตามเพจเพราะได้รับแรงบันดาลใจจำนวนมาก น้องวีจึงใช้ “ความน่าเชื่อถือ” ที่ตัวเองสร้างขึ้น และ “จุดยืน” ที่ชัดเจน เปิดรับสมัครเยาวชนที่อยากเรียนกีฬาฟุตบอล และ ให้ทุกคนจ่ายเงินมาก่อน จากนั้นก็ใช้เงินที่มีไปลงทุนกับสถานที่และอุปกรณ์ จนเปิดเป็นโรงเรียนสอนฟุตบอลอย่างเป็นทางการโดยไม่ต้องใช้เงินทุนของตัวเองเลยได้สำเร็จ
3) แยก กระเป๋าเงินส่วนตัว กับ กระเป๋าเงินธุรกิจ
กฎเหล็กของการทำธุรกิจที่ต้องจำให้ขึ้นใจก็คือ “กำไรธุรกิจ ไม่ใช่เงินของเรา”
หลายคนเวลาทำธุรกิจแล้วได้กำไร ก็มักจะเอาเข้ากระเป๋าตัวเองหมด มันจึงทำให้ธุรกิจที่ทำไม่มีเงินไปหล่อเลี้ยง ทำให้ไม่สามารถเติบโตได้ แล้วถ้าวันไหนเกิดวิกฤตขึ้นมา ก็ไม่มีเงินที่จะเอามาพยุงให้ธุรกิจเดินต่อไปได้ คนที่ทำธุรกิจแบบนี้ส่วนใหญ่มักจะออกได้ 2 หน้า ก็คือ “ถ้าไม่ตาย ก็เลี้ยงไม่โต”
วิธีทำธุรกิจที่ถูกต้อง คือ คุณต้องคิดว่าตัวเองเป็นเสมือนพนักงานคนหนึ่ง โดยมีการกำหนดเงินเดือนตัวเองชัดเจน ว่าจะจ่ายเงินเดือนให้กับตัวเองเท่าไหร่ ห้ามเอาออกมาใช้มากกว่า และ น้อยกว่านั้น
ตอนคุณเป็นพนักงาน คุณไม่สามารถเอาเงินบริษัทออกมาเกินเงินเดือนยังไง ตอนทำธุรกิจคุณก็ไม่สามารถเอาเงินบริษัทออกมาใช้ส่วนตัวได้อย่างนั้น
กลับกัน ตอนคุณเป็นพนักงานเวลาบริษัทจะขยายธุรกิจ บริษัทไม่มีสิทธิ์มาเอาเงินของคุณไปใช้ยังไง ตอนทำธุรกิจบริษัทก็ไม่สามารถมาเอาเงินส่วนตัวของคุณใช้ได้เช่นกัน
สมมติว่า คุณกำหนดเงินเดือนให้ตัวเอง 20,000 บาท
แล้วเดือนนั้น ธุรกิจทำกำไรได้ 50,000 บาท
คุณก็สามารถจ่ายเงินเดือนให้ตัวเองได้แค่ 20,000 บาท
ส่วนที่เหลือ 30,000 บาท ก็เก็บไว้เป็นกำไรสะสมต่อไป
แต่ถ้าเดือนต่อไป ธุรกิจเกิดทำกำไรได้แค่ 10,000 บาท
คุณก็ยังสามารถจ่ายเงินเดือนให้ตัวเอง 20,000 บาท เหมือนเดิม
เพราะคุณยังมีกำไรที่สะสมเอาไว้อยู่แล้วอีก 50,000 บาท
แล้วถ้าธุรกิจทำกำไรสะสมได้เรื่อยๆ เวลาคุณจะขยายธุรกิจ คุณก็ใช้เงินกำไรสะสมไปลงทุน ไม่ใช่มาเอาเงินในกระเป๋าตัวเอง
และ ด้วยความที่น้องวีทำตามกระบวนการที่หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจบอกเอาไว้ทุกอย่าง มันจึงทำให้น้องสามารถโตธุรกิจสามารถเปิดโรงเรียนสอนฟุตบอลสาขา 2 ได้แล้ว
ที่สำคัญ คือ สามารถขยายไปทำธุรกิจอื่นๆ อย่าง นมหมีปั่น ร้านหมาล่า และ ธุรกิจตู้หยอดเหรียญอื่นๆ
แทบจะไม่อยากเชื่อเลยว่า นี่คือ ผลงานของเด็กอายุเพียง 21 ปีเท่านั้น ที่สำคัญ คือ ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ 6 เดือน เปลี่ยนจากคนที่ไม่มีเงินทุน ความฝันกำลังจะพัง เป็นธุรกิจที่เติบโตอย่างก้าวกระโดด
นี่แสดงให้เห็นแล้วว่า สิ่งที่สำคัญที่สุด ในการทำธุรกิจ ไม่ใช่ “เงิน” แต่คือ “ความรู้”
เพราะถ้าเมื่อไหร่ที่คุณมีความรู้ ต่อให้คุณไม่มีเงินทุนเลย สมองก็สามารถผลิตเงินให้คุณได้อยู่ดี
กลับกัน ถ้าคุณมี เงิน แต่ขาด ความรู้ เงินที่มีก็พร้อมมลายหายไปได้ตลอดเวลา
ดังนั้น ถ้าคุณคิดจะทำธุรกิจ สิ่งแรกที่คุณต้องทำ ไม่ใช่การพยายามรอทุน รอพร้อม แล้วอ้างว่า ไม่มีเงิน จึงเริ่มต้นทำอะไรไม่ได้ แต่คือ การมุ่งไปที่การหาความรู้ แล้วใช้ ความรู้ นั้น สร้างความพร้อม และ สร้างเงินทุน ให้ตัวเองต่างหาก
และ ถ้าคุณอยากจะได้ความรู้ด้านธุรกิจที่สามารถใช้ได้จริง แบบที่น้องวีได้พิสูจน์ให้เห็นแล้ว
ผมได้ถ่ายทอดมันจากประสบการณ์จริงเอาไว้ใน “หนังสืองานประจำสอนทำธุรกิจ” อีกมากกว่า 40 บทเรียน
ถ้าอยากจะเติบโตไปด้วยกัน ก็กดลิงก์ข้างล่างนี้ เพื่อสั่งซื้อหนังสือ และ เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ #สังคมคนสร้างธุรกิจจากศูนย์ ได้เลยครับ
วิธีการสั่ง
1.กดลิงก์
https://m.me/139971470015828?ref=sale_8wje9NxA
2.กด “สั่งซื้อ”
3.เลือก “จำนวน” และ กด “ยืนยันคำสั่งซื้อ”
จากนั้น ชำระเงิน ตามเลขบัญชีที่ให้ไว้ใน Inbox
หนังสือ 295 บาท (รวมค่าส่งแล้ว)
17 บันทึก
11
1
11
17
11
1
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย