20 พ.ย. 2021 เวลา 02:50 • ธุรกิจ
รู้จัก Station F เมื่อฝรั่งเศส กำลังเป็นศูนย์กลางสตาร์ตอัป ของยุโรป
ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่ทำมาหากินกับ เรื่องราวประวัติศาสตร์มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก
Top 10 บริษัทที่ใหญ่สุดของฝรั่งเศส เกินครึ่งเป็นบริษัทแบรนด์หรู ที่ล้วนมีประวัติยาวนาน มี Story ที่ทำให้ลูกค้าทั่วโลกหลงใหลอย่างไม่เสื่อมคลาย
6
นอกจากสินค้าแบรนด์หรูแล้ว ฝรั่งเศสยังมีสถานที่ประวัติศาสตร์มากมายที่ดึงดูดนักท่องเที่ยว
จนเป็นประเทศที่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนมากที่สุดในโลกเป็นเวลาหลายสิบปี
5
ในภาพจำของหลาย ๆ คน ชาวฝรั่งเศสคงเต็มไปด้วยศิลปิน ดีไซเนอร์ หรือนักคิดนักเขียน ที่อาจไม่ค่อยเชี่ยวชาญนักในเรื่องของอุตสาหกรรมไอที
2
แต่ในเวลานี้อาจไม่เป็นอย่างนั้นแล้ว..
รู้หรือไม่ว่า ฝรั่งเศสเป็นประเทศที่มีบริษัทสตาร์ตอัปยูนิคอร์นมากที่สุดในสหภาพยุโรป คือมีจำนวน 22 บริษัท มากกว่าประเทศผู้นำเศรษฐกิจของ EU อย่างเยอรมนี ที่มี 16 บริษัท
5
อีกทั้งจำนวนนี้ ยังมากกว่าสวีเดน ที่มี 6 บริษัท
และมากกว่าอิตาลี ที่ยังไม่มีสตาร์ตอัปยูนิคอร์นเลย แม้แต่บริษัทเดียว..
1
อะไรอยู่เบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้ ?
ลงทุนแมนจะเล่าให้ฟัง
ในปี 2021 ฝรั่งเศสมีบริษัทสตาร์ตอัปยูนิคอร์นเกิดขึ้นถึง 18 แห่ง เช่น
- ManoMano สตาร์ตอัปที่ทำ E-Commerce เกี่ยวกับอุปกรณ์ตกแต่งบ้าน และการจัดสวน
มีมูลค่าประเมินของบริษัท เท่ากับ 85,800 ล้านบาท
- Sorare เกมแข่งฟุตบอลออนไลน์ โดยใช้ระบบการ์ดสุ่มเลือกตัวนักฟุตบอล ซึ่งผู้เล่นสามารถซื้อ ขาย แลกเปลี่ยนการ์ดนักฟุตบอล ผ่านระบบ NFT ได้ ซึ่งมีมูลค่าประเมินของบริษัท 141,900 ล้านบาท
4
โดยสตาร์ตอัปเหล่านี้ ผู้มีส่วนเกี่ยวข้องในการสนับสนุนบริษัทสตาร์ตอัปของฝรั่งเศส ก็คือ สถานที่ที่ถูกเรียกว่า “Station F”
หากใครเคยติดตามซีรีส์เกาหลีเรื่อง Start-Up จะมีสถานที่อยู่แห่งหนึ่ง ที่มีชื่อว่า Sandbox
ตั้งอยู่บนเกาะกลางแม่น้ำฮันในกรุงโซล เป็นสถานที่บ่มเพาะบริษัทสตาร์ตอัป ให้ที่ทำงานฟรีหากผ่านการคัดเลือก คอยให้คำปรึกษา จากจุด Start จนกว่าบริษัทเล็ก ๆ จะสามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง
1
เช่นเดียวกัน ไม่ไกลจากริมแม่น้ำแซน ใจกลางกรุงปารีส
ก็มีสถานที่บ่มเพาะบริษัทสตาร์ตอัปที่ใหญ่ที่สุดในโลก
และสถานที่นั้นคือ “Station F”
2
ผู้ก่อตั้งสถานที่แห่งนี้คือ คุณซาเวียร์ นีล (Xavier Niel)
มหาเศรษฐีผู้ร่ำรวยเป็นอันดับที่ 13 ของฝรั่งเศส
มีทรัพย์สินกว่า 294,000 ล้านบาท
1
ชายผู้นี้ร่ำรวยมาจากธุรกิจโทรคมนาคม..
ในปี 1986 เมื่อคุณซาเวียร์มีอายุเพียง 19 ปี ได้เริ่มธุรกิจแรกของตัวเอง ด้วยการเป็นผู้ให้บริการข้อมูลเกี่ยวกับ Sex Chat บน Minitel เครือข่ายเซิร์ฟเวอร์รุ่นแรก ๆ ของฝรั่งเศส ซึ่งสามารถทำรายได้มหาศาล และทำให้คุณซาเวียร์มีเงินทุนมาพัฒนาธุรกิจในเวลาต่อมา
1
เมื่อเข้าสู่ยุค 1990s การเกิดขึ้นของ World Wide Web ได้รับความนิยมอย่างรวดเร็ว แต่ปัญหาคือระบบที่เชื่อมกับสายโทรศัพท์มักจะไม่เสถียร
1
ในปี 2002 คุณซาเวียร์ได้พัฒนาระบบให้บริการ โดยตั้งชื่อว่า Free
ที่ให้บริการเครือข่ายอินเทอร์เน็ต สัญญาณโทรศัพท์บ้าน และสัญญาณโทรทัศน์ได้ภายในกล่องเดียว ในราคาเพียง 30 ยูโรต่อเดือน ซึ่งถือว่าค่อนข้างถูกมากสำหรับครัวเรือนชาวฝรั่งเศสเมื่อเทียบกับบริการที่ได้รับ
1
Free จึงเติบโตอย่างรวดเร็ว ต่อมากลายเป็นบริษัท Iliad ที่ประกอบหลายธุรกิจ และทำให้คุณซาเวียร์กลายเป็นบุคคลที่รวยติดอันดับ Top 15 ของประเทศฝรั่งเศส
2
ต่อมาเขาก็ได้เป็นผู้บุกเบิกแวดวงไอทีของฝรั่งเศส ด้วยการตั้งบริษัท Kima Ventures ในปี 2010 บริษัทเงินทุน ที่คอยให้เงินลงทุนกับบริษัทสตาร์ตอัปด้านไอทีของฝรั่งเศส
1
และก็ได้นำเงินทุนของตัวเองมาก่อตั้ง Station F
ด้วยการรีโนเวตอาคารสถานีรถไฟเก่า Halle Freyssinet ซึ่งเลิกใช้ไปแล้ว เพื่อให้เป็นสถานที่ให้ความช่วยเหลือบริษัทสตาร์ตอัปหน้าใหม่ และจุดประกายความคึกคักให้กับอุตสาหกรรมไอทีของฝรั่งเศส
1
Station F เริ่มเปิดดำเนินการในปี 2017
เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่มีพื้นที่ใช้สอยกว่า 34,000 ตารางเมตร
สามารถใช้เป็นสำนักงานของบริษัทสตาร์ตอัปได้เกือบ 1,000 บริษัท โดยแบ่งเป็น 3 โซน
โซนที่ 1 คือ สำนักงานของบริษัทสตาร์ตอัปเกือบ 1,000 บริษัท ที่มีโต๊ะ และอุปกรณ์ทำงานครบครัน
2
โซนที่ 2 คือ ส่วนที่สนับสนุนการทำงานของบริษัทสตาร์ตอัป ทั้งห้องประชุม ห้องจัดแสดงผลงาน ห้องทดลองต่าง ๆ รวมไปถึงสำนักงานของบริษัทต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจสตาร์ตอัป
ซึ่งส่วนนี้มีทั้งภาครัฐ สถาบันการศึกษา และบริษัทเอกชนเข้ามาร่วมสนับสนุน
เช่น บริษัทร่วมลงทุน หรือ Venture Capital
บริษัทที่เกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจ เช่น บริษัทที่ปรึกษาด้านบัญชี กฎหมาย หน่วยงานของรัฐที่ให้คำปรึกษาเรื่องการจ้างงานชาวต่างชาติ
รวมถึงสำนักงานของบริษัทเทคโนโลยีระดับโลก เช่น Meta, Microsoft ที่เข้ามาให้บริการด้านเทคโนโลยี และบริษัทยักษ์ใหญ่ของฝรั่งเศสและยุโรป ที่เข้ามาให้การสนับสนุนบริษัทสตาร์ตอัปเฉพาะทาง
2
เช่น L'Oréal ที่เข้ามาสนับสนุนบริษัทที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีความงาม
AstraZeneca ที่เข้ามาสนับสนุนบริษัทที่เกี่ยวกับไบโอเทคโนโลยี
1
โซนที่ 3 คือ โซนพักผ่อน ประกอบไปด้วยร้านกาแฟ ร้านอาหาร ศูนย์อาหาร ซึ่งส่วนนี้เปิดกว้างให้ใครสามารถเข้ามาก็ได้
1
ค่าเช่าสำหรับบริษัทสตาร์ตอัปใน Station F อยู่ที่เดือนละเพียง 195 ยูโร หรือประมาณ 7,000 บาท นับว่าถูกมากหากเทียบกับสถานที่ตั้งที่อยู่ใจกลางเมืองหลวงอันหรูหราของฝรั่งเศส
4
แต่การที่บริษัทสตาร์ตอัปจะเข้ามาอยู่ใน Station F ได้ ก็ต้องได้รับการคัดเลือกผ่านโปรแกรมต่าง ๆ ซึ่งมีทั้งหมดราว 40 โปรแกรม
บางโปรแกรมสนับสนุนโดยรัฐบาลฝรั่งเศส
แต่โปรแกรมส่วนใหญ่จะได้รับการสนับสนุนโดยบริษัทเอกชน เช่น LVMH ที่จัดโปรแกรมสนับสนุนสตาร์ตอัปที่พัฒนาเทคโนโลยีเกี่ยวกับสินค้าแบรนด์หรู
 
ซึ่งสตาร์ตอัปที่น่าสนใจใน Station F ที่กำลังเติบโต และมีแนวโน้มจะกลายเป็นยูนิคอร์น ก็มีหลายบริษัท เช่น
- Interstellar Lab
สตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาด ผู้พัฒนาแคปซูลสำหรับอยู่อาศัย ที่สามารถใช้ทรัพยากรหมุนเวียนภายในตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น อาหาร น้ำ หรืออากาศ สามารถนำไปประยุกต์ในเขตแห้งแล้ง หรืออยู่อาศัยบนดาวอังคารได้
3
- Le Papondu
สตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีอาหาร ผู้พัฒนาไข่ที่ทำมาจากพืช 100% โดยที่ยังมีรสสัมผัสไม่ต่างจากไข่ไก่
2
- Fairbrics
สตาร์ตอัปด้านเทคโนโลยีเครื่องแต่งกาย ผู้พัฒนาเส้นใยที่มีกระบวนการผลิตที่ไม่ปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
2
สิ่งที่น่าสนใจมาก ๆ ก็คือ ในบรรดาบริษัทสตาร์ตอัปกว่า 1,000 บริษัทนั้น เป็นบริษัทที่ผู้ก่อตั้งเป็นคนฝรั่งเศสราว 60% ส่วนอีก 40% ผู้ก่อตั้งเป็นคนสัญชาติอื่น ๆ จากทั่วโลก
1
ซึ่งทาง Station F ก็มีพื้นที่สำหรับหน่วยงานของรัฐ ที่ทำหน้าที่ประสานงานการทำวีซ่า และบริษัทให้คำปรึกษาการจ้างงานชาวต่างชาติตั้งอยู่ด้วย
นั่นหมายความว่า Station F เปิดกว้างสำหรับผู้คนทุกเชื้อชาติ และสนับสนุนให้เข้ามาสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ ๆ เพื่อเปลี่ยนแปลงโลก ซึ่งท้ายที่สุดผลที่ได้ก็จะทำให้เกิดการจ้างงานในภาคส่วนใหม่ ๆ และเป็นผลดีกับบริษัท และเศรษฐกิจของประเทศฝรั่งเศสเอง
เรื่องราวของ Station F จึงนับว่าเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจ
แม้แต่ประเทศที่ทำมาหากินกับ Story หรือเรื่องราวในประวัติศาสตร์อย่างฝรั่งเศส
ก็ต้องทำการปรับตัวครั้งใหญ่ เพื่อให้กลายเป็นศูนย์กลางสตาร์ตอัปของสหภาพยุโรปให้ได้
1
เพราะการแข่งขันระหว่างประเทศในปัจจุบัน หัวใจสำคัญอยู่ที่ “คนเก่ง”
หน้าที่ของภาครัฐและภาคเอกชนคือการร่วมมือกัน สร้างสังคมที่เปิดกว้าง ยอมรับการเรียนรู้ใหม่ ๆ และสร้างสิ่งแวดล้อมให้พร้อม เพื่อให้คนเก่งเหล่านั้น ได้สร้างสรรค์และพัฒนานวัตกรรมใหม่ ๆ
โดย “คนเก่ง” นั้น จะมาจากที่ไหนก็ได้..
4
ถ้าโลกในยุคล่าอาณานิคม การแข่งขันระหว่างประเทศคือการแย่งชิงทรัพยากรธรรมชาติ
โลกในศตวรรษที่ 21 การแข่งขันระหว่างประเทศ ก็คือ การแย่งชิงทรัพยากรมนุษย์
2
แน่นอนว่า ประเทศที่ดึงดูดคนเก่งเข้ามามากขึ้นเรื่อย ๆ ก็ย่อมมีโอกาสมากกว่า
ประเทศที่กำลังเสียคนเก่ง ออกไปทุกที ๆ..
4
References
โฆษณา