26 พ.ย. 2021 เวลา 13:23 • ไอที & แก็ดเจ็ต
แม้ตลอดมา Xiaomi จะมีรายได้เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดด ก็ไม่เคยหยุดชะลอการพัฒนานวัตกรรม ตรงข้ามกลับเร่งสปีดแบบเต็มแรง โดยเฉพาะปี 2021 ที่ทีมวิศวกรหัวกะทิ 122 ชีวิต ปลุกฝันสร้างนวัตกรรมแบบ “Next Gen” ได้สำเร็จหลายชิ้น เสมือนอีกรอยเท้าของมวลมนุษยชาติ ที่ย่างเหยียบบนดวงจันทร์เลยทีเดียว !!
Surge C1
เปิดต้นปีด้วยความท้าทายในการพยายามข้ามขีดจำกัดด้านการถ่ายของ Smartphone ในระดับความละเอียดสูงสุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนที่ 200 Megapixel ด้วยการเปิดตัวสถาปัตยกรรมระบบประมวลผลการถ่ายภาพที่พัฒนาต่อยอดจากรุ่น “SI” ในปี 2557 ชื่อ “Surge C1” ที่ Xiaomi ทุ่มทุนวิจัยกว่า 140 ล้านบาท ติดตั้งชิมลางให้ได้ใช้แบบไม่ต้องรอใน รุ่น MIX FOLD ทำงานคู่กับเซ็นเซอร์รับภาพความละเอียด 200 Megapixel รุ่น ISOCELL ของ Samsung* และมีแผนพัฒนาการใช้งานแบบสมบูรณ์ไปอีกขั้นในเรือธงรุ่น 12 Ultra ที่ซึวัดศักยภาพด้านการพัฒนากับเจ้าของชิพอย่าง Samsung และถือเป็นการเปิดฉากยุคใหม่ของ Smartphone ที่ระดับความละเอียด 200 Megapixel อย่างเป็นทางการ
Liquid Lens
และดูเหมือนในปี 2021 Xiaomi จะถือโอกาสยกเครื่องระบบถ่ายภาพใน Smartphone กันขนานใหญ่ ที่นอกจากจะเปลี่ยนชิพประมวลผลใหม่แล้ว ยังได้พัฒนาในส่วนการรับแสงด้วยการใช้เทคโนโลยี Liquid Lens ที่สร้างชิ้นเลนส์จากของเหลว มาอยู่ในรุ่น MIX FOLD แม้เทคโนโลยีนี้จะมีการวิจัยมามากว่า 20 ปีแล้ว และได้ถูกนำมาใช้งานในวงการอุตสาหกรรมการผลิตแล้ว แต่นี่ถือครั้งแรก** ใน Smartphone !! ซึ่งนำมาใช้ในส่วนเลนส์กำลังขยายอย่าง Telephoto และ Marco สามารถสร้างความเร็วโฟกัสได้ในระดับ 1/1000 วินาที เป็นความแต่งต่างอย่างน่ามหัศจรรย์หากเทียบกับระบบเลนส์แก้วแบบเดิม และถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญในวงการวิศกรรมถ่ายภาพใน Smartphone อีกครั้ง
Silicon-Oxygen Anode Battery
ถือเป็นการปิดฉากยุคแบตเตอรี่ Lithium-Ion ได้สำเร็จเมื่อ Xiaomi 11 Ultra ได้เปลี่ยนมาใช้ Silicon-Oxygen Anode Battery ที่หากเทียบกับ Lithium-Ion แบบกรัมต่อกรัมแล้ว จะให้พลังงานเพิ่มมากกว่าถึง 10 เท่า โดย Xiaomi ได้ร่วมมือกับ บ.ยักษ์ใหญ่ด้านแบตเตอรี่ของโลกอย่าง ATL*** พัฒนา 11 Ultra จนแก้ไขเรื่องความร้อนและอายุการใช้งาน ได้สำเร็จ รวมถึงความสามารถของทีมวิศวกรระดับหัวกะทิ ที่พัฒนาระบบจ่ายพลังงานแบบยกแผงไปอีกขั้น ตั้งแต่ Adapter ไปจนถึงการระบายความร้อนที่เรียกว่า Loop LiquidCool Technology จนสามารถแตะระดับ Super-Fast Charging ได้ในที่สุด และเพื่อเป็นการพัฒนาต่อยอดเพื่อพลิกโฉมแบตเตอรี่รถไฟฟ้าในอนาคตต่อไป
Point to Connect
Xiaomi ในฐานะผู้นำด้านนวัตกรรม IOT ที่มียอดผู้ใช้ทั่วโลกมากกว่า 350 ล้านบัญชี และมีอุปกรณ์ในระบบมากถึง 1,000 ชิ้น และในปี 2021 ได้พัฒนาระบบ ยกระดับการใช้งานเพื่อพรุ้งนี้ที่ดีกว่าสำเร็จไปอีกขั้น ด้วยการติดตั้งเทคโนโลยี UWB หรือ Ultra-wideband ที่นำมาใช้ครั้งแรกใน Xiaomi MIX 4 เป็นการพัฒนารูปแบบการรับ-ส่งสัญญาณระหว่าง Smartphone กับอุปกรณ์ IOT ให้เชื่อมโยงได้โดยตรงแค่เพียงหัน Smartphone ไปหา ก็พร้อมใช้งาน ไม่ต้องง้อ WIFI สัญญาณ Internet อีกต่อไป!! โดยเรียกวิธีการทั้งหมดนี้ว่า “Point to Connect” และเสริมประสิทธิภาพขึ้นอีกด้วยการผนวกรวมเทคโนโลยีอย่าง Trimension **** ของ บ.NXP ยักษ์ใหญ่ด้าน IT สัญญาติเนเธอร์แลนด์ ที่เพิ่มความแม่นจำและความปลอดภัยรองการทำงาน และรองรับการธุรกรรมการเงินต่างๆในอนาคต
สรุป
สิ่งที่ Xiaomi ได้รับจากการทุ่มเงินวิจัยด้านเทคโนโลยีเป็นเม็ดเงินกว่า 35,000 ล้านบาท ในปี 2021 นั่นคือสถิติยอดขายแบบถล่มทลายทั่วโลก ที่แค่เฉพาะกลุ่ม Smart Phone แค่ในครึ่งปีแรกก็ทำรายได้ไปแล้วกว่า 600,000 ล้านบาท และกำลังไต่ระดับรายได้รวมถึงเดือนสิงหาคมที่ 850,000 ล้านบาท ซึ่งในจำนวนเครื่องที่ขายได้นั้น มีสัดส่วนของ Premium Phone ทำสถิติเพิ่มขึ้นมากถึง 17% แสดงให้เห็นถึงความต้องการด้านนวัตกรรมที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งเริ่มหาไม่ได้จากแบรนด์ตลาดกลุ่มเดิมๆ
และในปี 2021 Xiaomi แสดงให้เห็นชัดมากขึ้นในเรื่องการนำนวัตกรรมแบบ “Next Gen” ที่พัฒนาจนสำเร็จมาใช้งานจริง ที่ไม่ใช่แค่การ “Upgrade” นวัตกรรมเดิม หากมองตามแผนพัฒนาแล้วคงไม่ใช่จบแค่ Smartphone หรือ IOT แน่นอน แต่หากมองข้ามช็อตไปถึงตลาดเบอร์ 1 ของโลกอย่างรถไฟฟ้า
ซึ่ง Xiaomi ได้เน้นพัฒนาระบบพื้นฐานอย่างแบตเตอรี่และรวมไปถึงระบบการขับเคลื่อน เพื่อปูทางการวางจำหน่ายรถไฟฟ้าในปี 2024 ที่ใช่จะเข้ามาเป็นเพียงผู้เล่นเท่านั้น แต่หวังมาเป็นเจ้าตลาดเลยทีเดียว ตามที่ Lei Jun ได้ประกาศใน Xiaomi 2021 INTERIM REPORT ว่า
“ Our substantial investment in key technologies and resources across the value chain position us well to become a successful player in the Smart EV space.”
เพราะรถไฟฟ้าคือศูนย์รวมความรู้และความสามารถในเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จะเปลี่ยนวิถีชีวิตรวมถึงพฤฒิกรรมมนุษย์ จึงเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญแห่งศตวรรษที่ 21 ดังนั้นการจะประสบความสำเร็จในตลาดรถไฟฟ้าจึงถือเป็นความท้าทายอย่างยิ่งของ Xiaomi น่าจับตาบททดสอบความสามารถผู้นำทางเทคโนโลยีฝั่งตะวันตกอย่างอเมริกาและชาติยุโรป ว่าจะสามารถต้านกระแสเงินทุนและความล้ำหน้าที่ถาโถมรุนแรงจากมหาอำนาจฝั่งตะวันออกอย่างจีนได้อีกนานแค่ไหน เพราะนาทีนี้ทุกอย่างอาจจะเปลี่ยนไปตามคำพูดที่ว่า
“ผู้ใดครองเทคโนโลยี ผู้นั้นครองเศรษฐกิจ
ผู้ใดครองเศรษฐกิจ ผู้นั้นครองโลก”
EP.26 2021 เมื่อ Xiaomi จุดชนวนเปลี่ยนโลก
ผู้เขียน บุญชัย สิริวัฒนชัยกุล
ที่มา
Xiaomi 2021 INTERIM REPORT
xiaomiplanets.com “Xiaomi introduces its self-developed Surge C1 image chip. Used for photo processing”
gizchina.com “XIAOMI MI 12 TO MISS THE 200MP CAMERA – TO USE A 50MP TRIPLE MAIN CAMERA SYSTEM”
sammobile.com “Samsung’s ISOCELL HP1 is the world’s first 200MP smartphone camera sensor”
gsmarena.com “Xiaomi showcases its first ever in-house chipset - Surge S1”
pocket-lint.com “What is a liquid lens camera? The technology explained”
imveurope.com “Xiaomi smartphone integrates liquid lens”
zh-cn.gizchina.it “小米米MIX Fold:液体镜片有什么用途”
forbthailand.com “CATL บริษัทแบตเตอรี่สัญชาติจีนที่มีมหาเศรษฐีมากกว่า Google และ Facebook”
sammobile.com “Samsung’s ISOCELL HP1 is the world’s first 200MP smartphone camera sensor”
globenewswire.com “NXP Trimension™ Ultra-Wideband Technology Powers Xiaomi MIX4 Smartphone to Deliver New “Point to Connect” Smart Home Solution”
ส่วนขยาย
*Xiaomi ได้เจรจาชื้อเซนเซอร์ ISOCELL ของ Samsung ที่มีความสามารถในระดับ 192/200 MP ตัวแรกของโลก รองรับการขยายภาพแบบ Optical 4x ถ่ายวิดีโอความละเอียดสูงที่ 8K (30fps), 4K (120fps) รองรับการโฟกัสแบบ PDAF, HDR ซึ่งหากเปรียบเซนเซอร์เป็นดวงตาแล้ว Surge C1 ก็คือสมองนั่นเอง โดย Xiaomi ก็มุ่งพัฒนา Surge C1 กับชิพเรือธงของ Snapdragon 888+ และ 895 ตัวใหม่อย่าง ของ Qualcomm ส่วนทางด้าน Samsung ในฐานะคู่แข่งก็ได้นำ ISOCELL มาใช้ในรุ่น Galaxy S5 และพัฒนาความสามารถ ISOCELL เป็นรุ่น HP1 และ GN5 ด้วยเช่นกัน (ล่าสุด Xiaomi ได้ขอซื้อ ISOCELL HP1 เพื่อพัฒนาลงในรุ่น Xiaomi 12 แล้ว)
** การผลักดันนำเทคโนโลยี Liquid Lens มาใช้ในอุปกรณ์ Smartphone ไม่ใช่มีเพียง Xiaomi เท่านั้น ในปี 2020 Huawei ประกาศจะนำเทคโนโลยีดังกล่าวมาใช้ในรุ่น P50 Pro+ ที่จะวางจำหน่ายช่วงกลางปี 2021 และ OPPO ที่ประกาศใช้ใน Flagship รุ่นถัดไปเหมือนกัน แต่ทั้ง 2 ค่ายก็ถูก MIX Fold ของ Xiaomi ชิงออกขายตัดหน้าไปก่อน ความได้เปรียบของ Liquid Lens นอกจากจะมีจุดเด่นเรื่องความเร็วโฟกัสแล้ว ยังมีเรื่องที่ไม่ต้องมีระยะเลนส์เพื่อสร้างกำลังขยายด้วย เพราะทำให้ประหยัดพื้นที่และสามารถออกแบบ Smartphone ให้มีความบางและเบาไปได้อีกขั้น
*** ATL หรือ Amperex Technology Limited ก่อตั้งในปี 1999 ถือเป็นผู้ผลิต Lithium-Polymer รายใหญ่เป็นอันดับ 3 และหากนับรวมธุรกิจแบตเตอรี่รถไฟฟ้าของบริษัทในเครืออย่าง CATL หรือ Contemporary Amperex Technology Co. Limited จะมีรายได้รวมเป็นอันดับ 1 ของโลกด้านการจำหน่ายแบตเตอรี่ และเป็นผู้อยู่เบื้องหลังการ ออกแบบพัฒนาระบบการส่งพลังงานเพื่ออุปกรณ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์ IOT, Smart Phone, Notebook รวมถึงรถไฟฟ้า ให้บริษัทชั้นนำต่างๆ เช่น Xiaomi, Tesla, BMW, Samsung, Panasonic และ Apple เป็นต้น

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา