28 พ.ย. 2021 เวลา 15:51 • การศึกษา
(นี่เป็นเรื่องราวเกือบ 1 ปีที่แล้ว ขอแบ่งปันไว้ ณ ที่นี้ เผื่อเป็นประโยชน์กับใครบ้าง)
18 มกราคม 2021 19:03
ขอบันทึกไว้แล้วกันว่า ครั้งหนึ่งเคยผ่านช่วงนี้ของชีวิตมา จะว่าไปแล้ว ผมก็โคตรภูมิใจเลย ที่ตัวเองเดินทางมาได้ไกลขนาดนี้
เริ่มจาก ม.ต้น ที่บรรดาคุณครูเป็นห่วงว่าไม่กล้าแสดงออกขนาดนี้ จะไปทำอะไรกิน อีกทั้งเรื่องกินเหล้าไม่ต้องพูดถึง เพราะเพื่อนไม่ได้ชวนผมหรอก แต่ผมเองที่ชวนเพื่อน ทำให้หลายๆ คนเห็นว่า ใช่! ผมคงไม่จบ ม.ต้น
แต่ยังไงไม่รู้ จบ ม.ต้น มาได้ พร้อมกับความหวังเล็กๆ ของแม่ที่อยากให้ลูกชายสอบเภสัชฯ ซึ่งเห็นได้จากการส่งข้อสอบ ส่งหนังสือมาให้อ่านอย่างถล่มทลาย แม้ตัวเองจะไม่มีเงินแม้แต่จะกินข้าว แต่ดีหน่อยที่ผมเริ่มตั้งใจเรียนขึ้น (คิดว่านะ) แต่ก็ไม่ได้ดีเด่อะไร (ต้องยอมรับว่าผมหัวดีใช้ได้ แต่ขี้เกียจและหาวิชาที่เก่งๆ วิชาใดวิชาหนึ่งไม่ได้) ซึ่งเห็นได้จากการที่ตลอดชีวิตการเรียนมัธยมของผม ไม่เคยได้เป็นตัวแทนเพื่อไปแข่งวิชากงวิชาการอะไรกับเขาทั้งสิ้น แม้แต่การแข่งตอบปัญหาที่ทางโรงเรียนจัด ผมยังไม่เข้าร่วม อ่อ.. มีอย่างหนึ่งที่เข้าร่วม จำได้ว่าผมเคยเข้าร่วมแข่งหมายฮ็อตนะ ซึ่งก็แพ้ให้รุ่นน้องตั้งแต่รอบแรก นั่นแหละ แต่ไปๆ มาๆ ยังไงไม่รู้ แต่พอรู้ตังอีกทีได้เป็นประธานนักเรียนแล้ว (เชื่อสิ! ว่าใครๆ ก็ตกใจ เพราะ 4 ปีที่อยู่พิบูลย์รักษ์พิทยา ผมไม่ได้มีอะไรโดดเด่นในเรื่องดีๆ เลย ซึ่งการที่หลายๆ คนตกใจก็ไม่แปลก)
เอาเป็นว่าช่วงชีวิตที่เป็นประธานนักเรียนไม่ขอเล่าละกัน เดี๋ยวยาว เพราะวีระกรรมผมเยอะ แต่หลับตาลง พอผ่านไปอีกคืน ผมเป็นนิสิต รัฐประศาสนศาสตร์ ที่วิทยาลัยการเมืองการปกครองของ มมส. แต่ก็นั่นแหละ เลือกเรียนเพราะชื่อมันยาวดี (แล้วคุณจะไปเอาอะไรกับเด็กบ้านนอกที่นั่งกินเหล้าซอดแจ้งทุกวันเนาะ) แต่ก็นั่นแหละ ครอบครัวผมก็ดีใจพอสมควร เพราะอย่างน้อยผมก็ลบคำสบประมาทได้อย่างหนึ่งแล้ว นั่นคือ การจบ ม.ปลาย
ใช่ครับ! ชีวิตในมหาลัยของผมแม้จะราบรื่น แต่ชีวิตแม่ผมที่อยู่ กทม. สิ ที่เหลือเงินไม่ถึง 2,500 ต่อเดือน (ไม่รู้จริงๆ ว่าแม่ใช้ชีวิตแบบไหน และเป็นแบบนั้นมากี่ปีแล้วก็ไม่รู้ แต่เข้าใจว่าวันที่แกลาออก เป็นปีที่ 16 ที่ทำงานอยู่นั่น) เริ่มแรกในมหาลัย คุณคงเดาได้ ผมไม่ได้ตั้งใจเรียนอะไร เห็นได้จากเทอมแรกเกรดผมได้ 2. กว่าๆ และเทอมถัดมา ก็ดิ่งลงอีก แต่พอปลายๆ เทอม 2 อกหักวะ
พอขึ้นเทอมซำเมอร์ (เอ้อ..ลืมเล่า ผมจบ 3 ปี ไม่รวมซำเมอร์ของปีที่ 3 นะ เพราะผมลงเรียนทุกเทอม เลยทำให้จบเร็ว เข้าใจว่ามีผมกับเพื่อนอีกคนที่จบ 3 ปีเต็ม) ครึ่งแรกของซำเมอร์จะทำอะไรหล่ะครับ ถ้าไม่ใช่ทำใจ แต่ดีที่ผมมีเพื่อนดี และอีกอย่างเหล้าก็กินมาสุดแล้ว เกมส์ก็เล่นมาสุดแล้ว บอลก็เตะมาสุดแล้ว (ดีหน่อย คงเป็นโชคดีของผมและครอบครัวแหละที่ผมไม่ยุ่งกับยาเสพติด แม้แต่บุหรี่ผมก็ไม่สูบ)
เหลืออะไรให้ทำหล่ะครับ
พอดีว่าว่างจัด ดูเปาปุ่นจิ้นสิครับ ดูจนเป็นบ้าจนถึงขั้นไปลงเรียนนิติศาสตร์ของราม (แต่เสียดายที่การสอบที่ มมส. และราม มันตรงกัน ผมเลยได้เรียนนิติฯ แค่เทอมเดียว) วันที่เดินทางกลับจากสอบราม วันต่อมาก็สอบของ มมส. วันนั้นผมถือชีสวิชาเอกเลือกไปด้วย และแบตโทรศัพท์ก็ใกล้หมด เบื่อๆ ไม่มีอะไรทำ อ่านหนังสือสิครับ ผมอ่านชีสวิชานั้นราวๆ 5-6 รอบ พอวันต่อมา มาสอบ พอประกาศคะแนน อ้าวท็อปวะ!!! และพอใกล้สอบวิชาถัดมา ไหนลองอ่านหนังสืออีกสิ สัก 4-5 รอบ อ้าว!!! พอไปสอบ ทำได้วะ!!! ไหนวิชาต่อไปลองอีกสิ!!!
เอาเป็นว่าเทอมนั้นผมได้ 4.00 (อะไรวะ!) พอขึ้นปี 2 ผมก็ได้เจอแฟนคนปัจจุบัน นับแต่นั้น กราฟเกรดผมจากจม 2. กว่าๆ อยู่ดีๆ พุ่งขึ้นทุกเทอม ทุกเทอม และจบที่ 3.57 (เอ้อ...ลืม ความหวังอีกอย่างของแม่คืออยากให้ผมจบ ม. 6 ด้วยเกรด 3.50 และผมเคยไปยืนเภสัชฯ ของมหาลัยอะไรสักอย่างนี่แหละ แต่เกรดไม่ถึง เพราะเขาเอา 3.50 แต่ผมได้ 3.49 แต่ก็ช่างมันเหอะ) แล้วไม่รู้ยังไง แต่เอาตรงๆ คือยังขี้เกียจทำงาน เลยเรียน ป.โท แต่พอเรียนได้ 2 อาทิตย์ ก็ต้องหางานทำ เพราะนอนอยู่ห้องเฉยๆ ไม่ไหว จึงไปสมัครสอบ แต่สอบไม่ติดวะ ได้ที่ 2 ก็เลยกลับมาตั้งใจเรียนต่อ เรียนได้ 2 เดือน ถูกเรียกกลับไปทำงาน (เอ้อดีวะ)
3
ชีวิตของการเรียนไปด้วยทำงานไปด้วย ยิ่งเป็น ป.โท โอ้!! สำหรับผมนี่หนักพอสมควรนะ เพราะแม่ไม่ได้ส่งเงินให้ผมแล้ว ทุกสิ่งอย่างรวมทั้งค่าเทอมต้องจัดการเอง อีกอย่างด้วยความที่อะไรของผมก็ไม่รู้ที่ไปตั้งเป้าหมายว่า จะจบ ป.โท ด้วยเกรด 4.00 และวิทยานิพนธ์ดีเด่น (อันนี้ต้องกราบขอบพระคุณอาจารย์ทุกๆ ท่านจากใจจริง) นั่นแหละครับ ความบรรลัยของชีวิต แต่ก็ดี พอจบแล้วก็ได้มา
พอจบ ป.โท ผมลาออกจากงาน ใช่ครับ! ด้วยความที่ผมทำงานในหน่วยงานของรัฐ เลยค่อนข้างจะถูกสรรเสริญ แต่ดีที่ครอบครัวเข้าใจ (แม้ว่าต้องใช้เวลา) ผมทำการชำระล้างตัวเองใหม่หมด เพื่อไปสู่เป้าหมายอีกขั้นของชีวิต นั่นคือ การเป็นอาจารย์ และวันนี้ผมได้เป็นอาจารย์แล้ว (ใช่ครับ! นี่แหละชีวิต แม้จะเป็นอาจารย์ ทว่าชีวิตที่เริ่มต้นจากติดลบ ก็เป็นตามภาพที่เห็นนั่นแหละ ผมไม่ยอมให้คนแก่ที่บ้านต้องวิ่งหาเงินค่างวดรถช่วย ในขณะที่ผมไม่ได้เลี้ยงดูอะไรท่านเลย เอาเป็นว่าขอจัดการชีวิตตัวเองให้ลงตัวก่อนแล้วกัน อีกสัก 2-3 ปี ค่อยสบาย ก็คงไม่สาย)
ด้วยความที่ผมจะก้าวตามความฝัน และทำฝันให้เป็นจริง ผมให้แม่ลาออกไปดูแลตากับยาย เพราะผมรู้ว่าหลังจากนี้ผมจะไม่ได้อยู่ใกล้ๆ พวกท่านแล้ว ก้าวต่อไป ผมรู้ว่ามันน่าขำสำหรับใครหลายๆ คน ที่เด็กบ้านนอก ครอบครัวไม่ได้ร่ำรวย มีเพียงคนแก่ๆ 2 คน ผู้หญิงที่รีบเร่งตลอดเวลา คนตัวอ้วนๆ หมาอีก 1 ตัว (แมวด้วยสิ!) และเด็กผู้หญิงที่ง้องแง้งๆ ที่คอยเป็นกำลังใจ อยากไปเรียนต่อ ป.เอก ที่อังกฤษ
แต่ใครจะขำก็แล้วแต่เขานะ เพราะเมื่อผมย้อนกลับไปดูชีวิตของผม ตั้งแต่เริ่มแรกที่ครอบครัวไม่ได้มีเงิน ไม่มีฐานะที่ดี มีเพียงแม่ผมคนเดียวที่ได้ทำงานประจำ ที่ส่งเงินให้ครอบครัวถึง 16 ปี และกำลังใจจากตายายและน้อง ทำให้ผมสามารถก้าวจากเด็กที่นั่งกินเหล้าซอดแจ้งเมื่อ 7 ปีที่แล้ว มาเป็นอาจารย์ที่กำลังเตรียมสอนอยู่ในตอนนี้
1
แล้วมันจะยากแค่ไหนกันวะ กับการที่ต้องก้าวข้ามความรู้สึกน่าอายที่คนอื่นคอยหัวเราะ ความรู้สึกน่าหดหู่ที่คนอื่นบอกว่ามันยาก มันจะยากแค่ไหนกันวะกับการแค่ต้องนั่งอ่านหนังสือ นั่งเขียนภาษา นั่งท่องศัพท์ นั่งเขียนงาน มันยากแค่ไหนกันวะ ก็ไอ้แค่ต้องไปให้คนอื่นวิจารย์งานตัวเอง และมันจะยากแค่ไหนกันวะก็แค่ไอ้ทำให้ได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ เอาสิชีวิตหนึ่งชีวิตเดียวที่เกิดมา มีคนที่รักคอยสนับสนุน หัวเราะผมเหอะใครจะหัวเราะ แต่ผมทำให้แม่ผมตกใจมาแล้ว 2 ครั้ง ครั้งที่ 3 จบ ป.เอก จากอังกฤษก็ต้องทำได้อีกสิวะ
ถึงศุภกานต์.
1
ปล. ภาพเมื่อเกือบ 1 ปีที่แล้ว
โฆษณา