1 ธ.ค. 2021 เวลา 12:30 • การตลาด
คุยกับ ‘พี่หนุ่ย’ ณัฐพล ม่วงทํา เจ้าของเพจ การตลาดวันละตอน นักการตลาดสาย Data ที่ทำทุกอย่างตั้งแต่การเป็นนักเขียน อาจารย์ ที่ปรึกษา ไปจนถึงการสร้างโปรดักต์ขึ้นมาใหม่เป็นของตัวเองโดยไม่เกี่ยงเพราะยึดหลักว่าชีวิตคนเรานั้นสั้นจงทำสิ่งที่สนุกกับชีวิต
.
⌈อ่านในรูปแบบเว็บไซต์ได้ที่ https://bit.ly/3ceulX6⌋
.
#อดีตที่ไม่ง่าย
.
พี่หนุ่ยในวัยเด็กไม่ได้มีอาชีพในฝันที่ชัดเจน เนื่องจากฐานะทางบ้านที่ค่อนข้างลำบากโดยมีเพียงรายได้จากร้านตัดเสื้อเล็กๆ ทำให้มองเห็นอนาคตข้างหน้าได้ชัดเจนนัก พี่หนุ่ยรู้แค่ว่าอยากมีเหมือนคนอื่นแต่เรานึกไม่ออกว่าจะทำยังไงให้มีแบบนั้นได้นอกจากต้องมีเงินเดือนสูงประมาณหนึ่ง
.
“ถ้าเรายังไม่สามารถมั่นใจว่าพรุ่งนี้เราจะมีกินเดือนหน้าจะมีกินปีหน้าจะมีกินเราจะไม่สามารถวาดฝันให้ไกลได้”
.
แต่ถึงอย่างนั้นครอบครัวของพี่หนุ่ยก็ผลักดันเรื่องการศึกษาและส่งเสียให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะเชื่อว่าการมีการศึกษาที่ดีจะส่งผลต่ออนาคตของลูกๆ
.
.
#ข้อคิดที่ได้จากการดรอปเรียน
.
พี่หนุ่ยดรอปเรียนและเปลี่ยนที่เรียนอยู่หลายที่ ช่วงแรกๆ เขาจึงต้องสัมภาษณ์งานกว่า 20 ที่ถึงจะมีบริษัทที่ตอบรับเพราะหลายเจ้ามองว่าขนาดเรียนยังไม่จบก็ไม่รู้ว่าจะทำงานไหวหรือเปล่า แต่การสัมภาษณ์หลายที่ก็มีข้อดีคือได้ทักษะในการสัมภาษณ์เพิ่มเติม รู้ว่าจะโดนถามอะไรและควรตอบอย่างไร ต้องทำพอร์ตแบบไหน อะไรคือสิ่งที่บริษัทมองหา
.
เมื่อได้งานแล้วก็สั่งสมผลงานและประสบการณ์อยู่เรื่อยๆ จนถึงจุดหนึ่งสามารถทำในสิ่งที่อาจจะยากกว่าคนอื่นหรือสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำได้ เท่ากับว่าเราก็จะมีอำนาจในการต่อรองงานมากขึ้น ทุกวันนี้เขาระบุบน CV ไว้บรรทัดแรกเลยว่าเรียนไม่จบปริญญาจะได้ไม่ต้องมานั่งเสียเวลาทั้งฝ่ายบริษัทและตัวพี่หนุ่ยเอง ถ้าถูกเรียกสัมภาษณ์แล้ว HR มีข้อกังขาเรื่องนี้เขาก็จะพูดไปตามตรงว่าเขาไม่ได้ให้ความสำคัญกับใบปริญญามากนัก แต่พี่หนุ่ยก็ย้ำว่าก่อนจะพูดแบบนี้ได้ก็ต้องดิ้นรนจนมีผลงานมาเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถก่อน
.
.
#เส้นทางสายการตลาด
.
เส้นทางสายการตลาดไม่ได้เกิดขึ้นอย่างตรงไปตรงมา งานแรกเขาทำงานเป็น Web Designer และจับพลัดจับผลูมาเป็นครีเอถีฟอย่างงงๆ เนื่องจากองค์กรมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างกระทันหัน และได้เลื่อนขั้นเป็น Strategic Planner ในภายหลัง ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ค่อนข้างใกล้เคียงกับงานด้านการตลาด พี่หนุ่ยจึงอยากลองทำงานฟีลด์นี้ดู แต่เมื่อได้มีโอกาสลองเป็นเฮดฝั่งมาร์เก็ตติ้งของแบรนด์หนึ่ง กลับพบว่าไม่ใช่สิ่งที่ชอบอย่างที่คิดไว้ จึงตัดสินใจกลับไปทำงานเอเจนซี่เหมือนเดิมดีกว่า
.
แต่การไปทำงานด้านการตลาดแม้ในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้ได้ข้อมูลโปรดักต์ที่ลึกกว่าเอเจนซี่ที่พึ่งทำรีเสิชมาก สิ่งที่แบรนด์ต้องการจากเอเจนซี่คือมุมมองจากบุคคลที่ 3 ว่ามีอะไรที่ตัวแบรนด์มองข้ามไปบ้าง และไอเดียที่เสนอมาทำได้จริงภายใต้ข้อจำกัดที่แบรนด์มีหรือเปล่า ดังนั้นการกลับมาทำเอเจนซี่ครั้งนี้จึงทำให้พี่หนุ่ยรู้สึกสนุกกับงานและทำผลงานได้ออกมาดีขึ้นเพราะเข้าใจแล้วว่าแบรนด์ต้องการอะไร เขาเปลี่ยนทีมกลยุทธ์จากทีมที่ถูกมองข้ามให้กลายเป็นทีมหลักที่ลูกค้าต้องเรียกหาเวลาประชุม เป็นความสัมพันธ์ที่ใกล้เคียงกับการเป็นพาร์ทเนอร์ที่เข้าใจกัน
.
.
#การได้ทำอะไรหลายอย่างมีข้อดียังไง
.
Pain Point ที่พี่หนุ่ยต้องเจอตอนเป็นครีเอทีฟคือการที่ฝ่ายกลยุทธ์ทำรีเสิชออกมาไม่ดีทำให้ครีเอทีฟที่รับงานมามองไม่เห็นภาพ ไม่เข้าใจว่าต้องรับไม้ต่ออย่างไร พอทำงานไปสักพักเขาถึงได้เจอกับ Strategic Planner คนหนึ่งที่ทำให้เขาเข้าใจว่ากลยุทธ์ที่ดีไม่จำเป็นต้องทำให้ดูยากและซับซ้อน แต่ต้องทำให้สมเหตุสมผลและสอดคล้องกันทั้งฝั่งลูกค้าและครีเอทีฟที่เป็นคนลงมือสานต่อไอเดีย ดังนั้นเมื่อพี่หนุ่ยย้ายมาทำฝั่งกลยุทธ์ เขาก็จะเข้าใจข้อจำกัดต่างๆ ของฝั่งครีเอทีฟว่าไอเดียไหนทำได้ ไอเดียไหนทำไม่ได้ทำให้สามารถคิดไอเดียที่เอื้อต่อครีเอทีฟได้มากขึ้น
.
.
1
#การตลาดวันละตอน
.
เพจ ‘การตลาดวันละตอน’ มีจุดเริ่มต้นมาจากการเป็นหัวหน้าทีมครีเอถีฟ พี่หนุ่ยมองว่าหน้าที่ของคนเป็นหัวหน้าคือการทำให้ลูกน้องเก่งขึ้น ทุกครั้งที่ได้รับงานมาเขาจึงกลับบ้านไปรีเสิช Case Study ต่างๆ แล้วเอามาเล่าให้ลูกทีมฟัง พอเล่าบ่อยๆ ทุกวันก็มีคนเสนอให้ทำเพจเพื่อเก็บไว้อ่านและแชร์ความรู้ต่อ บวกกับเห็นว่าการทำเพจก็อาจเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหารายได้เสริม พี่หนุ่ยจึงสร้างเพจนี้ขึ้นมา
.
แต่รายได้ที่ว่าก็ไม่ได้สร้างกันง่ายๆ เพราะพี่หนุ่ยต้องเขียนไปราว 500 ตอนถึงจะมีคนลงโฆษณาเป็นเจ้าแรก (ได้รับมา 5,000 บาท) เขาจึงแนะนำว่าต้องเริ่มด้วยใจรักก่อนเพื่อไม่ให้ท้อไปก่อน อีกเคล็ดลับคือให้เขียนชื่นชมคนอื่น เพราะแบรนด์ไหนๆ ก็อยากถูกมองในแง่ดี แต่ก็ใช่ว่าจะชมแบบไม่ดูข้อเท็จจริงเลย เรียกว่าหยิบข้อดีมาเขียนถึงจะดีกว่า
.
จุดที่ทำให้เพจเริ่มบูมจริงๆ คือการเขียนเรื่อง Personalization ซึ่งเป็นหัวข้อที่เขาสนใจพอดีแต่ยังไม่เห็นใครเขียนออกมาให้อ่านง่าย เขาจึงรวบรวมข้อมูลและนำเสนอออกมาใหม่ในรูปแบบของตัวเอง โพสต์นี้กระแสตอบรับดีมากจนมีสำนักพิมพ์มาติดต่อว่าสนใจรวมเล่มเป็นหนังสือไหม ทั้งยังมี CEO มาทาบทามให้เป็นที่ปรึกษาด้วย แต่สุดท้ายพี่หนุ่ยก็ปฏิเสธไปเพราะรู้สึกว่าตัวเองยังไม่เก่งพอ
.
.
#จากคนที่เคยเรียนไม่รู้เรื่องสู่การเป็นอาจารย์
.
จุดเริ่มต้นการเป็นอาจารย์พิเศษของพี่หนุ่ยเริ่มมาจากการที่เขาเขียนให้ข้อมูลความรู้ด้าน Data ลงเพจของตัวเองจนได้มีโอกาสเขียนลง Rabbit Today พอมีหลายคนเห็นผลงานก็มองว่าพี่หนุ่ยน่าจะพอสอนได้เลยถูกชักชวนไปบรรยายตามมหาวิทยาลัยอยู่บ่อยครั้ง และได้สอนเป็นคอร์สครั้งแรกที่สถาบันการจัดการปัญญาภิวัฒน์ โดยตั้งใจว่าจะทำให้การสอนออกมาสนุกและเปลี่ยนมายด์เซ็ทของคนเรียนว่า Data เป็นเรื่องใกล้ตัว จับต้องได้ ไม่ใช่แค่การนั่งดูตัวเลขนั่งเขียนโค้ดเนื่องจากสมัยเรียนที่เขาเป็นเด็กไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไรนั้นก็เพราะเขาไม่เข้าใจว่าสิ่งที่เรียนอยู่จะเอาไปใช้ทำอะไรในชีวิตประจำวันได้
.
.
#ลาออกจากงานประจำ
.
สาเหตุที่พี่หนุ่ยลาออกนั้นมาจาก Vision ที่แตกต่างกันกับคนในบริษัท พี่หนุ่ยมองว่าต่อไปโลกการตลาดจะเปลี่ยนไปในทิศทาง Data-driven มากขึ้นเลยคิดว่าควรเปลี่ยนให้บริษัทเป็นแบบกึ่งๆ ที่ปรึกษา ไม่ใช่แค่เอเจนซี่ทำการตลาดสื่อสารและทำคอนเทนต์อีกต่อไป แต่ไม่มีใครเห็นด้วย เขาจึงตัดสินใจลาออกเพื่อไปทำในสิ่งที่ตัวเองอยากทำจริงๆ ดีกว่า
.
ทุกวันนี้เขาทำอยู่ 5 อย่าง 1) ทำเพจ 2) เป็นที่ปรึกษา 3) ทำ Data Research 4) งานสอน 5) ทำแพลตฟอร์ม Analytic ของตัวเอง พอทำหลายอย่างก็ทำให้ตัวเองไม่เครียดกับอย่างใดอย่างหนึ่งเกินไปเพราะมีรายได้หลายทาง
.
.
#การตลาดเปลี่ยนไปมากแค่ไหน
.
พี่หนุ่ยบอกว่าทุกวันนี้เทรนด์การตลาดแทบจะเปลี่ยนกันทุกปี อย่างปีนี้ก็จะไปในแนว Marketing Technology ที่เน้น Customer Data Platform (CDP) แต่พี่หนุ่ยก็อยากให้จำไว้ว่ามีแค่เครื่องมือที่เปลี่ยนไปแต่แก่นของการตลาดก็ยังเหมือนเดิม คือทำยังไงถึงจะเข้าใจลูกค้ามากขึ้นเพื่อให้ลูกค้าซื้อของของเราเร็วขึ้น เพราะฉะนั้นในแง่หนึ่งทักษะที่สำคัญของการเป็นนักการตลาดที่ดีคือการมี Learning Mindset ที่รู้จักปรับตัวไปตามเทรนด์อยู่ตลอด
.
.
#สิ่งที่คนเข้าใจผิดเกี่ยวกับการตลาด
.
พี่หนุ่ยสังเกตว่าคนสมัยนี้คิดว่าการตลาดเท่ากับการยิงแอดส์ และมีหลายคนที่พยายามทำให้การตลาดเป็นเรื่องยาก ทั้งๆ ที่แก่นของการตลาดไม่มีอะไรมากไปกว่าการสร้าง Demand ขึ้นมาให้คนอยากซื้อสิ่งที่เราขาย
.
“ถ้าถามว่าทำยังไงถึงจะมีลูกค้าเยอะขึ้น คำตอบก็คือทำให้ลูกค้าเราน่าอิจฉาสิ ชาแนลขายได้เพราะอะไร เพราะเห็นคนอื่นมีแล้วอยากมีบ้างไง”
.
.
#แพลนในอนาคต
.
ตั้งแต่ลาออกจากงานมาก็ค้นพบว่าแพลนคือไม่มีแพลน พี่หนุ่ยแค่เลือกทำสิ่งที่อยากทำและดูน่าสนุกไว้ก่อน และยอมเสียเงินเพื่อ Learning by doing มากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น เมื่อปีก่อน (2563) พี่หนุ่ยจัดงาน Hackathon ด้าน Finance คิดโปรดักต์ที่ทำให้คนไทยบริหารจัดการเงินได้ดีขึ้น พี่หนุ่ยหมดค่าใช้จ่ายกับงานไปประมาณหนึ่งแสนบาท แต่ก็เป็นการเสียเงินที่คุ้มในความคิดของพี่หนุ่ยเพราะได้เห็นไอเดียที่สดใหม่และรอยยิ้มของผู้เข้าแข่งขันที่หาไม่ได้จากการซื้อคอร์สเรียน
.
.
#บทเรียนที่อยากฝาก
.
บทเรียนสำคัญที่สุดที่เรียนรู้กับตัวเองทุกวันนี้คือน่าจะเป็นไม่มีอะไรที่จีรังแน่นอนหรือยังยืน สุดท้ายเราได้รู้ว่าแม้กระทั่งธุรกิจที่เคยใหญ่ที่เคยเป็นแบบระดับบิ๊กก็สามารถล้มได้สิ่งที่เราเคยทำแล้วเชี่ยวชาญเมื่อปีที่แล้ววันนี้ ทักษะหรือสกิลนั้นอาจจะไม่ได้มีความจำเป็นอีกต่อไป ชีวิตเลยเป็นเหมือนอะไรที่พลิกผันตลอด พี่หนุ่ยเลยอยากแนะนำว่าพยายามใช้ชีวิตให้มีความสนุกและความสุขของตัวเองอยู่เสมอ พร้อมรับมือกับความผิดหวังว่าอะไรคือปัจจัยที่เราสามารถแก้ไขได้ อันนั้นก็คือปัญหา ส่วนอะไรที่เราไม่สามารถแก้ไขจัดการมันได้อันนั้นคือความจริงที่ต้องยอมรับให้ได้
.
นอกจากนี้ยังมีอีกข้อหนึ่งที่พี่หนุ่ยอยากฝากไว้คืออย่าเป็นคน ‘ไม่น่ารัก’ กับคนอื่น เพราะโลกการทำงานนั้นแคบกว่าที่คิด เราอาจจะคิดว่าไปสมัครงานที่ใหม่ก็ไม่เจอคนรู้จักกันแล้วแต่พอถึงจุดหนึ่งเราก็จะเจอคนที่เก่งใกล้ๆ กัน และแน่นอนว่าคนที่ถูกเลือกก็คือคนที่ดูน่าทำงานด้วยมากกว่า
.
#careerfact #cariber
………………
Career Fact เพราะทุกอาชีพ... มีเรื่องราว
ติดตาม Career Fact ทุกช่องทางได้ที่ https://linktr.ee/careerfact
โฆษณา