1 ธ.ค. 2021 เวลา 16:21 • ปรัชญา
พระแม่พระธรณี ..(๔) .. ผู้มีปัญญามีบุญจะรู้วิธีการที่จะหาอะไรมาช่วยเหลือ
ผู้มีปัญญามีบุญจะรู้วิธีการที่จะหาอะไรมาช่วยเหลือ มาแก้ไข โดยการที่เค้ามาสร้างบุญสร้างบารมีให้มันเกิดขึ้น เพื่อจะมาแก้ไอ้ปม ที่มันแน่นหนักหนาที่เป็นขี้สนิมนี้ออก เอาอะไรมาแก้ เอาบุญกุศลบารมีมาแก้ มาแกะปมอันนี้เสียที่ผูกไว้ ก็คือ เอาน้ำมันที่เป็นการหล่อลื่นบ้าง หรือเอาน้ำ ที่มาแก้ไข ไอ้ตัวที่จะเป็นขี้สนิมออกไป แล้วก็ค่อยๆ ขยับเขยื้อนออก แล้วมันก็จะค่อยขยับเขยื้อนออก ไม่ใช่ว่ามันจะออกทีเดียว วันนี้ไม่ออก พรุ่งนี้ หลายวันมันก็ต้องออกสักวัน นั่นคือผู้มีความพยายาม มีความเพียรที่จะแก้ จะแกะปมที่เราผูกไว้ ให้หลุดออกจาก ที่เราผูกออกสักทีหนึ่ง แต่นี่ไม่ กับมาผูกแล้วผูกอีกจน ปมเงื่อนมันยาวเหยีอด มองแทบจะไม่เห็นเกิดขึ้น
แล้วเมื่อไหร่ ..ไอ้ต้นตอที่เราผูกไว้ มันก็เริ่มเป็นสนิมเกิดขึ้นๆทุกข้อๆ มันลำบากลำบนมากน้อย เกิดมาทุกภพทุกชาติมันต้องแก้ไข แต่นี่ผูกเพิ่มเติมๆ แล้วไอ้ต้นตอที่เราเริ่มไว้นั่นมันก็เป็นขี้สนิม มันอยู่นานแล้ว มันใช้ลวดมันใช้เหล็กมาผูกอ่ะ มันไม่ใช่ใช้เชือก ถ้าเชือกผูกมันก็อาจจะขาดก็ได้ แต่นี่เอาลวดที่แข็งแรง ที่เป็นเหล็ก ที่ไม่สามารถที่จะหลุดออกได้ง่ายๆ มันติดอยู่ยังไง ติดอยู่อย่างงั้น ต้องเอาขี้สนิมออกให้ได้ ก็ต้องมีวิธีการต่างๆที่เกิดขึ้น ก็โดยสิ่งที่จะมาแก้ปมต่างๆ ก็หาวิธีการต่างๆมาแก้ เช่น เอาสิ่งที่ ที่เย่างอื่นที่เป็นน้ำมันบ้าง สิ่งที่หล่อลื่น หรือ เอาความร้อน หรือ เอาสิ่งที่เช็ด เอาขี้สนิมออกให้ได้ แล้วค่อยๆแกะออก
นั้นก็คือ การสร้างบุญเกิดขึ้น บารมีที่มีความเพียรพยายามที่จะแกะปมอันนี้ออกให้ได้ บุญบารมีเราต้องทำ ไม่อย่างนั้น เราต้องผูกเงื่อนนี้ไปเรื่อยๆ ไม่รู้จักจบ เมื่อมันไม่รู้จักจบ เราก็ต้องแก้..เราก็ไม่มีโอกาสที่จะแก้ไข นิสัยของตัวเองได้ ปมแต่ละปม คือ กรรม กรรมที่ตัวเองทำไว้มากมายก่ายกองเหลือเกิน
มาชาตินี้ก็รู้จักบุญ กุศลบ้างพอประมาณ แต่ก็ไม่ใช่รู้จักที่แท้จริง ทำไปบ่อยๆ ทำไปให้รู้จักบุญให้ได้ เช่น ทำกายนิ่ง จิตนิ่งจริงๆ เค้าเรียกว่า ตาจะสว่าง ที่มองเห็นบุญ ที่แท้จริงที่เราทำ ไม่อย่างงั้น ทำบุญไป ตามวาระที่เราอยากจะทำเท่านั้น ก็ทำไปเรื่อยๆ แต่ก็ไม่มีปัญญาที่จะไป แกะปมอันนั้นออกได้ หรือ ไม่ปัญญาที่จะสร้างบารมี ที่จะหาวิธีมาแก้ไข เชือกปมอันนี้ออก
เพราะฉะนั้น การที่จะทำแต่ละอย่างต้องตั้งอกตั้งใจ แม้แต่ประพฤติปฏิบัติ ก็ตั้งอกตั้งใจทำ ทำเพื่อใครกัน ทำเพื่อคนนั้นคนนี้ หรือ ทำเพื่อจิตของตัวเอง
เราทำเพื่อตัวเอง ทำไมไม่ตั้งอกตั้งใจทำ ให้เต็มใจที่เราต้องทำจริงๆทำให้กายนิ่ง มีความขยัน มีความเพียรเกิดขึ้นนะ มีความพยายามเกิดขึ้น แต่นี่ไม่..คอยเวลา คอยโน้นคอยนี่ จนหมดเปลื้องเรื่องราวของเวลาไปทีละเล็กทีละน้อย มันไม่หมดเปลื้องเรื่องเวลาไปเท่านั้น ก็ยังมีกรรมมาสอดแทรกอีกมากมาย แล้วก็ยัง..เวลาหมดไป กายมันก็หมดไปทีละเล็กทีละน้อย กายของเรามันเกิดดับ เกิดดับอยู่ตลอดเวลานะ แต่เราไม่รู้ว่ามันเกิดกับอย่างไรนะ เดี๋ยว..เกิดเจ็บตรงโน้น เดี๋ยว..มันก็ดับตรงนี้ เดี๋ยวตรงนั้นตณงนี้ พอมันเกิดดับๆ ร่างกายมันก็ทรุดโทรมเกิดขึ้น ความแก่เฒ่าชรามันก็มากันขึ้นเพราะการเกิดดับๆของกายนั่นเอง แต่เราไม่ได้สังเกตเอง ว่ามันเกิดดับอย่างไร รู้แต่ว่าใช้ไปวันหนึ่งคืนหนึ่งเท่านั้น รู้ว่าเค้าให้มาใช้ ก็ใช้กันอยู่อย่างนี้
เค้าให้มาใช้มาแก้ไขเรื่องราวของกรรมของตัวเอง ให้มาสร้างบุญกุศลบารมี ที่เรามีบุญวาสนา มาเกิดเป็นมนุษย์ครบอาการสามสิบสองนี่ ถ้ารู้จักจริงๆว่าเราได้กายนี้จริงแล้วนี่ เค้าจะรีบขวนขวายตักบุญ ตักกุศลบารมีให้แก่จิตของตัวเอง เพื่อจะหนีอะไร หนีความทุกข์ หนีการเกิดแก่เจ็บตายนั่นเอง
เหมือนกับองค์พระสิทธัตถะนั่นนะ ท่านทิ้งโน้นทิ้งนี้ ทิ้งแต่ละชาติๆ สร้างความกตัญญูรู้คุณแต่ละชาติ ไม่ใช่ทำกันง่ายๆ แม้แต่จิตที่เป็นสัตว์เป็นอะไรก็แล้วแต่ ท่านทำมาโดยตลอด กว่าจะมาถึงในชาติของมนุษย์ครบอาการสามสิบสอง ท่านก็มาทำอีก ความกตัญญูรู้คุณของบิดามารดา รู้จักคุณของเรื่องการกินการอยู่การอาศัยต่างๆ แต่ก็ยังไม่หลุด จนมาเป็นที่ประจักษ์กันว่า ในเรื่องราวของพระเวสสันดรนั้นแหละ ทิ้งจนหมด จนไม่มีอะไรเหลือ แต่ก็ต้องไป..เพราะว่าจิตมันไม่รู้ตอนนั้น ก็ไปเอาคืนอีก ..เอาคืนก็คือ เดินทางไปเสวยสุขอยู่ในพระราชวัง ไปอยู่กับบุตรธิดา มเหสีอะไรต่างๆ โอ้ว..ไม่เข้าใจเหมือนกันนะเรื่องนี้นะ ก็ไปอยู่อย่างนั้น เค้าเรียกเอาคืน ก็ต้องเกิดมาใหม่
ที่จริงน่าจะจบ แต่ไม่จบขนาดทิ้งสมบัติ ให้คนนั้นคนนี้หมดแล้ว แม้แตสังขารตัวเองก็ทิ้ง แต่ว่าเผลอไผล ไปเอาคืนมาเสียนี่ ก็เดินทางไปเอาคืนก็เลยต้องเกิมาใหม่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แต่ด้วยความบริสุทธิ์ ด้วยการให้ด้วยความบริสุทธิ์ที่แท้จริง จึงมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็มีปัญญาที่จะรู้ว่า สิ่งนี้ทำให้เกิดแก่เจ็บตาย ทิ้งมันดีกว่า หนีเข้าป่าไป ไปอาศัยตัวเอง ไม่ต้องเกิดมาชาติหน้ามาเป็นขี้ข้าของใครอีก ไปอยู่กลางป่า อาศัยกิน อาศัยนอนอยู่กลางป่า ด้วยกิริยาของการกระทำช่วยเหลือตัวเองตลอด ไม่ต้องไปใช้คนโน้นคนนี้ทำ คนนี้เอามาให้มาหนุนนำเอามาให้อาหารการกินในเรื่องราวต่างๆ นั่นก็คือ ต้องเป็นขี้ข้าเค้าอีก ต้องชดใช้เค้าอีก ท่านมองเห็นอย่างนั้น มันเป็นกรรมทั้งนั้น ท่านบอกว่าหนีดีกว่า ไม่เอาแล้ว อยู่กลางป่าหากินหาอยู่ อยู่คนเดียว
นั่นก็คือ ท่านอาศัยใคร..อาศัยพระแม่พระธรณีนี่แหละ คอยชี้เรื่องราวต่างๆว่า กายของเราประกอบด้วยอะไรบ้าง แล้วท่านพระแม่พระธรณี ท่านก็เก็บเรื่องราวเหล่านี้ ไว้เป็นสักขีพยานให้กับ จิตทุกดวงที่อาศัยพระแม่พระธรณีอยู่ นั่นเอง
โฆษณา