3 ธ.ค. 2021 เวลา 05:27 • ไลฟ์สไตล์
“K Shape Recovery in Thailand 2021”
“K Shape Recovery in Thailand 2021”
ใครจะไปนึกถึงประเทศไทยในอนาคต ความเหลื่อมล้ำทางรายได้จะถ่างกันมากขึ้น วลีที่ว่า “รวยกระจุก จนกระจาย” ยิ่งเข้มข้นมากขึ้น Covid-19 นั้นเป็นบทพิสูจน์แห่งการคัดสรรค์ระหว่างธุรกิจที่ปรับตัวและอยู่ในกระแสแห่งอนาคต กับธุรกิจ Traditional Model ที่ตามกระแสที่มาเร็วกว่าที่คิดไม่ทัน แล้วตัวเราจะต้องเตรียมพร้อมรับมืออย่างไร
ย้อนไปที่ปมปัญหาเศรษฐกิจก่อนวิกฤติโควิดในไทยปัญหาหลักคือ “ความเหลื่อมล้ำทางรายได้ที่มากขึ้น” ซึ่งเกิดจากปัจจัยหลัก ๆ ด้วยกันก็คือ โอกาสในการสร้างรายได้ ศักยภาพในการทำงาน และความรู้ในการบริหารเงินเป็นหลัก ซึ่งภาครัฐก็ได้แก้ไขด้วยวิธีต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการอัดฉีดเงิน หรือการเพิ่มตำแหน่งอาชีพ แต่ก็ยังไม่อาจทำให้ประเทศไทยพ้นจากอันดับประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก Credit Suisse ได้ประเมินว่า คนไทยมั่งคั่ง 10% ถือครองสินทรัพย์มากกว่าถึง 77% ของคนทั้งประเทศ 77% ของคนทั้งประเทศ และคนรวยที่สุด 1% ของประเทศถือทรัพย์สินเฉลี่ยคนละ 33 ล้านบาท ต่างกันถึง 2500 เท่ากับค่าเฉลี่ยของคนกลุ่มที่จนสุด 20% แรกของประเทศ
กลับมาในสถานการณ์ปัจจุบันที่แทบจะมองไม่เห็นอนาคตที่แน่นอน นักเศรษศาสตร์หลายๆ คนก็ได้วิเคราะห์รูปแบบการฟื้นฟูของเศรษฐกิจไทยต่างๆ จะ V Shape, U Shape, W Shape หรือ Nike Shape ก็ดี แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างลงเอยกันที่รูปแบบ “K-Shape Recovery”
K-shape Recovery สรุปสั้นๆ คือการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่มีมีกราฟแตกแยกออกเป็น 2 เส้น ระหว่างเส้นกลุ่มเศรษฐกิจขาขึ้นและขาลง ซึ่งในปัจจุบันโควิดก็เป็นตัวเร่งปฏิกิริยาทำให้กราฟแตกแยกกว้างขึ้น ทำให้เกิดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจที่กว้างขึ้น
ฝั่งขาขึ้น ซึ่งเป็นส่วนน้อย ได้แก่ ธุรกิจที่ตอบโจทย์เทรน New-Normal ในปัจจุบันและยั่งยืนในอนาคต หรือธุรกิจที่มีโมเดลที่ Sustainable ต่ออนาคต อย่างเช่น Digital Platform, Cyber Security, Data Analysis, Environmental Sustainability, Financial Innovation หรือ Medical, Bio-Technology เป็นต้น
ส่วนฝังขาลง ซึ่งเป็นส่วนมาก ซึ่งได้แก่ ธุรกิจ SME ส่วนใหญ่ที่ยังใช้โมเดลธุรกิจแบบเดิมอยู่ ซึ่งเป็นการ Stock สินค้าหรือวัตถุดิบก่อนแล้วรอขายหน้าร้าน หรือแบบ offline หรือกึ่ง Online ซึ่งมีลักษณะเดียวคล้ายกับร้านโชว์ห่วย ถ้าธุรกิจเหล่านี้ยังไม่ปรับตัวหรือปรับตัวไม่ทัน ก็มีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเตะออกจากระบบนิเวศ New Economy ได้
ซึ่งในปัจจุบันเราก็ได้เห็น การปฏิรูปขององค์กรธุรกิจที่มีโมเดลดั้งเดิมต่าง ๆ ไม่ว่าจะขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ ตัวอย่างเช่น การควบรวมกิจการของ DTAC และ TRUE การซื้อกิจการ Bitkub ของ SCBS หรือล่าสุดก็คือการร่วมมือของ Bitkub และ The Mall ที่มีการทดลองเปิดบริการการชำระเงินด้วย Cryptocurrency เป็นต้น มีวัตถุประสงค์ในการเอาตัวรอดและเติบโตในระบบเศรษฐกิจใหม่
โดยสรุป จะเห็นได้ว่าโมเดลธุรกิจที่อยู่ในช่วง Uptrend ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจที่ตอบโจทย์คนส่วนใหญ่ เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี และปรับตัวได้รวดเร็วขึ้นมาก ธุรกิจที่อยู่ในช่วง Downtrend ควรที่จะรีบเปลี่ยนแปลง และถ้าอยากจะเติบโต ก็ควรจะมองหาความร่วมมือช่วยเหลือของธุรกิจที่อยู่ในส่วน New Economy เป็นต้น ไม่มีธุรกิจไหนหลีกเลี่ยงคำว่า Ecosystem ได้แล้ว
สุดท้ายนี้สำหรับคนทั่วไป เราก็ต้องรู้จักเรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และปรับตัวเพื่อให้ตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรอยู่เสมอ เพราะแทบทุกองค์กรก็ได้เปลี่ยนแปลงกันไปหมดแล้ว เพื่อที่จะไม่ตกขบวนของโลกในอนาคต และบรรเทาความเหลื่อมล้ำ นอกจากเป็นหน้าที่ของภาครัฐแล้ว ภาคประชาชนก็เป็นตัวแปรสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศด้วย
โฆษณา