7 ธ.ค. 2021 เวลา 04:45 • ท่องเที่ยว
"ครูบ้าเที่ยว"
ครั้งแรกบนภูเขาไฟฟูจิ! EP.1
เหตุการณ์นี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อกลางปี 2557 เป็นช่วงฤดูฝนของเมืองไทย แต่ประเทศญี่ปุ่นน่าจะช่วง summer จุดเริ่มต้นของการเดินทางครั้งนี้เกิดขึ้นเพราะ ตัวผมเอง! ที่ได้มีโอกาสอ่านแมกกาซีน weekend ที่แจกฟรีจากร้าน cafe amazon แถวบ้าน หน้าหลังสุดของแมกกาซีนมีคอลัมน์เกี่ยวกับการท่องเที่ยว ซึ่งเล่มนั้น (จำไม่ได้ว่าหน้าปกเป็นยังไง) ผมได้พบว่า มนุษย์สามารถขึ้นไปบนภูเขาไฟฟูจิได้ (หลายคนอาจจะรู้ แต่ผมไม่รู้จริงๆ ณ ตอนนั้น ซึ่งฟูจิสูงประมาณ 3,776 เมตร) หลังจากที่อ่านจบ ผมจึงเอ่ยปากชวนเพื่อนในกลุ่มที่เรียนมหาวิทยาลัยมาด้วยกัน หลังจากถามไปในกลุ่มไลน์ ณ ตอนนั้น ซึ่งส่วนใหญ่ถามกลับมาว่า มึงจะขึ้นไปทำไมบนภูเขาไฟฟูจิ มีคนขึ้นไปด้วนร๋อหว่ะ ซึ่งผมก็บอกกลับไปว่า มันน่าจะสวย ต้องลองสักครั้งในชีวิต เดี๋ยวพวกมึงอายุเยอะขึ้น จะไม่มีเรี่ยวแรงทำอะไรแบบนี้แล้ว
หลังจากนั้น มีเพื่อนตอบตกลงมาแค่ 2 คน ซึ่งถ้ารวมผมด้วยก็ 3 คน เรา 2-3 คน จึงแบ่งหน้าที่กันหาข้อมูล และตกลงกันไว้ว่าเราจะไปญี่ปุ่น 7 วัน ผมรับหน้าที่หาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการเดินทางจากที่พักในเมืองโตเกียวไปถึงที่ทำการสำหรับขึ้นภูเขาไฟฟูจิ ส่วนอีก 2 คนแบ่งกันหาข้อมูลที่พัก และเรื่องตั๋วการเดินทาง
(นัดกัน 6 คน แต่วันจริงเหลือ 3 คน)
จากนั้นเวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ จนกระทั่งใกล้ถึงวันเดินทาง เรามีการนัดพบ พูดคุยกันเพียงครั้งเดียว ซึ่งหลายคนอาจจะคิดว่า พวกเราเตรียมตัวดีมาก ซึ่งที่จริงๆแล้ว เราแถบจะไม่ได้เตรียมตัวอะไรกันมาก ไม่ใช่เพราะเราเก่งนะ แต่พวกเราเป็นแนวไปตายเอาดาบหน้า 55 แต่เรื่องที่พักนี่ต้องเตรียมก่อน อย่างน้อยมีที่พักก็สบายใจแล้ว
ถึงเวลาเดินทางจริง ช่วงเวลาประมาณตี 4 เมืองไทย ด้วยสายการบิน delta airline เดินทางสู่สนามบินนาริตะ ประเทศญี่ปุ่น ใช้เวลาประมาณ 4-5 ชั่วโมง ถึงญี่ปุ่นเวลาประมาณ 10 โมงเช้า เรา 3 คน ก็เจอปัญหาเล็กน้อยเรื่องภาษา ถ้าหลายๆคนเคยไปญี่ปุ่นก็จะรู้ใช่ไหมครับว่า ไม่ค่อยมีภาษาอังกฤษตามป้ายต่างๆ จากนั้นเราต่อรถไฟจากสนามบินนาริตะ เข้าสู่ตัวเมืองโตเกียว ซึ่งไปเชคอินที่พัก ที่เราจองไว้
วันแรกเราจองที่พักไว้แถว asakusa เป็นเหมือน hostel ห้องที่เราพักเป็นห้อง dorm 6 คน หลังจากเชคอินเสร็จ เราเดินไปเรื่อยๆ แถวๆ วัด asakusa ซึ่งแน่นอนว่าเป็นแหล่งท่องเที่ยวของคนไทยเลยทีเดียว แต่วันนั้นที่เราไปกลับมีนักท่องเที่ยวไม่มากนัก ประกอบกับช่วงเย็น เหมือนกับมีเทศกาลอะไรสักอย่าง จำไม่ได้ มีอาหาร ของกิน เยอะมากๆ ผมก็เลยจัดการลองชิม อิ่มกันไป เราต้องกินให้อิ่ม เพราะวันพรุ่งนี้เราต้องเดินทางจากเมืองเข้าสู่ที่ทำการสำหรับเดินขึ้นภูเขาไฟฟูจิ
เช้าวันที่ 2 เรารีบตื่นกันตั้งแต่เช้า เช็คเอาท์จากโรงแรม แล้วรีบเดินทางกันต่อเพื่อไปยังบริเวณชั้นที่ 5 ของภูเขาไฟฟูจิ ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของการเดินขึ้นสู่ยอดเขา สำหรับการเดินทางพวกเราเริ่มจากกันนั่งรถไฟแล้วไปที่จุดเปลี่ยนเป็นรถบัส สำหรับขึ้นไปยังชั้นที่ 5 ของภูเขาไฟฟูจิ โดยปกติสามารถขับรถยนต์ขึ้นมายังชั้นที่ 5 ของภูเขาไฟได้
วิวข้างทางจากรถไฟ สามารถมองเห็นภูเขาไฟได้อย่างชัดเจน
ชั้นที่ 5 จุดเริ่มต้นการเดินขึ้นภูเขาไฟ
เมื่อพวกเราเดินทางมาถึงชั้นที่ 5 กิจกรรมแรกที่ทำคือ การเติมพลังงาน เรามองหาร้านอาหารที่ราคาไม่แพงมากนัก ซึ่งต้องบอกว่าข้างบนนี้ก็มีร้านอาหารไม่ค่อยเยอะเท่าไหร่นัก เรามาลงเอยที่ร้านที่อยู่ใกล้ๆ สถานี ผมหิวมากเลยสั่งเมนูที่น่าจะช่วยเติมพลังงานอย่างดี แต่จำชื่อไม่ได้
หลังจากเติมพลังงานกันเรียบร้อย ก็ถึงเวลาเตรียมซื้ออุปกรณ์เดินเขา ต้องบอกก่อนว่ามันเป็นครั้งแรกสำหรับพวกเราในการเดินขึ้นเขา เลยยังไม่รู้ว่าจะต้องซื้ออะไรบ้าง แต่แอบสังเกตจากนักเดินเขาที่มากันเป็นกลุ่มใหญ่ มีทั้งคนญี่ปุ่น ต่างชาติ ชาย หญิง เด็ก ผู้ใหญ่ เต็มไปหมด ทุกคนดูมีความพร้อมและกระตือรือร้น แต่สำหรับพวกเราไม่ค่อยได้เตรียมตัวมากันสักเท่าไหร่ เตรียมแต่ใจมาล้วนๆ พวกเราจัดการซื้ออุปกรณ์ที่คิดว่าจำเป็น คือถุงมือ ไม้ค้ำยัน รวมถึงถังออกซิเจนแบบพกพา
ขอถ่ายภาพสักหน่อย ก่อนเดินทาง
เมื่อเตรียมอุปกรณ์พร้อมแล้ว ก็ถึงเวลาเดินทาง เราเริ่มออกเดินทางจากชั้นที่ 5 เวลาโดยประมาณ 4 โมงเย็น เป้าหมายของเราคือต้องไปถึงชั้นที่ 9 ก่อนเวลาประมาณ 2 ทุ่ม เพราะทางเจ้าหน้าที่บอกว่าต้องนอนพักประมาณ 5-6 ชั่วโมง แล้วตื่นมาเดินต่อขึ้นถึงยอดเขา เพื่อต้อนรับแสงแรกของวันบนยอดเขาพอดี
ชั้นที่ 9 เป็นชั้นสุดท้ายก่อนถึงยอดเขา
ในตอนเริ่มเราเร่งฝีเท้ากันเพื่อให้ถึงชั้นที่ 9 ทันเวลาก่อนมืด ซึ่งเราได้จองที่พักข้างบนไว้ก่อนหน้าเดินทาง
บรรยากาศรอบๆ หลังจากเดินกันมาสักพัก
ผ่านไปประมาณ 1 ชั่วโมง อาการของความเหนื่อยล้าเริ่มแสดงออกมา เราตกลงกันว่าหยุดพักก่อน
วิวจากชั้นที่ 5
ระหว่างทางผมมองไปรอบๆ เห็นวิวแบบนี้แล้วชื่นใจ มีกำลังใจเดินต่อครับ หลังจากผ่านช่วงแรกไปได้ ในชั้นต่อๆ ไป จะเป็นลักษณะเหมือนเส้นทางเดินที่สลับซ้าย ขวา ที่เจ้าหน้าที่ได้ทำไว้ให้สำหรับนักเดินเขา
สังเกตนักเดินเขาคนอื่นๆ อุปกรณ์จะพร้อมมาก
ผ่านไปประมาณ 2 ชั่วโมง อากาศเริ่มเย็นลง ยอดเขาถูกปกคลุมไปด้วยหมอกก้อนใหญ่ สวยงามมาก ระหว่างทางที่เราเดิน ก็จะมีนักท่องเที่ยวเดินตามๆ กันมา พอมาถึงชั้นที่ 7 ก็จะเจอกับที่พัก ซึ่งไม่ใช่ที่ๆเราจองไว้ แต่ขอนั่งพักเอาแรงสักหน่อย เพราะหายใจไม่สะดวก (ในที่สูงจะมีแรงดันอากาศและความเข้มข้นของออกซิเจนน้อยกว่าระดับน้ำทะเล และยิ่งสูงก็ยิ่งน้อยลงเรื่อยๆ เช่น ที่ความสูง 3,000 เมตร (ประมาณ 9,800 ฟุต) จะมีแรงดันของออกซิเจนในอากาศแค่ 70% ของที่ระดับน้ำทะเล เป็นต้น เป็นผลทำให้ร่างกายมีระดับออกซิเจนในเลือดลดลงด้วย ก่อให้เกิดการตอบสนองของระบบต่างๆ ของร่างกายซึ่งทำให้เกิดอาการผิดปกติตามมาได้) ขอแทรกสาระสักหน่อย
แต่เราจะพักกันบ่อยๆ ไม่ได้ เพราะเวลายิ่งมืดค่ำ จะทำให้มองเส้นทางไม่เห็น แล้วก็ยิ่งหนาวมากด้วย เราเร่งฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง อาการทุกคนตอนนี้เหนื่อยล้ามาก จนในที่สุดเราก็มาถึงชั้นที่ 9 ที่พักของเรา ผมรีบเข้าไปข้างในเพื่อเช็คอิน เพราะหมดเรี่ยวแรง อยากจะพักเต็มที จากนั้นก็จัดการนำบะหมี่สำเร็จรูปมาใส่น้ำร้อนที่ทางที่พักเตรียมไว้ให้ ซึ่งต้องบอกก่อนว่าอาหารและน้ำดื่มเราต้องเตรียมมาเอง ข้างบนราคาจะเพิ่มขึ้นตามความสูงเลย แพงจริงๆ
จุดชมวิวจากบริเวณที่พัก ซึ่งสูงเหนือเมฆจริงๆ
to be continue EP.2
โฆษณา