Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
12 ธ.ค. 2021 เวลา 02:11 • กีฬา
เจ้านาย หรือ ผู้นำ ? : การหลงทางในโมเดิร์นฟุตบอลของ โชเซ่ มูรินโญ่ ผู้ตกยุค | MAIN STAND
หากย้อนกลับไปในยุค 2000S และให้คุณเอ่ยชื่อผู้จัดการทีมฟุตบอลที่เป็นตัวท็อปแห่งยุค คว้าความสำเร็จมามากที่สุด เชื่อว่าคำตอบของคุณคงมีชื่อของ โชเซ่ มูรินโญ่ ติดเข้ามาในอันดับท็อปทรีแน่ ๆ
ทว่า 1 ทศวรรษนั้นผ่านไปอย่างรวดเร็ว สายน้ำแห่งยุคสมัยได้เปลี่ยนไปโดยที่ใครบางคนไม่รู้ตัว และหนึ่งในนั้นคือ โชเซ่ มูรินโญ่ คนเดียวกันนั่นแหละ
จากคนที่เคยประสบความสำเร็จที่สุด สู่โค้ชที่โดนไล่ออก 3 ครั้งจาก 3 งานหลังสุด ไม่ประสบความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัล แม้เงินในบัญชีของเขาจะเพิ่มขึ้นจากค่าชดเชยการไล่ออก แต่ชื่อเสียงเขากลับลดลงไม่หยุด
2
เหตุใดคนที่เคยถูกเรียกว่า สเปเชี่ยล วัน จึงกลายเป็นโค้ชตกยุคในฟุตบอลสมัยใหม่ อยู่ที่ไหนก็โดนไล่ออก ?
ติดตามที่ Main Stand
ประสบความสำเร็จได้ไง?
อย่างที่กล่าวไปในข้างต้น ย้อนกลับไป 10 ปีก่อน คุณจะหากุนซือคนไหนที่เก่งมากกว่า โชเซ่ มูรินโญ่ เชื่อได้เลยว่ามีแค่ไม่กี่ชื่อ นับนิ้วได้แค่ไม่กี่คนเท่านั้น สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเพราะ มูรินโญ่ เป็นกุนซือที่ให้ความสำคัญของผลลัพธ์มากที่สุดเป็นอันดับ 1 แบบที่ไม่เคยมีใครทำได้ดีเท่ากับเขา
1
ผลลัพธ์ที่ว่านั้นคือ "ชัยชนะ" เพราะมันคือสิ่งที่ชี้ขาดทุกอย่างและไม่สามารถหาข้อโต้แย้งกันได้ ชนะก็คือชนะ และชัยชนะก็จะทำให้คุณเป็นแชมป์ นั่นแหละคือสิ่งที่ มูรินโญ่ ทำ ไม่ว่าจะเป็นการพา เอฟซี ปอร์โต้ คว้าแชมป์ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2004 พา เชลซี ครองความยิ่งใหญ่ในพรีเมียร์ลีกในการคุมทีมคำรบแรก และการพา อินเตอร์ มิลาน คว้า 3 แชมป์ในปี 2010 ... ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพราะปรัชญาที่ชัดเจนที่สุดของเขานั่นคือ "การเล่นเกมรับ"
ทีมของ มูรินโญ่ โดดเด่นเรื่องนี้มาเสมอในยุคแรก ๆ ความเหนียวแน่น ความสามัคคี การจัดระเบียบในแผงหลัง เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ มันเป็นสิ่งที่เป็นเหมือนกับ DNA ของ มูรินโญ่ ตั้งแต่สมัยที่เขายังไม่ได้จับงานเฮดโค้ชเลยด้วยซ้ำ
2
ในยุคที่ มูรินโญ่ เป็นผู้ช่วยของ เซอร์ บ็อบบี้ ร็อบสัน ที่ บาร์เซโลน่า เนื้อหางานหลักที่ เซอร์ บ็อบบี้ มอบให้เขาก็คือการสร้างเกมรับ ออกแบบการฝึกซ้อม ซึ่ง มูรินโญ่ ก็ทำได้ดี จน ร็อบสัน เคยชื่นชมผ่านสื่อมาแล้ว
5
การเริ่มจากจุดดังกล่าวทำให้ มูรินโญ่ เดินบนเส้นทางนั้นเรื่อยมา และแน่นอนว่าการทำสิ่งที่ถนัดที่สุดมันย่อมได้งานที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว นักเตะที่เคยทำงานกับ มูรินโญ่ จาก 3 ทีมที่กล่าวมาในข้างต้น พูดตรงกันหมดถึงปรัชญาของ มูรินโญ่ นั่นคือทำตามที่เขาสั่ง มีสมาธิตลอดทั้งเกม และยึดมั่นกับการเล่นเกมรับเป็นอันดับ 1 เพราะเขาเชื่อว่ายิ่งเป็นฝ่ายครองบอลมากเท่าไร จะยิ่งมีโอกาสที่จะเกิดความผิดพลาดขึ้นเท่านั้น
2
"5 คน คือจำนวนนักเตะที่ มูรินโญ่ ยืนกรานว่าจะต้องเล่นเกมรับตลอดทั้งเกม โชเซ่ ไม่ชอบให้นักเตะกองหลังครองบอลหรือพยายามทำอะไรเสี่ยง ๆ เลย เขาเกลียดทุกครั้งที่ผมพยายามจะพาบอลขึ้นไปและบอกว่าการทำแบบนั้นเสี่ยงจะทำให้ทีมเสียสมดุลได้ กรณีเดียวที่เขาจะอนุญาตให้กองหลังเล่นเกมรุกก็คือตอนนั้นจะต้องมีมิดฟิลด์ถอยลงมาเล่นเกมรับแทน" ฮอร์เก้ คอสต้า ปราการหลังกัปตันทีม ปอร์โต้ ชุดแชมป์ยุโรปปี 2004 ว่าเช่นนั้น และยังมีอดีตนักเตะของเขาอีกหลายคนที่พูดคล้าย ๆ กัน
2
เรื่องดังกล่าวถูกเอามารวบรวมเป็นหัวข้อ โดย ดิเอโก้ ตอร์เรส นักข่าวชาวสเปนที่มาก่อนกาล เขาพยายามจะชี้ให้ทุกคนเห็นว่าในช่วงที่ มูรินโญ่ มีโอกาสได้คุมทีม เรอัล มาดริด ในปี 2011 ปรัชญาฟุตบอลของมูรินโญ่นั้นเป็นแบบไหน และหัวข้อจากการถอดปรัชญาของ มูรินโญ่ ประกอบด้วย
3
1. ทีมที่ชนะคือทีมที่เล่นผิดพลาดน้อยกว่า
2. เมื่อฟุตบอลอยู่กับเท้าฝ่ายบุก มันกระตุ้นให้เกิดข้อผิดพลาดมากกว่าการเป็นฝ่ายตั้งรับ
3. เวลาเล่นเกมเยือน ยั่วให้เจ้าบ้านเป็นฝ่ายรุก เมื่อนั้นคู่แข่งจะพลาดง่ายกว่าปกติ
4. ฝ่ายไม่มีบอลต่างหากที่แข็งแกร่งกว่า
3
ถ้าใครได้ดูฟุตบอลของ มูรินโญ่ คุณไม่สามารถปฏิเสธข้อสรุปของ ดิเอโก้ ตอร์เรส นักข่าวสายชัง มูรินโญ่ ได้เลย แม้จะดูตั้งแง่ แต่สิ่งที่อยู่ในสนามก็สะท้อนออกมาจริง ๆ ว่า มูรินโญ่ เป็นแอนตี้ฟุตบอล ใช้แทคติก ลูกล่อลูกชน และเล่ห์เหลี่ยม เพื่อให้ได้มาซึ่งชัยชนะ
นี่ไม่ใช่คำติติง แต่มันคือคำกล่าวชม แม้จะเป็นแอนตี้ฟุตบอล แต่ มูรินโญ่ ทุ่มเทและลงรายละเอียดในงานของเขาอย่างละเมียดละไม แทคติกเกมรับของ มูรินโญ่ ในตอนนั้นใครเจอก็ต้องปวดหัว เจาะยังไงก็ไม่เข้า และยังมีหมัดสวนที่ซักซ้อมกันมาเป็นอย่างดี
1
มูรินโญ่ ถือว่าเป็นอะไรที่สดใหม่มากในยุคนั้น เล่นอย่างใจเย็น บีบให้คู่แข่งของพวกเขาลนลานและขาดความมั่นใจไปทีละนิด ๆ ชนิดที่ว่า บุกตั้งนานยิงไม่เข้า เจอสวนทีเดียวเสียประตู อะไรประมานนั้น ยิ่งเจอก็ยิ่งท้อ กลายเป็นว่าก่อนที่คู่แข่งจะชนะทีมของมูรินโญ่ พวกเขาต้องชนะตัวเองให้ได้ก่อน
1
ทุกอย่างนี้เกิดขึ้นจากการทำงานหนักของเขาทั้งสิ้น มูรินโญ่ รักเกมรับของเขามากและอ่านสถานการณ์ล่วงหน้าเสมอ วิคเตอร์ บายา นายทวารของ ปอร์โต้ อีกคนก็เคยให้สัมภาษณ์ว่า มูรินโญ่ เคยสั่งให้นักเตะ ปอร์โต้ ซ้อมเล่นเกมรับ 10 คนเป็นเวลา 90 นาทีเต็ม ในเกมที่พวกเขาจะต้องไปเยือน เบนฟิก้า คู่ปรับตลอดกาล
1
โดย มูรินโญ่ ให้เหตุผลกับนักเตะในทีมว่า เขาเชื่อว่าในเกมเยือนที่มีแฟนบอลเจ้าบ้านเต็มความจุ นักเตะเจ้าบ้านจะต้องบี้ทีมของเขาให้อยู่ในแดนตัวเอง โจมตีจากทุกทิศทาง จากสถานการณ์นี้จะต้องมีนักเตะคนใดคนหนึ่งพลาด และกรรมการจะทนความกดดันจากเสียงเชียร์และสถานการณ์ในสนามไม่ไหวจนต้องแจกใบแดงให้นักเตะของ ปอร์โต้
2
นี่คือสิ่งที่เขาคาดการณ์ไว้ และเกมนั้น ปอร์โต้ ก็มีนักเตะโดนใบแดงจริง ๆ และสิ่งที่ตามมาก็คือนักเตะของพวกเขาตั้งรับได้อย่างสบาย ๆ และเขี่ย เบนฟิก้า ให้กลายเป็นทีมที่พ่ายแพ้ไป
1
การจะทำในสิ่งที่ มูรินโญ่ ทำได้ ไม่ใช่แค่การทำงานหนักกับแทคติกและวิธีการเล่นเท่านั้น แต่มันคือการควบคุมนักเตะของตัวเองให้ได้ด้วย ซึ่ง มูรินโญ่ ทำได้ดีมาก ๆ ตอนที่อยู่กับ ปอร์โต้, เชลซี และ อินเตอร์ ตามที่ได้กล่าวไป นักเตะทุกคนต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าถ้าอยากจะเป็นแชมป์ต้องทำตามที่ มูรินโญ่ บอก ยอมเสียสละเพื่อทำตามข้อเรียกร้องที่ มูรินโญ่ ต้องการ
2
เดยัน สแตนโควิช นักเตะอินเตอร์ชุดแชมป์ยุโรปในปี 2010 เผยถึงมุมมองของเขาว่า บางทีเคล็ดลับความสำเร็จของ มูรินโญ่ คือความมุ่งมั่นในการพยายามกระตุ้นนักเตะของเขาให้พร้อมใจทำในสิ่งที่เขาต้องการ เล่นเกมนี้แบบใส่ให้สุดเหมือนกับเป็นเกมสุดท้ายในชีวิต ซึ่งนั่นเองเป็นเหตุผลที่ว่าทำไม มูรินโญ่ จึงเป็นเจ้าพ่อบอลเน้นผล หากวัดกันแบบนัดต่อนัด ณ ยุคนั้น ยากจริง ๆ ที่ใครจะโค่นทีมของ มูรินโญ่ ได้แบบเรียบวุธทุกกระบวนท่า
ลมเปลี่ยนทิศ
ช่วงเวลาแห่งความหอมหวานและความสำเร็จของ มูรินโญ่ หากตัดสินกันจากสิ่งที่เขาเคยทำ เราคงสามารถพูดได้เต็มปากว่าหลังจากออกจาก อินเตอร์ มิลาน ฟุตบอลของเขาก็ถูกตั้งคำถามมากขึ้น เพราะมันไม่ประสบความสำเร็จมากเหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว
4
ที่ เรอัล มาดริด แม้จะได้แชมป์ลีกกับโคปา เดล เรย์ อย่างละ 1 สมัย แต่ก็ตามหลัง บาร์เซโลน่า มากโข, ที่ เชลซี คำรบสอง แม้จะได้แชมป์ลีกและลีกคัพอย่างละ 1 สมัย แต่หลังจากนั้นก็ได้เจอประสบการณ์ใหม่ที่เขาไม่เคยเจอ นั่นคือการโดนลูกทีมหมางเมินและไม่ให้ความเคารพ หรือที่ภาษาฟุตบอลเรียกว่า "สูญเสียห้องแต่งตัว"
1
จากนั้นมันก็ชัดมากขึ้นอีกที่ แมนฯ ยูไนเต็ด, สเปอร์ส และเราอาจจะรวมถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับงานปัจจุบันของเขาที่ โรม่า ในเวลานี้ด้วยก็ย่อมได้
1
สิ่งที่ มูรินโญ่ เคยทำ กลายเป็นของตกยุคไปเสียแล้วในยุคนี้ และคนที่ถือเป็นจุดเริ่มต้นและลบล้างปรัชญา "ครองบอลมากกว่า = เสี่ยงพลาดมากกว่า" ของ มูรินโญ่ ก็ไม่ใช่ใคร เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ไม้เบื่อไม้เมาของเขานั่นเอง
บอลของ เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ที่ บาร์เซโลน่า หลังยุค 2010s ถือเป็นเทรนด์ใหม่ของโลกเลยก็ว่าได้ กวาร์ดิโอล่า ทำให้การครองบอล, ผ่านบอล และ เคลื่อนที่ยามไม่มีบอล กลายเป็นอาวุธสำคัญที่สุดที่ทำให้ บาร์เซโลน่า อยู่ในยุคครองโลก นักเตะทั้ง 11 คนเล่นเกมรุกได้ทั้งหมด บอลเท้าสู่เท้า เริ่มสร้างเกมกันตั้งแต่แนวรับ และเมื่อเสียบอลต้องรุมแย่งเอาบอลกลับมาให้ได้
1
ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่ มูรินโญ่ เชื่อโดยสิ้นเชิง และบังเอิญว่า เป๊ป พิสูจน์ได้จริง ๆ ว่าปรัชญาของเขาไม่เคยกลัวทีมที่เล่นเกมรับแบบ 11 คนอีกต่อไป ซึ่งถ้าจะพูดให้มันยิ่งใหญ่กว่านั้นหน่อยคือ ณ ตอนนั้นสำหรับ บาร์ซ่า ต้องใช้คำว่า "ใครหน้าไหนก็ได้"
2
เราไม่ต้องลงลึกไปถึงลายละเอียด การยืนตำแหน่ง ระบบการเล่นอะไรเลยด้วยซ้ำ ทุกสิ่งสะท้อนออกมาในสนามแข่งจริงทั้งหมด บาร์เซโลน่า ต่อบอลกันเกม ๆ หนึ่งเกือบถึง 1000 ครั้ง เสียบอลน้อยมาก และจบเกมด้วยเป็นผู้ชนะ
2
สิ่งที่ เป๊ป ลบล้าง มูรินโญ่ อีกเรื่อง คือแม้จะชนะเหมือนกัน แต่วิธีการต่างกัน การชนะแบบที่ทีมเป็นฝ่ายครองบอลโหมบุกกระหน่ำ ยิ่งแล้วต้องยิงเพิ่มมันคือฟุตบอลในอุดมคคิที่แฟนบอลคนไหนก็ชอบดูทั้งนั้น และยิ่งมีความสำเร็จในแง่ถ้วยรางวัลขึ้นมาด้วย ก็ถึงเวลาหน้าที่หน้าประวัติศาสตร์ฟุตบอลจะเปลี่ยนไปจริง ๆ
1
หลายต่อหลายทีมพยายามจะพัฒนามาเล่นแบบที่ บาร์เซโลน่า ทำ ยกตัวอย่างเช่นแม้กระทั่ง สวอนซี ทีมเล็ก ๆ จากเวลส์ที่เล่นในอังกฤษ ก็ยังพยายามจะเล่นแบบนี้ ซึ่ง สวอนซี ชุดนั้นก็กลายเป็นที่จดจำจนทุกวันนี้ แม้จะไม่เนียนเท่า แต่มันก็แสดงให้เห็นว่าการครองบอล การผ่านบอล การเคลื่อนที่ และความฟิตในการเพรสซิ่งคือหัวใจของฟุตบอลยุคใหม่
1
และในช่วงที่ ติกิ-ตากา ครองโลก ก็มีกุนซือคนอื่น ๆ ของทีมใหญ่ ๆ ในยุโรปพยายามหาวิธีมาล้มล้างกันไปตามวัฏจักร บาเยิร์น มิวนิค ในยุคของ จุ๊ปป์ ไฮย์เกส และ ฮันซี่ ฟลิค, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ ลิเวอร์พูล ของ เยอร์เกน คล็อปป์ , เรอัล มาดริด ของ คาร์โล อันเชล็อตติ และ ซีเนดีน ซีดาน หรือแม้กระทั่ง เป๊ป กวาร์ดิโอล่า ในเวอร์ชันกุนซือ บาเยิร์น และ แมนฯ ซิตี้ ปัจจุบัน ก็ยังทำฟุตบอล ติกิ-ตากา ของเขาให้เหนือชั้นขึ้นไปอีก เรียกว่าแก้ลำกันไป แก้ทางกันมา จนเกมฟุตบอลยุคปัจจุบันมันเข้มข้นและเป็นเกมที่ตัดสินกันด้วยความเด็ดขาดชนิดไม่มีที่ว่างให้ความผิดพลาดแม้แต่น้อย
2
ทีมเหล่านี้ต่อให้มีวิธีการเล่นที่แตกต่าง แต่หัวใจหลักที่พวกเขาให้ความสำคัญต่างกับมูรินโญ่แบบสิ้นเชิง และค้านกันอย่างชัดเจน คือ พวกเขาพยายามเป็นฝ่ายรุกมากกว่าคู่แข่งเสมอ พวกเขาต้องฟิตกว่าเพื่อให้ไล่บี้จนอีกฝั่งโงหัวไม่ขึ้น ทุกอย่างขัดจากสิ่งที่ มูรินโญ่ เชื่อโดยสิ้นเชิง และถามว่ากุนซือที่กล่าวมาทั้งหมด และทีมของพวกเขาประสบความสำเร็จไหม ? ... คำถามนี้ไม่ต้องตอบให้เสียเวลาด้วยซ้ำ เพราะรายชื่อที่คัดมานี้ มีแชมป์ทุกคน
ไม่มีใครยืนโซนในเกมรับ 11 ตัว, ไม่มีใครซ้อมตั้งรับด้วยผู้เล่น 10 คน, ไม่มีใครรอให้คู่แข่งผิดพลาดอีกแล้ว พวกเขาจะสร้างโอกาส และกำหนดชัยชนะด้วยตัวเอง
แน่นอนว่ากว่าจะเป็นฟุตบอลเกมรุก และเน้นการครองบอลเป็นหลักที่เข้าขั้นเพอร์เฟ็กต์ กุนซือที่กล่าวมาทั้งหมดก็ต้องทำงานหนักไม่แพ้กับตอนที่ มูรินโญ่ พยายามสร้างเกมรับของเขาเช่นกัน เพียงแต่ความพยายามของฝั่งเกมรุกมันผลิดอกออกผลเป็นผลลัพธ์ที่ดีกว่าอย่างชัดเจน มันทำให้เราสามารถพูดเต็มปากว่าฟุตบอลยุคใหม่ต้องเป็นฟุตบอลที่มีความฟิต, ความเข้าใจเกม เล่นเกมรุกทั้งทีม และเล่นเกมรับทั้งทีม ในเวลาเดียวกัน ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่ มูรินโญ่ เป็น
ขณะที่โค้ชชั้นนำคนอื่นพัฒนากลยุทธ์ปรับปรุงวิธีการของพวกเขาแบบซีซั่นต่อซีซั่น มูรินโญ่ ยังคงเป็นคนเดิมกับเมื่อ 10 ปีก่อน ...
ทุกสรรพสิ่งในโลกล้วนเปลี่ยนผัน และสิ่งมีชีวิตทุกชีวิตต้องปรับตัว นี่อาจจะเป็นความจริงที่โหดร้าย แต่มันชัดเจนว่า "เดอะ สเปเชี่ยล วัน" ที่เคยเป็นที่หมายตาของสโมสรยักษ์ใหญ่ทั่วโลก กลายเป็นกุนซือที่ตกยุคไปเสียแล้ว
ทีมอย่าง เรอัล มาดริด, ลิเวอร์พูล, เชลซี, บาเยิร์น มิวนิค หรือ แมนฯ ซิตี้ จะจ้างเขาไหม หากว่าพวกเขามีตำแหน่งกุนซือว่างอยู่ในตอนนี้ ? ... ทุกคนคงรู้คำตอบนี้ดี ไม่มียักษ์ใหญ่ทีมไหน กล้าเสี่ยงกับ โชเซ่ มูรินโญ่ อีกแล้ว
ดื่มยาพิษของตัวเอง
1
เรื่องของเทรนด์ฟุตบอลและยุคสมัยที่เปลี่ยนไปคือส่วนสำคัญที่ทำให้ มูรินโญ่ โดนปลด 3 ครั้งจาก 4 ปีหลังสุด เขาทำทีมไม่ประสบความสำเร็จ แฟนบอลไม่ชอบวิธีการ แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมด เพราะแม้กระทั่งสิ่งที่เขาถนัดที่สุดอย่างการซื้อใจนักเตะ ก็ไม่สามารถทำได้อีกแล้ว
มูรินโญ่ เป็นโค้ชที่มีความเชื่อเรื่องการใช้ยาแรงกระตุ้นนักเตะตามที่ได้กล่าวไปในข้างต้น และบางครั้งเขาเป็นคนที่ชอบให้คำวิจารณ์ต่อหน้าสื่อเป็นแรงขับ สร้างแรงกดดันให้นักเตะ เพื่อให้นักเตะของเขาเอาชนะสิ่งที่เขาพูด ซึ่งในอดีตมันอาจจะพอทำได้ แต่ตอนนี้ ทุกครั้งที่ มูรินโญ่ คุมทีมสิ่งที่มีข่าวคราวตามมาเสมอนั่นคือการไม่ได้รับการยอมรับจากลูกทีม หรือที่เราเรียกว่า "การสูญเสียห้องแต่งตัว"
2
สมัยคุม เชลซี คำรบสอง เขาโดนนักเตะซีเนียร์ที่เคยร่วมงานด้วยหันหลังให้จนโดนไล่ออก, ที่ แมนฯ ยูไนเต็ด เขาวิจารณ์ ลุค ชอว์ ว่าเป็นนักเตะที่ไม่รู้จักโตและไม่มีเซ้นส์ที่จะเรียนรู้จากความผิดพลาด ด่า ปอล ป็อกบา ออกสื่อว่าเป็นเหมือนกับไวรัสของทีม ติติง อองโทนี่ มาร์กซิยาล ทั้งเรื่องฟอร์มการเล่นและทัศนคติ
1
แม้ในตอนนั้นนักเตะของ ยูไนเต็ด จะไม่ได้ตอบโต้ มูรินโญ่ ผ่านสื่อ แต่เมื่อ มูรินโญ่ จากไป ต่างคนก็ระบายว่าพวกเขาไม่เคยชอบใจเลยที่ มูรินโญ่ เอาเรื่องทั้งหมดมาพูดในที่สาธารณะแต่ไม่ยอมมาพูดคุยกับพวกเขาโดยตรง
"มันคือเรื่องจริงที่ผมอยากให้เขาพูดกับผมโดยตรงมากกว่า มันไม่มีความจำเป็นที่ต้องพูดเรื่องนี้ต่อหน้าทุกคน หลังจากเรื่องนี้คุณต้องการพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าเขาคิดผิด" มาร์กซิยาล กล่าว ซึ่งนี่ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น ยังมีอดีตนักเตะของ มูรินโญ่ หลายคนที่ออกมาพูดในแง่ของความไม่พอใจในช่วงที่พวกเขามีมูรินโญ่เป็นเจ้านาย
แม้กระทั่งโดนไล่ออกจาก ยูไนเต็ด และได้งานที่ สเปอร์ส มูรินโญ่ ก็ยังคงเชื่อมั่นในแนวทางการใช้คำวิจารณ์ผ่านสื่อเพื่อหวังให้มันกระตุ้นนักเตะของเขาเหมือนเดิม ซึ่งผลลัพธ์ก็ไม่ต่างกันนักนั่นคือล้มเหลว โดยเกิดขึ้นกับทั้ง แดนี่ โรส, เดเล่ อัลลี และ ต็องกีย์ เอ็นดอมเบเล่
1
หนักที่สุดคือเขายังด่านักเตะทั้งทีมผ่านสื่อหลังจากที่ สเปอร์ส ถูก ดินาโม ซาเกร็บ เขี่ยตกรอบ ยูโรปา ลีก ในฤดูกาลที่ผ่านมา ซึ่งว่ากันว่านั่นคือจุดแตกหักที่ไม่สามารถทำให้นักเตะของ สเปอร์ส กลับมาเชื่อมั่นในตัว มูรินโญ่ ได้อีกครั้ง
2
ช็อตนั้น มูรินโญ่ ด่าแรงมากถึงขั้นที่บอกว่าในขณะที่ ดินาโม ซาเกร็บ สละทั้งเลือด เหงื่อ และทั้งหมดที่พวกเขามี นักเตะของ สเปอร์ส กลับไม่สนใจอะไรสักอย่างแม้กระทั่งสิ่งที่เขาสั่งการลงไป และยังปิดท้ายด้วยความร้อนแรงว่านี่คือทีมที่สอบตกเรื่องความสามัคคี ... บู้ม หลังจากนั้นก็มีข่าวว่านักเตะในทีมแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน มีกลุ่มเอาโค้ช กับกลุ่มไม่เอาโค้ช และสุดท้าย มูรินโญ่ ก็โดนไล่ออก จบแบบไม่สวยอีกตามเคย
4
เรื่องทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นแค่ครั้งเดียว ก่อนที่ มูรินโญ่ จะหมดหน้าที่จากงานของเขา เขามีข่าวเรื่องการสูญเสียห้องแต่งตัวเสมอ นั่นแสดงให้เห็นว่าแม้เขาจะไม่ได้ผิดทั้งหมด นักเตะอาจจะต้องรับผิดชอบด้วย แต่เขาก็ไม่เคยเรียนรู้ในส่วนของเขาเลย
1
เมื่อก่อนเขาเคยทำให้นักเตะเล่นเพื่อเขาได้ แต่ตอนนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว เราต้องขออนุญาตเปรียบเทียบกับโค้ชหัวแถวยุคปัจจุบันอย่าง เป๊ป, คล็อปป์ หรือแม้กระทั่งคนอื่น ๆ แทบไม่มีใครทำแบบนั้น พวกเขามีวิธีกระตุ้นนักเตะด้วยการสร้างความเข้าใจมากกว่าว่าพวกเขาต้องการอะไรจากนักเตะ
3
เป๊ป กวาร์ดิโอล่า แทบจะจับมือ ราฮีม สเตอร์ลิ่ง สอนยืนตำแหน่งเลยด้วยซ้ำกว่าที่ สเตอร์ลิ่ง จะพัฒนาตัวเองกลายเป็นนักเตะตัวหลักของสโมสรและทีมชาติอังกฤษ แม้ตำแหน่งและหน้าที่ของนักเตะ แมนฯ ซิตี้ ในยุคเป๊ป จะซับซ้อน ตำแหน่งใหม่ ๆ เกิดขึ้นมากมายทั้ง ฟอลส์ ไนน์ (กองหน้าตัวกลางยืนต่ำ ตัวอย่าง ลิโอเนล เมสซี่), อินเวิร์ต วิงแบ็ก (วิงแบ็กที่หุบเข้ากลางเพื่อเติมเกมบุก ตัวอย่าง ไคล์ วอล์คเกอร์), ฟรีเอท (กองกลางสายพันธุ์ไฮบริดระหว่างเบอร์ 8 กับ 10 ตัวอย่าง เควิน เดอ บรอยน์) เป็นต้น แต่นักเตะของเขาก็เข้าใจและปฎิบัติตามได้ด้วยการสอน และอธิบาย ในสนามซ้อม ไม่ใช่การฝากบอกผ่านสื่อและปล่อยให้นักเตะเอาไปคิดเองว่า "เขาต้องการอะไร"
1
สำหรับ เยอร์เกน คล็อปป์ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย นี่คือหนึ่งในกุนซือที่สร้างบรรยากาศห้องแต่งตัวให้ทีมได้ที่สุดคนหนึ่ง เขาเป็นนักบริหารคนที่ใช้รอยยิ้มและคำชื่มชมได้อย่างถูกที่ถูกเวลา ทุกครั้งที่เขาพูดต่อหน้าสื่อ ประโยคที่เรามักจะได้ยินจากเขา คือ การสร้างพลังบวกให้กับนักเตะในทีม ดังนั้นไม่แปลกที่เราจะได้ยินคำเหล่านี้จากปากคล็อปป์บ่อย ๆ นั่นคือคำว่า "เรียบง่าย", "ยอดเยี่ยม" และ "ประทับใจ" เพราะเขารู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้สามารถดึงเอาบางสิ่งที่ซ่อนอยู่ในตัวลูกทีมของเขาได้
10
"ความสัมพันธ์กับโค้ชของเรายอดเยี่ยมมาก เขาเป็นคนที่รู้จักวิธีการพูดกับผู้เล่นแต่ละคนที่แตกต่างกันออกไป เขาเข้าใจสิ่งต่าง ๆ เกี่ยวกับสิ่งที่แต่ละคนควรปรับปรุง และบอกคุณว่าอะไรคือสิ่งที่ดีที่สุดที่คุณควรทำเมื่ออยู่ในสนาม" ฟาบินโญ่ นักเตะชาวบราซิลที่เพิ่งย้ายเข้ามาร่วมทีมในปี 2018 กล่าวถึงกุนซือของเขา
2
หากยังจำกันได้ในวันที่ ฟาบินโญ่ ย้ายมาใหม่ ๆ แฟนบอลวิจารณ์คล็อปป์มากที่ซื้อมาแล้วไม่ยอมใช้งานนักเตะจนเกือบจะจบฤดูกาล ซึ่ง คล็อปป์ ก็เปิดเผยภายหลังว่าเขาอยากให้ ฟาบินโญ่ เข้าใจทุกสิ่งที่เขาต้องการ สอนทุกอย่างที่จะทำให้ ฟาบินโญ่ เป็นเหมือนจิ๊กซอว์ที่วางลงไปแล้วเข้าล็อคทันที ดีกว่าเอาลงไปตามคำเรียกร้องและเล่นไม่ได้จนโดนแซวโดนวิจารณ์ แบบนั้นมันรังแต่จะทำให้นักเตะเสียความมั่นใจไปเปล่า ๆ
2
ผลลัพธ์ก็อย่างที่เราเห็นกัน ฟาบินโญ่ กลายเป็นหัวใจสำคัญของทีมในชุดแชมป์พรีเมียร์ลีกเมื่อปี 2019 และกลายเป็นกลางรับแถวหน้าของโลกไปแล้ว
1
ยิ่งหาเหตุผลมาอ้างอิงเราก็จะยิ่งเห็นว่า มูรินโญ่ ตกยุคขนาดไหน การเป็นหัวหน้าคนและด่าลูกน้องในที่สาธารณะหรือด่าต่อหน้าคนอื่น ๆ ถือเป็นสิ่งที่ไม่ว่าใครก็ไม่ชอบทั้งนั้น ไม่ว่าคุณจะเป็นนักฟุตบอล ลูกจ้าง และพนักงานออฟฟิศกินเงินเดือน
1
หลักในการเป็นหัวหน้าที่ได้ใจลูกน้องนั้นไม่ยากเย็นเกินไปนักหากเราจะอิงตามการกระทำของ เป๊ป และ คล็อปป์ ที่เป็นกุนซือที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในยคุนี้ นั่นคือ ตำหนิในที่ลับ เพราะบางเรื่องต้องมีการพูดคุย เปิดโอกาสให้ลูกน้องได้ชี้แจงเหตุผล, ชมในที่แจ้ง เพื่อให้คนภายนอกรับรู้ถึงผลงานของพวกเขา และสุดท้ายคือการเครดิตลูกน้องของคุณเสมอเพื่อเป็นการสร้างกำลังใจให้คนทำงาน
1
เมื่อมีทั้งพระเดชและพระคุณควบคู่กันไป มีไม้อ่อนสลับไม้แข็ง และเอามาใช้ให้ถูกจังหวะถูกกาลเทศะ เชื่อได้ว่าระดับนักเตะระดับโลก มีความเป็นมืออาชีพ ไม่มีใครที่จะหันหลังให้คุณโดยไร้เหตุผลอย่างแน่นอน
ทั้งหมดที่คือสิ่งที่ มูรินโญ่ พลาดไปจนทำให้ชื่อเสียงของเขาตกต่ำลง ตอนนี้เขายังมีงานทำ และยังมีโอกาสแก้ตัวที่ โรม่า หากเขาได้เรียนรู้และเอะใจสักนิดว่าตลอด 4-5 ปีที่ผ่านมา สิ่งใดที่เขาพลาดไปบ้าง เชื่อว่าเขายังคงมีโอกาสพิสูจน์ตัวเองเสมอ
สำหรับอัจฉริยะที่มีอีโก้สูงเขาอาจจะก้าวผ่านเรื่องเหล่านี้ได้ยากหน่อย แต่ทุกสรรพสิ่งล้วนต้องปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เชื่อว่า มูรินโญ่ จะเห็นการเปลี่ยนแปลงของยุคสมัยของฟุตบอล และแนวทางการเป็น "นิว มูรินโญ่" ในสักวัน แต่จะช้าหรือเร็ว งานปัจจุบันของเขาที่ โรม่า จะเป็นคำตอบให้กับพวกเราเอง
1
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
https://www.marca.com/en/football/premier-league/2021/03/19/6054afbcca474136218b45a4.html
https://www.sportifico.com/profeed/708-the-rise-and-fall-of-jose-mourinho/
https://inews.co.uk/sport/football/jose-mourinho-sacked-tottenham-daniel-levy-spurs-premier-league-963144
https://www.mirror.co.uk/sport/football/news/mourinho-tottenham-europa-league-dinamo-23758189
https://www.dailystar.co.uk/sport/football/jose-mourinho-losing-tottenham-dressing-21333384
https://www.manchestereveningnews.co.uk/sport/football/football-news/manchester-city-pep-guardiola-innovations-18309661
23 บันทึก
39
1
7
23
39
1
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย