26 ธ.ค. 2021 เวลา 01:55 • ปรัชญา
คนเรามัก ถูกสอนให้เชื่อ เชื่อโดยที่ไม่เคยทบทวน กลั่นกรองชีวิตของตนเอง ทบทวนไปตั้งแต่แรกเกิด โตวันโตคืน พอรู้ความก็ค่อยๆได้เรียนรู้จำมา พ่อแม่สอนให้เรียกพ่อเรียกแม่ เอาเสียงเรียกพ่อเรียกแม่ได้ พ่อแม่ก็ดีใจ แต่เด็กมันก็ไม่เข้าใจคำว่าพ่อแม่ พระคุณพ่อแม่เลย ไม่เข้าใจไปจนแก่เฒ่าก็มี แต่ก็อีกนั่นแหละ บางคนเกิดมาไม่ทันไร พ่อแม่ก็จากไป ทอดทิ้งไป ต้องอาศัยญาติมิตร ช่วยอุปถัมภ์ค้ำชู ช่วยเจียดปัจจัยมากน้อยไปตามฐานะ หล่อเลี้ยงชีวิตน้อยให้โตขึ้น โตขึ้นแล้วไปทำอะไร มีแต่มุ่งมั่น ที่อยากได้อยากเป็น อยากมีอย่างนั้นอยากนี้ มีการโฆษณา มีการจูงให้หลงเชื่อ หลงทำ มีเรื่องราวต่างๆ อารมณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นภายในกายนี้มากมาย ลองสังเกตอารมณ์นึกขึ้นที่เกิดในตัวตนเองดู ต้ังแต่ตื่นนอนไปจนเข้านอน มีทิฐิอารมณ์อะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ไปพบคนนั้นคนนี้สถานที่นั้นที่นี้ ทำไมต้องไป ไปแล้ว เราได้อะไรมา?? เกิดเป็นสุข หรือ ทุกข์
การที่ฝึกสังเกต ตัวเอง ก็เพื่อมาทำความรู้จัก สิ่งที่เกิดมาอาศัย ทบทวนตัวเอง ทบทวนเรื่องราวของอารมณ์ตัวเอง อารมณ์ที่เกิดขึ้นทิฐิความเห็นที่อารมณ์พาไป ใช้กายวาจาใจ โดยไม่มีสติ ยับยั้ง ทบทวน กลั่นกรองว่าดีหรือไม่ดี นั้นแหละ จะเป็นโชคชะตาลิขิตชีวิต สร้างเรื่องราวที่เป็นคุณให้แก่ตนเอง หรือ สร้างโทษภัยให้แก่ตนเอง
การได้ชีวิตมาชาติหนึ่ง ได้กายมนุษย์มา เค้าให้มาทำอะไร ทุกดวงจิต ที่เกิดมา มาเพียงจิต มาอาศัยกายมนุษย์ เป็นมนุษย์หญิงชาย รูปร่างหน้าตาทำไมไม่เหมือนกัน สถานที่เกิดเป็นมนุษย์ก็มีผู้คนอยู่ไปทั่ว ทำไมฉันต้องมาเกิดตรงนี้ มีสิ่งแวดล้อม มีชาติภาษาอย่างนี้ ใครลิขิตให้ต้องมาเกิด เกิดมาแล้ว มันก็ยังมีเรื่องราวที่ต้องผจญ หาหล่อเลี้ยงสังขาร เหนื่อยยากลำบาก ไปจนแก่เฒ่า ทรัพย์สมบัติอะไรก็ไม่มี แต่บางคนก็มีเสียมากมาย ตายไปก็กองไว้บนโลก มันเป็นโชคชะตา หรือ ว่ากรรมบันดาล
โฆษณา