Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Kochard
•
ติดตาม
26 ธ.ค. 2021 เวลา 11:10 • ไลฟ์สไตล์
ปั่นเดี่ยวเที่ยวเกาะช้าง @ DAY1 -DAY 3
เส้นทางปั่นทั้งหมด 4วัน
เส้นทางปั่นเดี่ยวเที่ยวเกาะช้าง
เล่าเรื่องปั่นจักรยานไปเที่ยวเกาะช้าง จั่วหัวไว้ก่อน เดี๋ยวกินข้าวแล้วว่างๆจะมาเขียนต่อครับ เกริ่นก่อนครับ ผมชื่อปัญญา ทำงานประจำอยู่ที่ บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา ช่วงอายุ20 ต้นๆคลั่งไคล้การปั่นจักรยานเสือภูเขามากๆๆๆ ทั้งการออกกำลังกาย ท่องเที่ยวในวันว่าง และการแข่งขัน ไม่ได้เก่งกาจอะไรหรอกครับ แค่เอาชนะใจตัวเองที่ตั้งใจไว้ครับ เรื่องการปั่นจักรยานไปเที่ยวที่ เกาะช้าง จ.ตราด นั้นเกิดขึ้นในปี 1998 จำได้แม่นยำเพราะเป็นปีที่ ฝรั่งเศสได้แชมป์ฟุตบอลโลกสมัยแรก ผมเชียร์บราซิลเต็มที่แต่ได้แค่รองแชมป์..เซ็งเลย เรื่องเล่านี้อาจจะวกวนไปมาบ้าง เพราะเขียนจากความทรงจำนานแล้ว เขียนโดยไม่มีสคริป นึกอะไรได้ก็เขียนไปตาม timeline ที่เกิดขึ้นจริงครับ
#ปั่นจักรยานไปเที่ยว เกาะช้าง ทริปนี้ใช้เวลาเดินทางทั้งสิ้น 4 วัน จากที่พัก บ้านเช่าหน้าสถานีรถไฟ ฉะเชิงเทรา ถึง เกาะช้างแบบ สุขๆทุกข์ๆ..55
1.
ต่อครับ
2.
เริ่มจากวันหยุดในช่วง วันเข้าพรรษา ปี พ.ศ.2541 อายุ ก็28 ปีเต็ม กำลังห้าวและมั่นใจในตัวเองสุดๆไม่เกรงกลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมอะไรทั้งนั้น..55 เขาเข้าวัดไปทำบุญ ผมเลือกปั่นจักรยานไปเที่ยวตามความฝันในใจ ช่วงนี้จะมีวันหยุดติดต่อกัน 2วันคือ อาสาฬหบูชาและเข้าพรรษา ผมก็ลางานเพิ่มอีก 3 วัน รวมวันหยุด เสาร์ อาทิตย์ อีก 4 วันหัวท้าย เบ็ดเสร็จเป็น 9 วัน เดี๋ยวมาต่อครับ....
1.
ปกติก่อนที่จะปั่นทางไกลคราวนี้ วันว่างผมก็จะปั่นเล่นอยู่แถวๆบ้าน แปดริ้วบ้าง ปราจีนบุรี นครนายก ชลบุรี บ้างก็พอรู้เส้นทางที่จะเดินทางอยู่มั่ง สมัยก่อนการใช้เนวิเกเตอร์นำทางในสมาร์ทโฟน เป็นเรื่องที่ไม่มีหรอกครับ จะไปไหนต้องศึกษาจากแผนที่กระดาษเอา ถ้าดูผิดปั่นหลงทางไป 5 km ก็ต้องปั่นย้อนทางเดิมออกมาอีก 5 km รวมแล้วเสียแรงฟรีไป 10 km555(กำ)ทีนี้พอต้นปีผมวางแผนว่าช่วงวันหยุดเข้าพรรษาจะปั่นไปเกาะช้าง โดยตั้งใจจะปั่นในช่วงขาไป ส่วนขากลับจะเอาจักรยานขึ้น บขส.กลับ (ตอนปั่นเที่ยววันหยุด ผมก็จะหาเส้นทางแบบปั่นเป็นวงกลมไม่ย้อนกลับทางเดิมไม่ว่าจะกี่ กม.ก็ตาม) แล้วก็มาดูเส้นทางว่าจะไปทางไหนที่รถยนต์สัญจรน้อยที่สุด (กลัวรถเหยียบเอา) ก็เลยเลือกเส้นทางจาก แปดริ้ว ผ่านโป่งน้ำร้อน เข้าจันทบุรี แล้วก็ไปขึ้นเรือเฟอรี่เพื่อข้ามไปเกาะชัาง ที่แหลมธรรมชาติ
เมื่อได้เส้นทางในใจแล้วก็มาดูรายละเอียดว่าไปเส้นทางไหน ยังไง มีจุดพักที่ปลอดภัยตรงไหนบ้าง และประมาณว่าจะใช้เวลาปั่นซักกี่วันดี ที่ปั่นไปเที่ยวไปไม่เหนื่อยจนเกินไป เมื่อได้ข้อสรุปเรื่องการเดินทางเรียบร้อยแล้ว ก็มาเรื่องเตรียมสิ่งของสัมภาระที่จะติดตัวไป โดยมีโจทย์ว่าจะต้องครบถ้วนในการใช้ชีวิตและน้ำหนักต้องไม่มากจนเกินไป สามารถที่จะเอาใส่เป้ขึ้นหลัง และปั่นไปได้ตลอดทริป น่าจะอยู่ราวๆ 10 -13 kg ถ้ามากกว่านี้อาจจะต้องปั่นไปและจับโยนทิ้งไประหว่างทาง..55
เมื่อเอาน้ำหนักเป็นตัวตั้ง ก็ต้องเปลี่ยนจากเต็นท์เป็นเปลผ้าร่มแทน เพราะนน.เบากว่าเยอะแล้วก็พก กย.15 เอาไปใช้กันยุงกัดแทน
1.
แล้วเตรียมเสื้อผ้าแบบนน.เบาๆแห้งง่ายๆไป 5-6 ชุด, ไฟฉาย ,ชุดปะยาง,ยางใน,สูบลมพกพา,ชุดทำแผลสด, พลาสเตอร์ยา,ยานวดกล้ามเนื้อ,ยาพารา,เชือกทำราวตากผ้า,ชุดอาบน้ำ สระผม, รองเท้าแตะ,ถุงเท้าใส่ปั่นจักรยาน,เอาบัตรปชช. เอทีเอ็มเงินสดนิดหน่อย ใส่ถุงพลาสติกแล้วเอายางมัดกันเปียกฝน,มีดเล่มเล็กๆ ฯลฯ
2.
ก่อนออกเดินทาง 1วัน ก็แจ้งญาติ เพื่อนฝูง ว่าจะไปไหน ไปกี่วัน จะกลับวันไหน และใช้เส้นทางไหน เนื่องจากผมปั่นไปคนเดียว(ชวนแล้วไม่มีใครไปด้วย 55)สมัยนั้นโทรศัพท์มือถือไม่มีครับ เลยต้องสั่งเสียกันไว้ก่อนเผื่อว่าไม่ได้กลับมา..แหะๆ
DAY 1
เริ่มเดินทางเช้าวันเสาร์ เมื่อพร้อมแล้วก็ตั้งเข็มมุ่งทิศตะวันออกไปทาง อ.พนมสารคาม ปั่นไปเรื่อยๆเป็นการย่อยอาหารเช้าไปในตัวด้วย ใช้เวลาประมาณ ชั่วโมงครึ่ง ก็มาถึง พนมสารคาม ก็เลี้ยวขวาที่สี่แยกที่พนมสารคาม มุ่งหน้าไปบ้านหนองคอก ซึ่งเป็นชุมชนใหญ่มีตลาด ขึ้นอยู่กับ อ.ท่าตะเกียบ ที่เป็น พื้นที่สุดท้ายของ จ.ฉะเชิงเทรา ห่างออกไปจากพนมสารคามน่าจะ ประมาณเกือบ 90 กม. เลยจากนี้ไปนิดหน่อยก็จะเป็นพื้นที่ป่าเขาอ่างฤาไนและพื้นที่ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดคือ ฉะเชิงเทรา,สระแก้ว,ระยอง,จันทบุรีและชลบุรี คืนนี้ผมจะนอนที่หนองคอกครับ รวมระยะทางจากบ้านมาถึงหนองคอกก็ประมาณ125 กม.
1.
ระหว่างทาง ช่วงบ่ายนิดๆ ผมก็จอดรถเข้าพักขาข้างถนน ก่อนที่จะถึงทางเข้าอ่างเก็บน้ำคลองสียัดเล็กน้อย มีชาวบ้านนั่งมาหลังรถกระบะ ตะโกนแซว”อ้าว นักปั่นน่องเหล็กจอดแล้วเหรอ” คงจะเป็นรถชาวบ้านที่จอดทำธุระข้างทาง แล้วผมปั่นผ่านขึ้นมา น่าจะช่วงที่มีรถจอดแล้วในรถมีคนผมก็ทำท่ายืนขึ้นโยกปั่นโชว์ เขาเลยหมั่นไส้มั๊ง 55
จริงๆแล้ววันแรกผมตั้งใจจะปั่นไปขอผูกเปลนอนที่ ที่ทำการเขตรักษาพันธ์สัตว์ป่าเขาอ่างฤาไน เพราะตอนมาถึงหนองคอกเพิ่งจะ 4 โมงเย็นนิดๆแต่ช่วงที่มาถึงตลาดชุมชุนหนองคอก มีชาวบ้านว่าอย่าไปต่อเลยเพราะช่วงเย็นๆ จะมีช้างป่าออกมาหากินตามถนน และที่สำคัญเขาบอกว่าบางที จะมีคนที่ไม่ค่อยขยันทำมาหากินออกมาด้วย ผมก็เลยเปลี่ยนใจพักที่นี่ และซื้อข้าวเหนียวไก่ย่าง จากตลาดเอากลับไปกิน ทีแรกกะว่าจะขอตำรวจผูกเปลนอนที่ป้อม แต่ดูแล้วไม่ไหวมันพลุกพล่านเกินไป ก็เลยปั่นไปเจอด่านกักกัน ปราบปรามของป่าไม้ ผมก็เดินดุ่ยๆไปผูกเปลกับต้นไม้แล้วก็จัดการข้าวเหนียวไก่ โดยไม่ได้บอกหรือขออนุญาติใครทำเป็นมึนๆเนียนๆเอา
กำลังอร่อยเลย ก็มี จนท.มาสอบถามว่ามาทำอะไร ผมก็เลยบอกว่าจะปั่นจักรยานไปเกาะช้าง คืนนี้จะขอผูกเปลนอนหน่อยครับ จนท.ก็ใจดีบอกว่าให้ไปนอนในห้องเถอะ ตรงนี่นอนไม่ไหวหรอกยุงมันเยอะ เดี๋ยวฝนตกจะลำบากด้วย โชคดีเป็นของผมแล้วรีบยกมือไหว้ขอบคุณแล้วตามเขาไปเลย เขาพาไปนอนในห้องที่เก็บพวกเลื่อยยนต์ที่เป็นของกลางที่ยึดมาได้ มีพัดลมและก็มุ้งลวดอย่างดี ผมก็เลยเอาเปลที่เตรียมมาเป็นผ้าห่มแทน
วันหน้ามาลงให้ต่อนะครับ
มาต่อกันครับ
DAY 2
ตื่นเช้ามาก็ไปขอบคุณพี่ๆเค้า ก็ร่ำลากันให้ที่อยู่ที่ทำงานผมไว้ ว่าถ้าผ่านไปก็แวะไปหาผมได้นะครับ จะพาไปกินข้าวกัน
หลังจากแยกย้ายกันผมก็ว่าจะปั่นไปเลย พอมานึกถึงเรื่องช้างป่ากับโจรป่า ผมก็เลยเอาจักรยานขึ้นรถประจำทางดีกว่า ไปลงที่สี่แยกคลองหาดน่าจะ กิ่งอำเภอเขาฉกรรจ์(ขณะนั้น) แล้วก็เริ่มปั่นมุ่งหน้า จ.จันทบุรี โดยมีหมายว่าจะไปนอนที่ น้ำตกเขาสอยดาว ระยะทางจากแยกคลองหาดไปถึงเขาสอยดาว ระยะทางน่าจะประมาณไม่เกิน 60กม.
แต่ใช้เวลาปั่นเกือบ 4 ชมเพราะเป็นทางขึ้นเนินลงเนิน ซึ่งเป็นยาขมสำหรับผมไม่ค่อยได้เจอเส้นทางแบบนี้เท่าไร และอีกอย่างเมื่อวานเพิ่งปั่นยาวมาแล้วตอนเช้าก็ขึ้นรถมาอีก พอลงรถ ก็เจอทางสูงๆต่ำๆเลย มันก็ไม่ได้วอร์มขาและกล้ามเนื้อ ถ้าไประเบิดแรงผลีผลามอาจจะเดี้ยงจนไปไม่ถึงน้ำตกเขาสอยดาวก็ได้ 2 ชั่วโมงแรกปั่นได้ สิบกิโลกว่าๆจนเข้าชั่วโมงที่ 3 รู้สึกว่าเริ่มชินกับภูมิประเทศแบบนี้แล้ว แรงเริ่มอยู่ตัวจึงเริ่มทำเวลาได้บ้าง และมากินข้างเที่ยง ตอนบ่ายโมงนิดๆที่ร้านอาหารสวัสดิการของ น้ำตกเขาสอยดาว ที่ขึ้นอยู่กับ อำเภอ เขาสอยดาว จ.จันทบุรี
หลังจากชำระเงินค่าทำเนียมค่าเข้าชมและพักค้างแรม ที่น้ำตกเขาสอยดาวแล้ว ก็ไปสั่งข้าวผัดพริกแกงหมูราดข้าวร้านที่ว่า ผมบอกว่า “มันเป็นพริกแกงที่อร่อยโคตรๆ”ไม่ใช่เพราะหิวนะ เพราะอีก 2 มื้อที่อยู่ที่นั่นผมก็กินแต่ผัดพริกแกงนี่แหละครับ (หลังจากนั้นอีกหลายปี ผมขับรถพาแฟนไปกิน ก็ไม่อร่อยเท่าแล้ว)
กินข้าวเสร็จก็เข็นรถออกจากร้านค้ากะจะปั่นไปเที่ยวน้ำตก ที่ต้องปั่นเข้าไปอีก 2โล กว่าๆมั้งครับ จำไม่ค่อยได้แล้ว พอจะขึ้นปั่นพี่ที่จำหน่ายตั๋วเข้าน้ำตกแต่แรกก็ขอดูรถหน่อยว่า ทำไมมันปั่นมาได้ไกลจัง
ผมก็บรรยายให้ฟัง ลืมบอกแต่แรกว่าผมใช้จักรยานเสือภูเขา ยี่ห้อไจแอนท์(GIANT)รุ่น ATX 870 เป็นเฟรม อลูมิเนียม cu 92 Air Craft Spec Made In Taiwan ซึ่งไม่ได้เป็นรถเกรดดีอะไรมากครับ อะไหล่ก็ผสม Shimano LX ,STX RC พี่เขาก็ขอลองปั่น ผมก็ให้ลอง ตอนจะขึ้นปั่นจังหวะไม่ดี บันไดมันหลุดจากเท้ามากระแทกหน้าแข้งพี่เขา คงจะเจ็บพอสมควรเพระรถผมมันยังใช้ บันไดแบบใส่ตะกร้อล็อกรองเท้า ดังนั้นหน้าบันไดอีกด้านที่ตรงข้ามกับตะกร้อ มันเป็นอลูมิเนียมฟันแหลมๆซี่ๆครับ ผมละสงสารพี่เค้าเลย
ช่วงเย็นผมปั่นออกมาจากน้ำตกก็จะมายังที่พักที่จะผูกเปลนอน ซึ่งผมเอาเป้มาวางไว้แล้วก่อนจะเข้าน้ำตก เป็นอาคารไม้หลังใหญ่แข็งแรง รูปทรงคล้ายตัว L ผมก็จองตรงติ่งที่เป็นตัวแอล เหมือนจะไม่มีอะไรจนกระทั่งใกล้ค่ำก็มีน้อง นศษ.จาก ม.อะไรไม่แน่ใจ มาใช้สถานที่รับน้องกัน ก็มีเสียงเฮฮากันเกือบครึ่งคืน กว่าผมจะได้นอนหลับดึกมาก เลยพาลตื่นสาย ที่ตั้งใจว่าจะออกจากที่พักก่อน 7 โมงเช้า เลยต้องกินข้าวข้าวผัดพริกแกงเป็นมื้อเช้าอีกวัน..555
นี่ครับ Giant ATX 870 ที่พาผมไปเกาะช้าง
Giant ATX 870
CU 92 air craft spec เป็นชื่อทางการค้าเกรดของอลูมิเนียมที่เอามาทำเฟรมจักรยานครับ (ไว้หาข้อมูลเรื่องของ เกรดอลูมิเนียมมาฝาก เมื่อก่อนจำได้แม่นตอนนี้ไม่แม่นแล้วครับ 55)
CU 92 Air Craft Spec
Made In Taiwan
Designed InThe USA/ Made In Taiwan
ตอนนี้ให้น้องไปใช้ปั่นออกกำลังกาย สิบกว่าปีแล้วมั้ง(แต่ดูจากยางหน้าแล้ว สงสัยไม่ได้ปั่นมานาน 55)
ยางหน้าแบนตะแล๊ดแต๊ดแต๋
DAY 3
หลังจากกินข้าวเช้าเรียบร้อยก็เริ่มปั่นแบบอ้อยอิ่งช้าๆ ย่อยข้าวเช้ามุ่งหน้าเข้า ตัวเมืองจันทบุรี โดยมีจุดหมายว่าจะไปนอนที่น้ำตกพลิ้ว (แต่จริงๆแล้วถ้าไม่ไปพลิ้ว มุ่งหน้าตราดเราเลี้ยวซ้ายไปทาง อำเภอ มะขาม จะย่นระยะทางมากพอสมควร)หลังจากปั่นจาก น้ำตกเขาสอยดาว ออกมาก็จะผ่านตรงศาลเจ้าแม่เขาเกลือ ตรงช่องเขาเกลือ ที่ ต.ทับไทร อำเภอ โป่งน้ำร้อน ซึ่งชันเอาเรื่องสำหรับผมตอนนั้น ยังเจอกับเสือภูเขาเจ้าถิ่นปั่นกันหลายคันแบบชิลๆ ยกมือทักทายกัน แล้วผมก็ปั่นเข้า เมืองจันทบุรี ช่วงปะตง มะขามนี่ทางชัน มีมากกว่าทางราบ เหนื่อยสุดๆจนแวะเข้าปั๊มน้ำมันหาซื้อเครื่องดื่มเกลือแร่กิน เลยได้เทปเพลงไปตลับนึง จำไม่ได้แล้วว่าใครร้อง
จังหวะนั้นมีลูกสาวเจ้าของปั๊มเข้ามาคุยเรื่องปั่นจักรยานด้วย ออกจากปั๊มก็ปั่นมากินข้าวเที่ยงที่แยกเข้าตัวเมืองจันทบุรี กินข้าวเที่ยงแล้วก็ปั่นต่อไปมุ่งหน้า จ.ตราด เพื่อจะไปพักที่น้ำตกพลิ้ว ไปถึงน้ำตกก็ชำระค่าเข้า เดินไปนั่งเล่นรับไอลมเย็นๆจากละอองน้ำตก พอสดชื่นหายล้าดีแล้วก็เดินขึ้นไปยอดเขาจุดชมวิว จะมีที่พักคล้ายๆคาบินค่ายลูกเสือ คือยกพื้นไม้กระดาน มีหลังคาและก็ผนังด้านหลังด้านเดียว อีกสามด้านเปิดโล่งไว้ ซึ่งไม่มีปัญหา ผมสามารถนอนได้สบายๆ แต่ก็มีปัญหาจนได้เพราะผมต้องขออนุญาติจาก กรมอุทยานฯที่ กทม.ก่อนถึงจะเข้าพักได้ กำ..จะไปขอได้ยังไงวะ ตอนนี้ แต่ จนท.บอกว่านอนที่ หน้าด่านก่อนเข้าน้ำตกได้ครับไม่ต้องขออนุญาติ
ผมนึกสภาพแล้วไม่ไหวมันจอแจ มีแต่พ่อค้าแม่ค้ายุบยับไปหมด เลยถาม จนท.มีว่าที่พักของป่าไม้ในละแวกนี้อีกบ้างไหม จนท.บอกมีอีกที่คือ น้ำตกตรอกนอง อยู่คนละฝั่งเขาตรงกันข้ามกับน้ำตกพลิ้ว ห่างไปตามถนนประมาณ 20 กว่ากม. พักได้เลยไม่ต้องทำเรื่องขออนุญาติกรมฯ
พอได้เรื่องผมก็รีบออกจากพลิ้วเลย เพราะตอนนั้นก็จะ5โมงเย็นแล้ว ปั่นมุ่งหน้ามาทาง จ.ตราด พอถึงแยก อำเภอ มะขาม กับ อ.แหลมสิงห์ ก็เลี้ยวซ้ายวกกลับมาทาง อ.มะขาม พอถึงปากทางเข้าน้ำตกตรอกนอง จะมีตลาดเล็กๆพอมีของกินขายอยู่ ก็เลี้ยวซ้ายเข้าน้ำตกตรอกนอง พอไปถึงฝนเริ่มพรำๆก็แจ้ง จนท.ที่ป้อม ไอ้เราก็คิดว่าจะมีของขายเหมือน เขาสอยดาวหรือ พลิ้ว พลาดครับไม่มี 55 เลยต้องเอาไฟฉายเสียบหน้าจักรยาน ปั่นออกไปปากทางเข้าน้ำตกที่มีตลาด ซื้อกลับมากินถึงที่พักก็มือสนิท ทีแรกกะจะนอนที่ซุ้มเห็ดที่ให้นักท่องเที่ยวนั่งพัก เพราะฝนมันตกแต่มันกันฝนไม่ได้ พลาสติกกันฝนก็ลืมไม่ได้เอามา ผมเลยเข้าไปนอนที่โรงจอดรถ โดยผูกเปลนอนกับเสาโรงรถ
อาบน้ำเสร็จ(ที่อาบน้ำและสุขา สะอาดมากๆครับ) แต่กว่าจะอาบน้ำเสร็จเกือบจะตะคริวกินตาย เพราะน้ำต่อท่อมาจากน้ำตกโคตรเย็นเลย..55 พออาบน้ำ กินข้าวเสร็จ ก็ตั้งท่าจะนอนก็มีพี่ จนท.ขับมอเตอร์ไซด์ กลับมาจากไปดื่มเครี่องดื่มแก้หนาวมาจากข้างนอก พอมาเจอผมก็ชวนผมคุย แนะนำตัวเองเสร็จสรรพ และชวนผมกินข้าว ผมก็ว่า”ขอบคุณครับผมกินเรียบร้อยแล้วครับ” พี่เค้าก็ว่า โอเครๆ สรุปคืนนั้นกว่าผมจะได้นอน พี่เขาเรียกกินข้าวไป 3-4 รอบ 55
ไว้มาต่อครับ
มาขยายความเรื่องเกรดของท่ออลูมิเนียม ที่นำมาทำเฟรมจักรยาน ในสมัยนั้น (ปี พ.ศ.2541) คงมีหลายตัว แต่เท่าที่ผมทราบ จะมีที่นิยมใช้ทำเฟรมราคาปานกลางและค่อนข้างถูกคือ 6061และ 7005 ส่วนเฟรมอลูเทพๆ แพงๆมหาโหด ผมไม่ทราบจริงๆครับ
คุณสมบัติลองไปหาในอินเตอร์เน็ตดูนะครับ ผมไม่กล้าลงไว้กลัวติดลิขสิทธิ์ครับ
ส่วนเจ้า Giant ATX 870 ของผมที่ใช้รหัสทางการค้าว่า CU 92 บางที่ว่าคือ6129 คุณสมบัติคร่าวๆคือแข็งแกร่งกว่า 6061 ประมาณ 30% นั่นหมายความว่าถ้าต้องการความแข็งแรงเท่าๆกัน CU92 ก็จะเบากว่า 6061 ประมาณ 30% นั่นเองครับ
ส่วนต่อท้ายด้วย T4,T5,T6 นั้น เท่าที่ทราบคือ กระบวนการหรือกรรมวิธี ในการอบให้ความร้อนให้ตัวท่อลูมิเนียมคืนความแข็งแรง เนื่องจากตัวท่ออลูมิเนียมนั้นจะดัดงอให้โค้งไม่ได้มาก เวลาประกอบเป็นเฟรมจักรยานจึงต้องมีการตัดแล้วเชื่อมเข้าด้วยกัน ทีนี้เวลาเชื่อมนั้นตรงรอยเชื่อมของท่ออลูมิเนียมจะสูญเสียความแข็งแกร่งไป จึงต้องใช้การอบความร้อนเพื่อคืนความแข็งแกร่งของอลูมิเนียมให้กับมาเหมือนเดิม จึงมีสูตรของใครของมันเป็น T4,T5,T6 ซึ่งเป็นความลับสุดยอดครับ
มีเรื่องจริงที่เล่ากันมาว่าบ้านเราตอนนั้นมีการก็อปปี้ เฟรมจักรยานดังๆแพงโครตๆจากเมืองนอก(เฟรมหลักแสนบาทขึ้น) ปรากฎว่าทำเหมือนเป๊ะแต่มาตกม้าตายเพราะ ไม่มีความรู้ในการอบความร้อนคืนความแข็งแกร่งให้เฟรม ต้องไปจ้างห้องอบพืชผลทางการเกษตรกรรม อบแบบทดลองๆไปเรื่อยๆ ผลลูกค้าที่สั่งทำเอาไปโดดลงเขา เฟรมแตกกระจายครับ เดี้ยงไป 55 (เป็นเรื่องเศร้าครับที่ นักวิชาการคนไทยไม่ช่วยเหลือกัน)
DAY 4 ไว้พิมพ์เสร็จจะมาลงครับ
DAY 4 ผมยกไปไว้โพสใหม่แล้วนะครับ ตามลิงค์นี้
https://www.blockdit.com/posts/61ca0d92979e16986e1ac643
1 บันทึก
2
6
1
2
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย