2 ม.ค. 2022 เวลา 04:12 • ปรัชญา
"ใจเข้าถึงความสุข ความปลอดภัย ไร้ศัตรู"
" ... ถ้าจิตเราหลงปรุงหลงแต่งแล้วเรามีสติรู้ ตัวรู้เกิดเลย
พอมีตัวรู้แล้วก็สังเกต
โอ้ มันตัวเดียวกับตัวที่เคยนั่งสมาธิมาแต่เด็กนั่นล่ะ
แต่ว่าแต่ก่อนนี้มีตัวรู้แล้วก็ไม่รู้จะไปไหนต่อ
ก็มัวแต่ไปดูโน้นดูนี้ออกไป ไปอ่านพระไตรปิฎก
ไปอ่านธรรมะอะไรมากมาย หาวิธีที่จะปฏิบัติต่อ
ทั้งๆ ที่ได้ตัวรู้มาแต่เด็กแล้ว
ได้เจอหลวงปู่ดูลย์ท่านให้ดูจิต จิตนั่นล่ะคือตัวรู้
ดูทีแรกดูไม่เป็นไปนั่งเฝ้าไว้
นั่งจ้องไม่ให้คลาดสายตาเลย
ตัวรู้มันก็เด่นดวงอยู่อย่างนั้น
เกิดตัวรู้ซ้อนตัวรู้ไปเรื่อยๆ ไม่มีที่สุด
เรียกว่าวิญญาณเป็นอนันต์
1
ดูไปๆ ในที่สุดก็หยุดนิ่ง ว่าง สว่างอยู่อย่างนั้น
ไปหาหลวงปู่ หลวงปู่บอกทำผิดแล้ว
นี่บังคับจิตไม่ได้ดูจิต
จิตมีธรรมชาติคิดนึกปรุงแต่ง
ไปทำเสียไม่คิดไม่นึกไม่ปรุงไม่แต่ง
ใช้ไม่ได้ไปทำใหม่
คราวนี้ก็เลยมาดู ดูจริงๆ แล้ว
จิตเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
เดี๋ยวก็จิตโกรธขึ้นมา รู้ จิตโกรธก็ดับ เกิดจิตไม่โกรธ
เดี๋ยวก็โกรธอีกรู้อีก โกรธอีกรู้อีก
หลุดโลก
หลวงพ่อเป็นพวกขี้โมโห พวกโทสะ
ฉะนั้นจิตโกรธเกิดบ่อย
พอจิตโกรธเกิดบ่อยเราก็เห็นไปเรื่อยๆ
เห็นมันเกิดแล้วมันก็ดับไป
เดี๋ยวเป็นจิตโกรธ เดี๋ยวจิตไม่โกรธ เกิดดับๆๆ
ในที่สุดต่อไปมันก็เริ่มเขยิบไป
บางทีจิตไม่ได้โกรธ จิตโลภก็เห็นจิตโลภเกิดแล้วก็ดับ
เราก็ฝึกไปเดี๋ยวก็มีจิตรู้
อ้าว เผลอแป๊บเดียวหลงไปแล้วเป็นจิตหลงอีกแล้ว
จิตมีโมหะ จิตไม่มีโมหะ
เฝ้าดูความเปลี่ยนแปลงของมันไป
แล้วก็เห็นจิตมันเกิดดับ
เดี๋ยวมันไปเกิดที่ตาแล้วก็ดับ เกิดที่หูแล้วก็ดับ
เกิดที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ เกิดที่ไหนดับที่นั้น
แต่ก่อนจะเห็นตรงนี้ยังเห็นผิดก่อน
เห็นจิตมันตั้งมั่นอยู่แล้วมันก็วิ่งไปที่ตา
ไปดูรูปอยู่พักหนึ่งก็วิ่งกลับมาอยู่ตรงกลางนี้
(หลวงพ่อเอามือจับที่กลางอก)
ก็วิ่งไปที่หู วิ่งไปที่จมูก วิ่งกลับไปกลับมา
จิตเหมือนแมงมุมอยู่กลางใยแล้วก็วิ่งซ้าย วิ่งขวา
วิ่งบน วิ่งล่าง ก็ดูไปเรื่อยๆ พบว่าไม่ใช่หรอก
จิตไม่ได้วิ่งไปวิ่งมา แต่จิตรู้เกิดแล้วมันดับ
มันเกิดจิตที่ไปดูรูป มันเกิดต่อกันอย่างรวดเร็ว
สัญญามันเลยทำให้เรารู้สึกว่าจิตอยู่ตรงนี้
แล้วตอนนี้ไปอยู่ตรงนี้ มันเห็นการเคลื่อน
อย่างหลวงพ่อเคลื่อนมือให้เราดู
เห็นไหมมันมีตั้งหลายช็อตใช่ไหม
กว่าจะเคลื่อนไปได้ เป็นช็อตๆๆ
ฉะนั้นจิตมันเกิดดับ
มันไม่ใช่มีดวงเดียวแล้ววิ่งไปวิ่งมาหรอก
อย่างเคลื่อนมือคือรูป เห็นไหมรูปก็เกิดดับดูได้ไหม
ลองเคลื่อนๆๆ มันจะเกิดดับให้ดู
เดี๋ยวอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวอยู่ตรงนี้
จิตก็เหมือนกันเดี๋ยวอยู่ตรงนี้ เดี๋ยวอยู่ที่ตา
อยู่ตรงนี้อยู่ที่หู อยู่ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย
เดี๋ยววิ่งไปทางใจ วิ่งไปคิด
เห็นจิตมันทำงานอย่างนี้
โอ๊ยจิตทุกชนิดเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
จิตโลภเกิดแล้วก็ดับ จิตโกรธ จิตหลง เกิดแล้วก็ดับ
จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ เกิดแล้วก็ดับ
จิตไปดูรูป จิตไปฟังเสียง จิตไปดมกลิ่น จิตไปลิ้มรส
จิตไปรู้สัมผัสทางกาย จิตไปคิดนึกทางใจ
จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับทั้งสิ้นเลย
เฝ้ารู้เฝ้าดู ถึงจุดหนึ่งมันปิ๊งขึ้นมาเอง
จิตมันก็ไม่ใช่ตัวเราเหมือนกัน
เหมือนร่างกายที่มันไม่ใช่ตัวเรานี่ล่ะ
เฝ้าดูไปเรื่อยๆ มันจะเห็นในโลกมันไม่มีเราหรอก
โลกทั้งโลกก็เป็นแค่ความกระเพื่อมไหว
เป็นคลื่นเท่านั้นเองนะโลก เป็นคลื่น
เป็นความกระเพื่อมไหวเท่านั้นเอง
มีความเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา
ไม่มีใครเป็นเจ้าของเรา
พวกอวดว่าเป็นเจ้าโลก เป็นเจ้าโลก ไม่ได้เป็นหรอก
โลกมันก็เป็นโลกของมันอยู่อย่างนี้
มันกระเพื่อมไหวเป็นคลื่น เป็นพลังงาน
เป็นสสารที่กระเพื่อมไหวอยู่ตลอดเวลา
ดูไปๆ แล้วมันก็เห็น มันว่างเปล่า
ว่างเปล่าจากความเป็นตัวเป็นตน
ไม่มีตัวตนตรงไหนเลย
ก็มีแค่นี้มีแต่รูปธรรมนามธรรม
ที่กระเพื่อมไหวเปลี่ยนแปลงไปเท่านั้น
พอเห็นมันหาสาระไม่ได้
ใจมันก็ค่อยๆ คลายออก
ค่อยคลายออกจากโลกเป็นลำดับๆ ไป
ในที่สุดมันก็หลุดจากโลก
หลุดโลกนี่เรามาใช้จนเสียหาย
กลายเป็นพวกบ้าไปแล้ว
หลุดโลก จริงๆ มันหลุดจากโลกจริงๆ
โลกมันคืออะไร โลกมันคือตัวทุกข์
โลกไม่มีตัวอื่นหรอกโลกมีแต่ตัวทุกข์
ดูเป็นแล้วจิตหลุดโลกมันเสียหายไหม
หลุดออกจากกองทุกข์มันเสียหายไหม ไม่เสียหายเลย
มีแต่เรื่องที่เป็นสิริมงคลอย่างยิ่ง
รู้แจ้งอริยสัจ พระพุทธเจ้าบอกเป็นมงคลอย่างยิ่ง
รู้แจ้งแทงตลอดในอริยสัจ
จิตเข้าถึงความปลอดภัย
จิตมัน “เขมัง” จิตมันไม่มีความผูกพันอะไร
จิตเข้าถึงความปลอดภัย ก็มีความสุข สงบสุข
ค่อยๆ ฝึกไป
ถ้าเราดูอย่างที่หลวงพ่อบรรยายเรื่องดูจิตให้ฟังไม่เป็น
ดูกายไปก่อน เห็นร่างกายมันไม่ใช่ตัวเรา มันทำงานไป
ค่อยรู้ค่อยดูไป
ถ้าดูได้แล้วต่อไปก็มาดูจิตใจเรา แต่บางคน บางท่าน
ท่านดูกายแล้วท่านก็บรรลุมรรคผลเลย
บรรลุถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้เลย
ทำไมดูกายแล้วถึงที่สุดแห่งทุกข์ได้
เพราะตัวถึงที่สุดแห่งทุกข์นั้นมันต้องปล่อยวางจิตได้
มันปล่อยวางกายไปก่อน ปล่อยวางจิตตามมา
คนละสเต็ปกัน
2
อย่างเราดูกายดูไปเรื่อยๆๆ ใครเป็นคนดู จิตเป็นคนดู
ตรงที่ปัญญาเกิด มันเห็นกายกับจิตทำงานอยู่ด้วยกัน
ร่างกายมันเคลื่อนไหวได้เพราะจิตสั่ง
“จิตเป็นนาย กายเป็นบ่าว” อะไรอย่างนี้
...
“ทำเหตุให้มากแล้วผลมันมาเอง
ทำเหตุก็คือเจริญสติไว้ ทำสติให้มาก
ศีลที่ไม่เคยมีก็จะมี สมาธิที่ไม่เคยมีก็จะมี
ปัญญาที่ไม่เคยมีก็จะมีขึ้นมาได้
อาศัยสติเป็นตัวตั้งต้น”
ฉะนั้นดูกายมันก็เห็นจิต ตรงที่มันรู้แจ้งแทงตลอด
มันเห็นทั้งกายทั้งจิตมันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แล้วดูไปเรื่อยๆ ก็เห็นอีก
กายนี้คือตัวทุกข์ก็วางกาย พอวางกายแล้ว
โดยธรรมชาติก็เข้ามาที่จิต
คราวนี้ร่างกายจะเคลื่อนไหวอย่างไร เห็นจิตหมดเลย
ฉะนั้นการรับรู้มันลงมาที่จิตทั้งนั้นเลย
พอลงมาต่อไปมันก็เห็นจิตก็ไม่มีอะไร จิตคือตัวทุกข์
ทุกข์เพราะไม่เที่ยง
ทุกข์เพราะถูกบีบคั้น
ทุกข์เพราะว่าบังคับไม่ได้ ไม่อยู่ในอำนาจ
พอรู้แจ้งแทงตลอดทั้งกายทั้งจิต ก็ไม่มีอะไรให้รู้อีกแล้ว
ก็วาง วางกายวางจิต มันจะไปรู้ธรรม
รู้ธรรมที่สุดสุดคือพระนิพพาน
นิพพาน สงบ สันติ ว่าง
ที่ว่างเพราะไม่มีรูปธรรม ไม่มีนามธรรม
ไม่มีพระอาทิตย์ ไม่มีพระจันทร์
ไม่มีกลางวัน ไม่มีกลางคืน ว่างอยู่อย่างนั้น เสถียร
ใจที่เราเข้าไปสัมผัส ใจมันก็มีความปลอดภัย
เพราะตรงนี้ไม่มีศัตรูรุกรานเข้ามาได้แล้ว
มีความสุข มีความปลอดภัยอยู่ในตัวเอง ..."
2
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 ธันวาคม 2564
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา