2 ม.ค. 2022 เวลา 15:56 • ปรัชญา
"ฝึกจิตให้คุ้นชินกับการภาวนา"
1
"... พยายามมีสติไม่ประมาท คุ้มครองตัวเองให้ดีเท่านั้น
ถ้าพลาดพลั้งติดเชื้อไป ตายไปก็ไม่เป็นไร
เรายังมีกิเลสอยู่เดี๋ยวเราก็เกิดอีก ไม่เป็นไรหรอก
เพียงแต่ฝึกภาวนาให้มันชำนาญ ให้มันชิน
ให้มันชินกับการปฏิบัติไว้
1
คนที่เขาภาวนาดีๆ ภาวนาง่ายๆ อะไรอย่างนี้
ก่อนที่เขาจะมาถึงจุดที่ภาวนาง่ายๆ ภาวนาได้ดี
เขาก็ล้มลุกคลุกคลานมาแล้วทั้งนั้น
นับภพนับชาติไม่ถ้วน อาศัยการสะสม
คุ้นชินที่จะรักษาศีล ที่จะฝึกจิตฝึกใจให้สงบ
ให้ตั้งมั่น ไม่หลงกับโลก คุ้นชินที่จะเจริญปัญญา
ถ้าจิตมันเคยชินที่ฝึกมาแบบนี้ในอดีต
ปัจจุบันก็ภาวนาง่าย
ถ้าจิตคุ้นชินกับความไม่มีสติ คุ้นชินที่จะผิดศีล
คุ้นชินที่จะฟุ้งซ่าน คุ้นชินที่จะหลงโลก มันก็ภาวนายาก
2
จิตที่ฝึกมาดีมีผลสืบเนื่อง ไม่สูญเปล่า
1
ฉะนั้นเรามาใช้เวลาช่วงนี้
ที่พระพุทธศาสนายังดำรงอยู่
มาฝึกความคุ้นชินของจิตใจ
ให้มันคุ้นชินที่จะมีสติ มีศีล มีสมาธิ
คุ้นชินที่จะเจริญปัญญา
แล้วต่อไปบุญบารมีเราพอ อินทรีย์เราแก่กล้า
เราก็อาจจะได้มรรคผลในชีวิตนี้
ถ้ายังไม่พอก็ไปต่อเอาชาติหน้า มันจะง่าย
ง่ายกว่ากันเยอะเลย
คนที่เคยฝึกมาแล้ว แล้วตายมาเกิดอีกมันลืม
มันจะลืมสภาวะที่เคยมีเคยเป็น
สมองมันลืมเพราะมันสมองคนละอันกัน
แต่จิตมันไม่ลืมหรอก
จิตมันสืบทอดกันมาเรื่อยๆ
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
ทั้งวันทั้งคืนไม่มีช่องว่าง ไม่มีระยะห่าง
หมายถึงเกิดดับๆๆ ต่อๆ กันไปเรื่อยๆ
มันก็เอาคุณสมบัติ ทั้งที่ดีทั้งที่เลวของจิตดวงก่อนๆ
เอามาใช้เป็นความเคยชินของจิต
คนเคยภาวนาเกิดมาใหม่ก็ลืมเรื่องภาวนา
แต่พอมีสิ่งใดสิ่งหนึ่งมากระทบใจอย่างแรงๆ
ของเก่าที่เคยภาวนามันจะดีดตัวขึ้นมาเอง
มันจะกลับมาเอง เพราะของมันเคยมีเคยเป็น
เป็นสมบัติเขาเรียกว่า อริยสมบัติ
สมบัติที่ดีเลิศพวกนี้ ไม่ใช่ว่าต้องเป็นพระอริยบุคคล
ปุถุชนเราก็สร้างอริยสมบัติได้
เช่น เรามีศีล มีสมาธิ มีปัญญาอะไร
ค่อยๆ ฝึกเอา ถึงคราวมาเกิดใหม่ลืมธรรมะไป
แต่พอมีเรื่องราวมา กระทบ
โดยเฉพาะเรื่องที่ทำให้ตกใจ จะขึ้นง่าย
ที่หลวงพ่อเคยสังเกตหลายๆ คนจะเป็นเรื่องที่ตกใจ
มันเป็นอารมณ์ที่รุนแรง
พอตกใจจิตที่ตกใจอยู่ๆ มันจะพลิกตัวเอง
กลายเป็นจิตผู้รู้ขึ้นมาเลย
ความตกใจมันจะกระเด็นไปอยู่ต่างหาก
จิตเป็นคนรู้คนดู จิตไม่ตกใจแล้ว
ตั้งมั่นขึ้นอัตโนมัติเลย
จิตที่มันฝึกมาดี มันก็มีผลสืบเนื่องมาไม่สูญเปล่า
ส่วนสมบัติทางโลกนั้น
เรายังไม่ทันตายบางทีก็สูญไปก่อนแล้ว
หรือตายไปสูญไปหมดแล้ว
กลายเป็นสมบัติของคนอื่นหมด
กระทั่งเมียเรา เราตายไป
ไปเป็นเมียคนอื่นก็ได้อะไรอย่างนี้
สามีเรา เราตายแล้วเขาไปเป็นสามีคนอื่นก็ได้
ฉะนั้นสมบัติทางโลกไม่ยั่งยืนหรอก
แต่สมบัติในทางธรรมไปดูกูเกิล
เรื่องอริยทรัพย์ไปดู สะสมเอาไว้
มีหลายเคสที่หลวงพ่อเคยเห็น
มีเด็กคนหนึ่งอายุ 10 ขวบได้
ตอนเด็กๆ ไฟไหม้ข้างๆ บ้าน
พอเห็นไฟไหม้ก็ตกใจวิ่งจะไปบอกพ่อ
ก้าวที่หนึ่งตกใจ ก้าวที่สองก็ยังตกใจ
ก้าวที่สามจิตผู้รู้มันดีดตัวขึ้นมาเด่นดวงเลย
ความตกใจหายไปหมดเลย
เหลือแต่ความรู้เนื้อรู้ตัวอยู่
แล้วไปบอกผู้ใหญ่ว่าไฟไหม้ข้างบ้านแล้ว
แล้วคราวนี้ก็ดูคนอื่นตกใจ จิตเป็นแค่คนดู
มีพระองค์หนึ่งเคยมาเล่าให้หลวงพ่อฟัง
ตอนท่านเป็นวัยรุ่น ไม่ได้ภาวนา
ภาวนายังไม่เป็นหรอก
ไปดูงานลอยกระทง ในงานลอยกระทงเขามีการจุดพลุ
ไปยืนอยู่ข้างที่เขาจะจุดพลุ
ไม่ทันสังเกตก็ไปยืนตรงจุดที่เขาจะจุดพลุกันเลย
พอเขาจุดพลุเปรี้ยงขึ้นมาตกใจ
พอตกใจจิตรวมพรึบเข้ามาเลย ความตกใจหายไป
จิตก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมาเลย
ของที่มันเคยฝึก มันไม่สูญเปล่าหรอก
เพราะฉะนั้นพวกเราอดทนนิดหนึ่ง
พากเพียรภาวนาของเราทุกวันๆ
เราได้ของดีติดเนื้อติดตัวไป
ของอันนี้ข้ามภพข้ามชาติได้
แล้วคนพวกนี้จะภาวนาง่าย
อย่างถ้าเราไม่เคยฝึกให้จิตตั้งมั่น
จิตเราเป็นผู้หลงตลอดเวลา
จะลงมือปฏิบัติธรรมจะให้ได้ธรรมะในชีวิตนี้
ไม่ใช่ง่ายเลย
เพราะของมันไม่คุ้นเคยที่จะภาวนา
บางทีขยันขึ้นมาก็ภาวนา พอขี้เกียจก็เลิกภาวนา
มันจะไม่เหมือนคนที่อินทรีย์เขาสะสมมาแก่กล้า
มันจะชอบภาวนา มันภาวนาของมันเอง
ไม่มีใครบังคับหรอก ทุกวันๆ ชอบไหว้พระ
สวดมนต์ นั่งสมาธิ เดินจงกรมอะไรอย่างนี้
เวลาเกิดอะไรกระทบจิตใจอย่างแรงๆ
ใจก็ตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา เป็นเองเลย
1
เราไม่ต้องไปอิจฉาคนอื่นเขา
ทำไมเขาภาวนาเร็ว ภาวนาง่าย
ทำไมเราภาวนายากจัง แถมขี้เกียจภาวนา
เวลาจะเจอครูบาอาจารย์ก็ภาวนาทีหนึ่ง
เวลาห่างๆ ไปก็เลิก ไปหลงกับโลกต่อเพราะชินแล้ว
จิตเราชินที่จะหลงโลก มันก็จะหลงโลก
ถ้าจิตเราชินกับการภาวนา มันก็จะภาวนา
มันเรื่องแค่นี้เอง เรื่องง่ายๆ
ความเคยชินมันสร้างได้ เราเคยชินจะหลงโลก
ก็ฝึกตัวเองให้หลงโลกไป
ปล่อยตัวปล่อยใจตามกิเลส ตามโลกไปทุกวันๆ
ไม่มีอะไรทำ บางคนรายได้ดีทำมาหากินสบาย
คนอื่นเขาลำบากปิดบ้านปิดเมือง
เราค้าขายออนไลน์อะไรต่ออะไร หากินได้ไม่ลำบาก
ไม่ต้องทำมาหากิน
แต่ทุกวันชอบดูข่าวเฟซบุ๊กนี่ล่ะตัวดีเลย
ดูข่าวการเมือง
คนนั้นโพสต์อย่างนั้น คนนี้โพสต์อย่างนี้
ดูแล้วกิเลสที่ไม่เคยเกิดก็เกิด กิเลสที่มีแล้วก็แรงขึ้น
ส่วนใหญ่คนเล่นอินเทอร์เน็ต
หลวงพ่อไม่เห็นมันจะมีกุศลสักกี่คนเลย
มีเหมือนกันถ้าฟังดูยูทูปที่หลวงพ่อเทศน์ จิตก็เป็นกุศล
ถ้าไปดูการบ้านการเมือง
นักการเมืองคนนั้นอย่างนั้น คนนี้อย่างนี้ โทสะมันก็ขึ้น
เราก็เลือกเอา เลือกเสพ
เราจะเสพสิ่งที่เป็นพิษ เสพยาพิษก็เอา
หรือจะเสพยาบำรุงจิตใจก็เอา เราเลือกเอา
บางคนสบายทุกอย่างแล้ว
แต่มันสนใจวุ่นวายกับการเมืองอะไรอย่างนี้
ข่าววันๆ หนึ่งเยอะแยะ ทั้งในประเทศทั้งต่างประเทศ
กิเลสก็เกิดตลอดเวลาเลย
แล้วตกค่ำจะไปนั่งสมาธิ ไปเดินจงกรมอะไรอย่างนี้
จะไปได้กินหรือ
ไม่ได้กินหรอกเพราะมันฟุ้งซ่านมาเต็มวันไปแล้ว
บางคนก็กวาดบ้านถูบ้าน
เป็นสามีที่ดีทำงานบ้านให้ ทำงานไปก็เจริญสติไป
เดี๋ยวแวบเดียวแวะไปดูอินเทอร์เน็ตแล้ว
ไปไม่รอดหรอก บวกกับลบ ทำทั้งบวกทำทั้งลบ
ถ้ามันเท่าๆ กันก็กลายเป็นศูนย์เลย หมดไม่มีอะไรเหลือ
ถ้าบวกเยอะหน่อยมันก็มีลบส่วนหนึ่ง
หักลบกลบหนี้ก็ยังกำไรนิดหน่อย ก็อย่าบ่นว่าช้า
ทำไมไม่ได้ธรรมะสักที ก็ทำทุกวัน
ทำทุกวันแต่ก็รั่วทุกวัน
วิธีพัฒนาสติก็คือ การเจริญสติปัฏฐาน
พยายามนะ พยายามเข้า
รักษาใจเราอย่าให้มันรั่วให้มันไหลตามกิเลส
พยายามหลีกเลี่ยงผัสสะอะไรที่กระทบแล้ว
กิเลสที่ยังไม่เกิดก็เกิด กิเลสที่เกิดแล้วรุนแรงขึ้น
ผัสสะอะไรที่เกิดแล้ว กุศลที่เคยมีก็ไม่มี หายไป
เราก็เลี่ยงเสียสิ่งเหล่านี้ พยายามเลี่ยง
แล้วสะสมแต้มของเราไปเรื่อยๆ
5
พยายามพัฒนาสติ วิธีพัฒนาสติก็คือ
การเจริญสติปัฏฐานนั่นล่ะ
มีสติระลึกรู้กาย มีสติระลึกรู้เวทนา
มีสติระลึกรู้จิตตสังขาร
มีสติระลึกรู้รูปธรรมนามธรรมทั้งหลายทั้งปวง
3
รูปธรรมนามธรรมทั้งหลาย
มีเหตุก็เกิดหมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
มันทำงานสืบเนื่องกัน
เพราะสิ่งนี้มีสิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ไม่มี
ค่อยฝึกตัวเอง เจริญสติ รู้กาย เวทนา จิต ธรรม
เฝ้ารู้ไปเรื่อย สติระลึกรู้อะไรก็รู้อันนั้น
ถนัดอะไรก็เอาอันนั้น
1
ถนัดรู้กายก็รู้กาย รู้กายแล้วได้อะไร
ก็ได้สติ ได้ศีล ได้สมาธิ ปัญญา
รู้เวทนาก็ได้สติ ได้ศีล ได้สมาธิ ได้ปัญญา
จะรู้จิตมันก็ได้อย่างเดียวกัน
เจริญธัมมานุปัสสนามันก็ได้อย่างเดียวกัน
รายละเอียดปลีกย่อยแตกต่างกันนิดๆ หน่อยๆ
แต่ความบริสุทธิ์นั้นมันอันเดียวกัน
แต่ความแตกฉาน
พวกที่เจริญเข้าไปถึงธัมมานุปัสสนาก็จะแตกฉานในธรรมะ
ถ้าเราไม่แก่กล้า ดูกายกับดูใจไว้ 2 อันนี้ง่ายๆ ที่สุด
ดูใจเช่นใจมันโลก ใจมันโกรธ ใจมันหลง
ใจไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่หลง ดูแค่นั้น
1
ถ้าอินทรีย์เรากล้าแข็งขึ้น
เราก็ดูเวทนา กับ ดูธัมมานุปัสสนา
เวทนายากกว่าดูกาย ธัมมานุปัสสนายากกว่าดูจิต
มันละเอียดประณีตขึ้น
อย่างหลวงพ่อให้ไปดูกายนะจืด
ใจมันรู้สึกจืดชืดเลย รู้สึกคับแคบ รู้สึกไม่ชอบ
มันตื้นมากเลย ดูกายเคยดูไม่ใช่ไม่เคย
ดูผมพอดูแป๊บเดียวผมสลายหมดเลย เห็นหนังศีรษะ
ดูหนังศีรษะ เห็นหัวกะโหลกมันสลายตัวเป็นชั้นๆ ไป
ดูหัวกะโหลกหัวขาดไปแล้ว
ดูลงในร่างกายเนื้อหนังหายไปเหลือแต่กระดูก
ดูกระดูก กระดูกระเบิดเลย
ดูเศษเล็กเศษน้อยของกระดูกกลายเป็นคลื่นแสง
ดูแล้วก็จืดมันจบอยู่ตรงนี้ทุกทีเลย ไม่เห็นมีอะไร
ใจเรามันก็แจ่มแจ้งอยู่แล้วว่ากายนี้มันไม่ใช่ตัวเรา
ตรงนี้ไม่ใช่พระอริยะหรอก
พระพุทธเจ้าท่านบอกไว้
“ปุถุชนที่ไม่ได้สดับธรรมะ คนทั่วๆ ไปสามารถเห็นได้ว่ากายไม่ใช่ตัวเรา”
เพราะมันตายให้ดู มันเจ็บให้ดู มันแก่ให้ดูอยู่เรื่อยๆ
คนตายเยอะแยะใช่ไหม
คนนั้นที่เรารู้จักก็ตาย คนนี้ก็ตายอะไรอย่างนี้
ใจมันก็เห็นความจริงง่ายว่าร่างกายไม่ใช่เรา
ถึงวันหนึ่งมันก็แตกสลาย
แต่บางคนต้องดูทางนี้ก่อน ต้องดูกายก่อน
ดูจิตไม่ได้ดูกายไปก่อน ... "
2
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
25 ธันวาคม 2564
ติดตามการถอดไฟล์บรรยายฉบับเต็มจาก :
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา