2 ม.ค. 2022 เวลา 14:04 • ความคิดเห็น
การที่เราอยู่กับตัวเราเองนานๆมากไป จิตของเรามันก็ไม่เคยชินกับการที่ไปอยู่ร่วมกับคนอื่น ยิ่งเราพยายามหาสิ่งอะไรมารู้มาฟังมาก มันก็เป็นเรื่องราวของอารมณ์ดีไม่ดี ทีปรุงแต่งเกิดขึ้น อารมณ์ทีปรุงแต่เกิดขึ้นเหมือนเราอยากจะฟังอยากอยู่ เฉพาะในสิ่งที่เราชอบเท่านั้น เหมือนเราไปปฏิเสธที่จะเรียนรู้จักคนรอบข้าง การที่อยู่ลักษณะนี้ จิตของเรามันก็เหมือนไม่มีภูมิอะไร พอไปกระทบกับคนที่เราพูดคุย คนนี้คนนั้น ที่ทุกคนก็มีอารมณ์ใช้อารมณ์เป็นปกติของเค้า พอเราไปกระทบ อารมณ์ของเรามันก็หวั่นไหว คิดเล็กคิดน้อย ฟุ้งไปหมด มันเกิดที่ตัวเอง ไม่ได้ไปเกิดที่คนอื่น เวลาเกิดลักษณะแบบนี้ เราก็อย่าไปเชื่ออารมณ์
เราลองไปดูเด็กเค้าเล่นกัน เดี๋ยวก็โมโห ต่อว่ากัน เดี๋ยวก็มาดีกัน ผ่านไปไม่ทันไร ก็กลับมาเล่นกันใหม่ เพราะเด็กเค้าไม่ค่อยคิดอะไร สนุกสนานไปตามวัยของเค้า ส่วนเรามัวแต่เก็บตัว ไม่เล่นสนุกกับเค้าบ้าง ภูมิของใจเราตรงนี้มันก็เหมือนไม่มี
1
อารมณ์ที่เราไปฟังเรื่องราวบุคลิกภาพรับมาเก็บไว้มากมาย จะทำให้เราคอยจับผิดคนนั้นคนนี้เกิดขึ้น เราก็จะกลายเป็นคนที่จับผิดคนอื่น อารมณ์ก็ปรุงไปว่าเค้าไม่ดีอย่างนั้นอย่างนี้ ไม่ดีแบบที่เราจดจำมาเรียนรู้มายึดมาถือ ที่จะเป็นอุปสรรคในชีวิตของเรา ที่ต้องออกไปพบเจอะเจอคนนั้นคนนี้
เราก็ควรตัดมันออกไป อย่าเขื่ออารมณ์ความคิดที่เกิดในตน เราก็ควรหากิจกรรม ที่ไปอยู่กับผู้อื่นบ้าง เพื่อให้จิตเรามีภูมิ ที่จะรับฟังคนที่อยู่แวดล้อมเรา แล้วก็อย่าไปเชื่ออารมณ์ของเรา เรื่องราวที่เราใช้อยู่ฟังเรื่องราวคนนั้นเป็นอย่างนี้อย่างนั้น เราจะไปทำเหมือนคนอื่นก็ไม่ได้ ทำตามสิ่งที่เค้าว่าก็ไม่ได้ เมื่อเราแก้ไขตัวเอง เราก็รู้ว่าอุปสรรคนั้นมันคือใจของเรา เราก็ต้องฝืนทน ทนอารมณ์ตัวเองที่เกิดขึ้น แล้วก็เถียงกับอารมณ์ตัวเองบ้าง ว่าจะให้คิดเล็กคิดน้อยไปถึงไหน ฝืนอารมณ์ของตัวเอง พอได้สติคิดแบบนี้ ก็นิ่งสักครู่ แล้วเปลี่ยนกิริยา ไปหาอะไรทำ อย่าไปทำอะไรที่ซ้ำเหมือนที่เราเคยเป็น จะเป็นเหมือนเรายตอกมุดย้ำหัวตะปูจมอยู่กับกรรมตรงนั้น
เราก็เปลี่ยนไปทำเรื่องอื่นๆ บ้าง เราต้องยอมไปหาเค้าบ้าง ทำไปเพื่อลดละทิฐิที่กักขังตัวตนของเรา หากเราไม่เคยทำบุญทำทาน เราก็ไปกระทำขึ้น เพื่อผ่อนคลายเรื่องราวที่เรายึดถืออยู่ จะได้ช่วยเหลือจิตของตัวเอง
โฆษณา