Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
6 ม.ค. 2022 เวลา 04:20 • กีฬา
ริวัลโด้: นักเตะเบอร์ 1 ของโลกที่คนบราซิลไม่รัก | Main Stand
"ริวัลโด้ เป็นยอดนักเตะที่มักถูกมองข้าม ผมเชื่อว่ามันเป็นเพราะเขาเล่นอยู่ในยุคเดียวกับ โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่" รุด กุลลิต นักเตะระดับตำนานของเนเธอร์แลนด์กล่าว
เขาเป็นหนึ่งในสามประสานอันเกรียงไกรของ "3R" แห่งทีมชาติบราซิล เป็นเจ้าของรางวัลบัลลงดอร์ นักเตะยอดเยี่ยมฟีฟ่า และคว้าแชมป์มากมายทั้ง ลา ลีกา, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก หรือแม้กระทั่งแชมป์ฟุตบอลโลก
อย่างไรก็ดีเขากลับไม่ได้รับการยกย่องเท่าที่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในหมู่แฟนบอลชาวบราซิล ที่ทั้งดูหมิ่นดูแคลน เย้ยหยัน ไปจนถึงจงเกลียดจงชังอดีตนักเตะหมายเลข 1 ของโลกรายนี้
เพราะเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น ? ร่วมติดตามไปพร้อม ๆ กับ Main Stand
เด็กหนุ่มที่ไม่กล้าฝัน
นักฟุตบอลกับความยากลำบากเป็นสิ่งที่ผู้คนมักจะได้ยินจากเรื่องเล่าของนักเตะบราซิล แต่สำหรับ ริวัลโด้ วิเตอร์ บอร์บา เฟร์เรรา หรือที่รู้จักกันดีในชื่อ "ริวัลโด้" มันอาจจะเกินกว่าที่ใครจะจินตนาการ
2
เขาคือลูกคนกลางในจำนวนพี่น้องห้าคนที่เติบโตขึ้นมาในสลัมชานเมืองเรซิเฟ รัฐเปอร์นัมบูโก ทางตะวันออกเฉียงเหนือของบราซิล และต้องทำงานช่วยเหลือครอบครัวมาตั้งแต่เด็ก ในทุกสุดสัปดาห์ ริวัลโด้ จะต้องตามพ่อแม่ไปรับจ้างตัดหญ้า ไปจนถึงเร่ขายหมากฝรั่งและไอศกรีมแท่งตามชายหาดของเมือง
"คุณต้องใช้ชีวิตอยู่กับความยากจนถึงจะรู้ว่าความยากจนคืออะไร" ริวัลโด้ กล่าวกับ El Grafico นิตยสารสัญชาติอาร์เจนตินา เมื่อปี 1999
"คุณต้องทำงานทั้งวันเพื่อรายได้อันน้อยนิด และต้องพบกับความหิวโซ ความทรมาน ที่เปาลิสตามันยากมากที่จะฝัน"
ครูของเขาบอกว่า ริวัลโด้ เป็นเด็กที่ค่อนข้างขี้กลัวและประหม่าทุกครั้งเมื่อถูกเรียกให้อ่านออกเสียง แต่ความประพฤติโดยรวมก็ยังดีกว่าพี่ชายทั้งสองคนของเขา
ทว่ามีสิ่งหนึ่งที่เขาค่อนข้างมั่นใจ นั่นก็คือการเล่นฟุตบอล เขาชอบเล่นฟุตบอลเท้าเปล่ามาก โดยมี เปเล่ และ ดิเอโก มาราโดนา เป็นไอดอล ทั้งนี้เพื่อนของเขาบอกว่า ริวัลโด้ เป็นนักเตะที่เก่งที่สุดในกลุ่มเสมอ มีการครองบอลที่เหนียวแน่นและยิงประตูได้รุนแรง ทั้งที่มีรูปร่างผอมบาง
1
จนกระทั่งตอนอายุ 13 ริวัลโด้ ก็ไม่ต้องเล่นฟุตบอลเท้าเปล่าอีกต่อไป เมื่อ โรมิลโด พ่อของเขาซื้อสตั๊ดคู่แรกให้ และหลังจากนั้นเขาก็พัฒนาฝีเท้าอย่างต่อเนื่อง จนถูก ซานตาครูซ สโมสรในท้องถิ่นชวนไปทดสอบฝีเท้าในอีก 3 ปีต่อมา
1
อย่างไรก็ดีดูเหมือนว่าเขาจะถูกสาปให้เจอแต่ฝันร้าย เพราะก่อนผลการคัดตัวจะประกาศไม่กี่วัน พ่อของเขาก็มาประสบอุบัติเหตุถูกรถโดยสารประจำทางชนจนเสียชีวิต และความสูญเสียครั้งนี้ก็ทำให้เขาคิดเลิกเล่นฟุตบอล เพราะรู้สึกจำนนต่อโชคชะตาว่า ความสุขและความสำเร็จคงจะไม่ได้มีไว้สำหรับ "คนอย่างเขา"
แต่แม่ของ ริวัลโด้ ที่รู้ดีว่าลูกชายของเธอรู้สึกอย่างไร เพราะเธอเองก็รู้สึกไม่ต่างกันกับความสูญเสียครั้งนี้ จึงได้นั่งลงและเปิดอกคุยกับเขาว่าจงเล่นฟุตบอลต่อไป อย่างน้อยก็ทำเพื่อพ่อที่ตายไป
1
"พ่อของแกไม่ได้อยากให้แกเป็นอะไรนอกจากเป็นนักฟุตบอลอาชีพ จงทำให้ได้" แม่ของริวัลโด้บอกกับเขา
และเขาก็ทำได้จริง ๆ
เผชิญกับอคติ
หลังเสร็จสิ้นงานศพ ครอบครัวของ ริวัลโด้ ก็ได้รับข่าวดีบ้าง เมื่อการคัดตัวเป็นไปด้วยดี และริวัลโด้ก็ได้เป็นนักเตะเยาวชนของ ซานตาครูซ ทว่านั่นก็เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นเท่านั้น เพราะไม่นานความท้าทายใหม่ของเขาก็เริ่มต้นขึ้น
4
เนื่องจาก ซานตาครูซ ไม่ใช่สโมสรใหญ่ ทำให้เขาได้เงินเพียงน้อยนิด แถมสนามซ้อมของทีมยังอยู่ห่างจากบ้านเขาถึง 15 กิโลเมตร ทำให้ ริวัลโด้ ต้องเดินไปกลับเป็นระยะทางรวมถึง 30 กิโลเมตรทุกวัน
Photo : sportmob.com
เขามาถึงสนามซ้อมด้วยความเหนื่อยและกลับไปด้วยความเหนื่อย บวกกับร่างกายที่ผอมบางและฟันที่หลุดเกือบหมดปาก จากภาวะขาดสารอาหารมาตั้งเด็ก ทำให้เขาดูอ่อนแอเกินกว่าจะเป็นนักเตะอาชีพได้
อย่างไรก็ตามเขาก็ไม่ยอมแพ้ เขามุ่งมั่นฝึกซ้อมจนได้รับโอกาสลงเล่นในเกมระดับอาชีพเป็นครั้งแรกในปี 1991 ในเกมลีกของรัฐและทำผลงานได้ไม่เลว ด้วยการซัดไปถึง 8 ประตูจาก 18 นัด
1
ก่อนที่ในฤดูกาลต่อมาเขาจะได้ประเดิมสนามในเกมลีก แต่ด้วยผลงานที่ไม่คงเส้นคงวา บวกกับการที่ ซานตาครูซ พลาดสิทธิ์เลื่อนชั้น ทำให้เขาตกเป็นแพะรับบาปว่าเป็นต้นเหตุของความล้มเหลวของทีมในฤดูกาลนั้น จนถูกถีบหัวส่งไปอยู่กับ โมจิ มิริม ทีมในลีกระดับ 2 ของลีกประจำรัฐเซาเปาโล
2
ทว่าการย้ายทีมครั้งนี้ก็ทำให้เขาเฉิดฉาย หลังถูก โครินเธียนส์ ยืมตัวไปอีกทอดหนึ่ง ด้วยการยิงไปถึง 22 ประตูจาก 58 นัด จนได้รับรางวัล Bola de Ouro หรือรางวัลแข้งยอดเยี่ยมแห่งปีตามตำแหน่ง (คล้ายกับติดทีมยอดเยี่ยม) พร้อมทั้งถูกเรียกติดทีมชาติ แถมยังประเดิมประตูแรกได้ทันทีในเกมพบกับเม็กซิโก
ผลงานดังกล่าวทำให้ในปี 1994 พัลไมรัส ตัดสินใจกระชากตัว ริวัลโด้ ไปรวมทัพ ก่อนที่เขาจะตอบแทนสโมสรด้วยการช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ซีรีส์ เอ ได้อย่างยิ่งใหญ่ และทำให้เขาได้รับรางวัล Bola de Ouro มานอนกอดอีกหนึ่งสมัย
1
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลเท่าที่ควร เหตุผลส่วนหนึ่งเป็นเพราะอคติของคนบราซิลที่ไม่ค่อยให้การยกย่องนักเตะที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เนื่องจากมองว่าพวกเขา "เชยและจน"
2
อคตินี้ทำให้พวกเขาแบ่งแยกและเลือกปฏิบัติกับคนที่มาจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยถึงขั้นมีคำเรียกคนจากภูมิภาคนี้แบบเหมารวมว่าเป็นพวก "พาไรบาส" ที่แปลว่าคนที่มาจากรัฐพาไรบา ในนัยยะว่าพวก "บ้านนอก" โดยไม่สนใจว่าจริง ๆ พวกเขามาจากรัฐไหน
2
อันที่จริง ริวัลโด้ ก็เคยออกมาพูดถึงเรื่องนี้ ว่าตัวเขาเองไม่ได้รับการปฏิบัติจากสื่อเหมือนกับนักเตะบราซิลที่มาจากรัฐทางใต้ที่เจริญกว่า แถมโค้ชหลายคนก็เลือกที่จะมองข้ามเขาหรือไม่ก็เรียกตัวมาติดทีมชุดแรก ก่อนจะตัดออกในภายหลัง ไปจนถึงถูกโยนให้เป็นแพะรับบาป
2
หนึ่งในตัวอย่างที่ชัดเจนคือในฟุตบอลโลก 1994 ที่ตอนแรกเขาถูก คาร์ลอส อัลแบร์โต เปเรย์รา เรียกมาติดทีมในตอนแรก ก่อนจะตัดชื่อเขาออกในชุด 22 คนสุดท้าย โดยให้เหตุผลว่าเขา "เห็นแก่ตัวเกินไป" และ "ไม่คงเส้นคงวา" ก่อนที่ทีมชุดนั้น จะคว้าแชมป์โลกในบั้นปลาย
2
หรือในฟุตบอลโอลิมปิก 1996 ที่แอตแลนตา ซึ่ง ริวัลโด้ กลายเป็นเป้าเล่นงานของแฟนบอล หลังเสียการครองบอลจนนำไปสู่ประตูตีตื้น 3-2 ของไนจีเรีย ก่อนจะถูกพลิกแซงเอาชนะไปได้ในช่วงต่อเวลาพิเศษด้วยกฏโกลเดนโกล
แม้ว่าจริงอยู่ที่การเสียการครองบอลครั้งนั้นจะทำให้โมเมนตัมของเกมเปลี่ยน แต่เขาก็ไม่ได้มีส่วนรับผิดชอบกับอีกสองประตูหลังจากนั้น หรือไม่อย่างนั้นก็ควรเป็นความรับผิดชอบของทั้งทีมไม่ใช่ถูกเล่นงานอยู่คนเดียว
"เกมพบกับไนจีเรียนั้นช็อกทุกคน เพราะว่าพวกเราหวังว่าจะคว้าเหรียญทองกลับบ้าน" ลุยเซา อดีตเพื่อนร่วมทีม ริวัลโด้ ในทีมชุดนั้นกล่าวกับ BBC
"โชคร้ายที่มันเป็นเกมที่ผิดไปจากที่คิดไว้และทุกคนก็เศร้ามาก แต่ ริวัลโด้ นั้นเจ็บปวดมากกว่าใคร เพราะเขาถูกวิจารณ์เละเลย"
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ยอมแพ้
พิสูจน์ตัวเองในยุโรป
"ผมมีความทรงจำที่ค่อนข้างขมขื่นในตอนนั้น แต่มันก็ทำให้ผมได้เจอกับแรงกระตุ้นที่จะแสดงให้เห็นว่าคำวิจารณ์เหล่านั้นมันไม่ยุติธรรมสำหรับผม" ริวัลโด้ กล่าวถึงเหตุการณ์ในโอลิมปิก 1996 กับ BBC
1
การดุด่าว่ากล่าวอย่างโหดร้ายทำให้ ริวัลโด้ รู้สึกพอแล้วกับการเล่นในบราซิล อันที่จริงเขาตั้งใจจะย้ายไปเล่นในต่างประเทศมาก่อน แต่ดีลต้องล้มไปเพราะคุยเรื่องสัญญาไม่ลงตัว ก่อนที่เหตุการณ์ในโอลิมปิกจะเป็นแรงผลักดันให้เขามุ่งมั่นที่จะออกจากบ้านเกิด
1
Photo : eldesmarque.com | El Ideal Gallego
สุดท้ายกลายเป็น เดปอร์ติโบ ลา คอรุนญา ทีมในลาลีกา สเปน ที่ได้สิทธิ์เป็นสโมสรแรกของเขาในยุโรป และเพียงแค่ปีเดียวที่นั่นเขาก็พิสูจน์ว่าเขาคือของจริง ด้วยการยิง 21 ประตูจาก 41 นัด และช่วยให้ทีมจบในตำแหน่งกลางตาราง
1
เขาโดดเด่นอย่างมากด้วยเทคนิคการทำประตูที่หลากหลาย แม้จะไม่ใช่ศูนย์หน้าโดยธรรมชาติ แต่ ริวัลโด้ ก็ยิงได้ทุกแบบ ทั้งลูกชาร์จจ่อ ๆ ลูกโหม่ง ฟรีคิกโค้งข้ามกำแพง ไปจนถึงจุดโทษแบบปาเนนก้าที่ในยุคนั้นยังไม่ค่อยมีใครกล้าทำ
แต่สำหรับในบ้านเกิดดูเหมือนว่าแสงจะยังไม่ฉายมาที่เขา เพราะแม้จะทำผลงานได้โดดเด่นเพียงใด แต่การเล่นให้กับ ลา คอรุนญา ก็ไม่ได้ทำให้เขาได้รับความสนใจจากชาวบราซิล เนื่องจากทีวีบราซิลเลือกที่จะโฟกัสกับ เรอัล มาดริด และ บาร์เซโลน่า เท่านั้น
1
นี่เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ ริวัลโด้ ตกปากรับคำย้ายไปเล่นให้กับบาร์ซ่าในฤดูกาลต่อมา ด้วยค่าตัวถึง 4,000 ล้านเปเซตา (ค่าเงินของสเปนในอดีต ปัจจุบันคือราว 24 ล้านยูโร หรือ 900 ล้านบาท) หลังจากนั้นเขาก็ก้าวขึ้นมาเป็นนักเตะเบอร์ใหญ่ของยุโรปและของโลกอย่างแท้จริง
2
ตลอด 5 ฤดูกาลในถิ่นคัมป์ นู ริวัลโด้ ซัดไป 129 ประตูจาก 235 นัด ช่วยให้บาร์ซ่าคว้าแชมป์ลา ลีกา 2 สมัย, โคปา เดล เรย์ 1 สมัย, ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ 1 สมัย และก้าวขึ้นไปคว้ารางวัลบัลลงดอร์ ในปี 1999 พ่วงด้วยนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของฟีฟ่าในปีเดียวกัน
1
ในปี 2001 เขายังถูกพูดถึงไปทั่วยุโรป หลังเหมาทำแฮตทริกในเกมนัดสุดท้ายของฤดูกาลกับ บาเลนเซีย ใน 3 แบบ 3 สไตล์ ลูกแรกคือฟรีคิก ลูกที่สองคือยิงไกล ส่วนลูกสุดท้ายคือการพักอกวอลเลย์โอเวอร์เฮดในนาทีสุดท้าย ช่วยให้ทีมคว้าชัยพร้อมได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก
1
"การยิงประตูนั้นมันเหลือเชื่อ หนึ่งคือมันเป็นประตูที่น่าทึ่ง เป็นลูกโอเวอร์เฮด สองมันเกิดขึ้นในนาทีสุดท้ายตอนที่กำลังเสมอกัน และสามมันทำให้เราได้ไปแชมเปี้ยนส์ลีก" ริวัลโด้ ย้อนความหลังถึงประตูนั้นกับ FourFourTwo
1
"ผมเคยยิงประตูสวย ๆ มาก่อน แต่นี่คือประตูที่ยอดเยี่ยมที่สุดเพราะว่ามันสำคัญ มันเป็นอะไรที่ผมไม่เคยเห็นอีกเลย"
1
แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ไม่ได้รับการยอมรับยามกลับไปเล่นให้กับทีมชาติ แฟนบอลชาวบราซิลมองว่าเขาทำผลงานได้ดีแค่ในสีเสื้อของบาร์ซา แถมบางครั้งยังโดนดูถูกเมื่อทำผิดพลาดตอนเล่นให้กับบราซิล
1
"เขาน่าจะรู้สึกภาคภูมิใจและได้เติมเต็มจากการลงเล่นให้กับประเทศ แต่ ริวัลโด้ มักจะสะท้อนออกมาเป็นความเศร้า" แมตต์ กัลต์ นักเขียนจาก These Football Times กล่าวในบทความ Rivaldo: the shameless showman from the favelas
"เมื่อถูกถามเกี่ยวกับการถูกกล่าวร้ายจากแฟนบอล เขาเลือกที่จะไม่ตอบคำถาม แต่ตอบโต้เชิงบวกในสนาม ด้วยสไตล์การเล่นแบบหุ่นยนต์นักฟุตบอล"
"ตอนที่ยังเด็ก ริวัลโด้ มีความฝันที่จะเล่นให้ทีมชาติบราซิล แต่การปรากฏตัวในชุดสีเหลืองอันโดดเด่นกลับกลายเป็นความทรมานและความโดดเดี่ยวในชีวิตนักเตะอาชีพของเขา"
1
"แฟนบอลมักจะเยาะเย้ยเขาตอนส่งบอลพลาด เยาะเย้ยตอนถูกปฏิเสธโอกาสการทำประตู หรือแม้แต่ตอนทำประตูได้เขาก็ยังถูกเยาะเย้ย"
"ถ้า จอห์น บาร์นส์ เป็นอัจฉริยะเท้าซ้ายคนแรกที่ถูกแฟนทีมชาติดูถูก แน่นอนว่า ริวัลโด้ ก็คงเป็นคนที่สอง"
ซ้ำร้ายในฟุตบอลโลก 2002 ยังทำให้เขาถูกโจมตีหนักกว่าเดิม
จอมมารยา
แม้ว่า ริวัลโด้ จะไม่ได้รับการเชิดชูจากแฟนบอลในบ้านเกิดมากนัก แต่เขาก็ถือเป็นกำลังสำคัญของทัพแซมบ้า ไม่ว่าจะเป็นการยิง 3 ประตูในฟุตบอลโลก 1998 ช่วยให้ทีมทะลุเข้าถึงนัดชิงชนะเลิศและไปแพ้ฝรั่งเศสในบั้นปลาย หรือ 5 ประตูในโคปา อเมริกา 1999 ที่ช่วยให้บราซิลคว้าแชมป์ได้สำเร็จ
แต่ทัวร์นาเมนต์ที่โดดเด่นที่สุดของ ริวัลโด้ คือศึกเวิลด์คัพฉบับเอเชีย ที่ญี่ปุ่นและเกาหลีใต้ ในปี 2002 ที่เขาเป็นหนึ่งในแนวรุกสุดโหดของบราซิลที่มีชื่อเรียกว่า "3R" ร่วมกับ โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ เขาทั้งยิงทั้งจ่ายจนทำให้บราซิลก้าวขึ้นไปสู่แชมป์โลกสมัยที่ 5
ผลงาน 5 ประตูในฟุตบอลโลกยังทำให้เขาคว้ารางวัลรองเท้าเงิน ร่วมกับ มิโรสลาฟ โคลเซ ของเยอรมัน และติดทีมยอดเยี่ยมของฟีฟ่าในปีดังกล่าว และเป็นนักเตะที่ หลุยส์ เฟลิเป สโคลารี่ กุนซือทีมชาติบราซิลชุดนั้นเอ่ยปากชม
"ผมพูดเสมอว่าริวัลโด้คือผู้เล่นที่ช่วยผมมากที่สุดในทีมชุดนั้น" สโคลารี่ กล่าว
"บางครั้งผู้คนก็ลืมแทคติกของทีม พวกเขาดูแค่สิ่งที่เกิดขึ้นในนัดชิงชนะเลิศหรือประตู แต่ ริวัลโด้ คือนักเตะที่ยอดเยี่ยมที่สุดของทีม"
อย่างไรก็ดีแทนที่ความสำเร็จในครั้งนี้จะทำให้ ริวัลโด้ ได้รับการยอมรับอย่างแท้จริง แต่เหตุการณ์ในเกมพบกับตุรกี ในนัดแรกของทัวร์นาเมนต์ กลับกลายเป็นจุดด่างพร้อยที่ทำให้เขาถูกเล่นงานไม่รู้จบ
มันเกิดขึ้นในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ขณะที่บราซิลนำอยู่ 2-1 และได้ลูกเตะมุม ริวัลโด้ พยายามถ่วงเวลาด้วยการไม่ยอมเอาบอลมาเตะ จน ฮาคาน อุนซาน หงุดหงิดจึงเตะบอลอัดไปโดนเข่าของเขา แต่ ริวัลโด้ กลับกุมไปที่ใบหน้าพร้อมกับร้องโอดโอย และนั่นทำให้นักเตะตุรกีถูกใบเหลืองที่ 2 ไล่ออกไป
จากจังหวะดังกล่าวทำให้เขาถูกแฟนบอลทั่วโลก รวมถึงแฟนบอลบราซิลที่ไม่ชอบเขาเป็นทุนเดิมเย้ยหยันว่าเป็นพวกมารยา แสดงเก่งระดับออสการ์ ยอมทำทุกอย่างเพื่อให้ทีมได้รับชัยชนะโดยไม่คำนึงถึงน้ำใจนักกีฬา
"มันเป็นการแสดงที่น่ารังเกียจที่สมควรได้รับตำแหน่งเดียวกับเหตุการณ์ที่ โทนี ชูมัคเกอร์ ทำกับ พาทริค แบตติสตัน ในปี 1982 หรือแฮนด์ ออฟ ก็อด ในปีเดียวกัน" ริชาร์ด วิลเลียมส์ นักข่าวจาก The Guardian กล่าวในบทความของเขา
มันกลายเป็นภาพจำติดตัวเขาว่าเป็นพวกขี้โกง บวกกับบุคลิกที่ดูหม่นหมองและปิดตัวเอง ทำให้เขาอยู่ห่างไกลจากความนิยม จนเป็นนักเตะที่ชาวบราซิลไม่รักไปอย่างน่าเศร้า จวบจนวันสุดท้ายในการเล่นให้ทีมชาติในปี 2003
2
ทิ้งไว้ข้างหลัง
1
อันที่จริงอีกเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ ริวัลโด้ ไม่ค่อยได้รับการเชิดชู อาจจะเป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของเขา เขาเป็นคนพูดน้อยและขี้อาย แถมยังต้องเผชิญกับคำดูถูกมาตั้งแต่ ๆ เด็ก จนทำให้เขาเลือกที่จะไม่ตอบโต้หรือแก้ต่างภาพลักษณ์ของตัวเอง
"เขาเยือกเย็นและโฟกัสอยู่กับงานของตัวเอง เขาแค่ตั้งใจทำทุกวันให้ดีขึ้น" ซิเมา อดีตเพื่อนร่วมทีมบาร์เซโลน่ากล่าวกับ BBC
"นอกสนามเขาเป็นคนขี้อายแต่ก็ใส่ใจคนอื่น ตอนที่เขาได้บัลลงดอร์ เขาถ่อมตัวในแบบของเขา เขาขอบคุณพวกเราเป็นรายบุคคลด้วยการมอบลูกบอลทองคำเล็ก ๆ ให้แก่พวกเราทุกคน"
นอกจากนี้การที่เขาเติบโตขึ้นมาในยุคที่บราซิลมีนักเตะระดับซูเปอร์สตาร์เต็มทีม โดยเฉพาะการมี โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่ อยู่เคียงข้างในแนวรุก ยิ่งทำให้แสงที่ตกมาที่เขายิ่งน้อยลงจนไม่ได้รับการนับถือเท่าที่ควร
"ริวัลโด้ เป็นยอดนักเตะที่มักถูกมองข้าม ผมเชื่อว่ามันเป็นเพราะเขาเล่นอยู่ในยุคเดียวกับ โรนัลโด้ และ โรนัลดินโญ่" รุด กุลลิต กล่าวในบทความของ ESPN
แต่สิ่งเหล่านี้ไม่สำคัญอีกแล้ว ในวัยย่าง 50 ปีเขาเลือกที่จะทิ้งคำวิจารณ์ไว้ข้างหลัง และย้ายมาใช้ชีวิตอยู่ในสหรัฐอเมริกาเพื่อความสบายใจ โดยกลับไปบราซิลบ้างเป็นบางครั้ง
เพราะสำหรับเด็กด้อยโอกาสอย่างเขา ตอนนี้เขามาไกลมากแล้ว ไกลกว่าที่ตัวเองจะกล้าฝันเสียอีก
"ในฐานะเด็กจน ๆ ความคิดที่ว่าวันหนึ่งจะกลายเป็นนักเตะที่ดีที่สุดในโลก เป็นแชมป์โลกกับทีมชาติบราซิล ได้เล่นกับบาร์เซโลน่า ไม่เคยอยู่ในหัวผมเลย" ริวัลโด้ กล่าวกับ BBC
2
"ความฝันของผมคือการได้เป็นนักฟุตบอลอาชีพของ ซานตาครูซ สำหรับผมแค่นั้นก็เพียงพอแล้ว"
บทความโดย มฤคย์ ตันนิยม
แหล่งอ้างอิง:
https://www.espn.com/core/world-cup/story/_/page/worldcup101-05142010/ce/us/ruud-gull-all-time-no-10s
https://www.bbc.com/sport/football/5969661
https://www.90min.com/posts/rivaldo-the-underappreciated-genius-who-lit-up-camp-nou
https://bleacherreport.com/articles/2325580-rivaldo-his-time-at-deportivo-la-coruna-and-barcelona
https://www.quora.com/Why-is-Rivaldo-less-popular-than-Ronaldo-and-Ronaldinho-right-now
https://www.theguardian.com/football/2008/jun/19/barcelona.brazil
https://punditfeed.com/nostalgia/rivaldo/
https://thesefootballtimes.co/2019/01/03/rivaldo-the-shameless-showman-from-the-favelas/
1
11 บันทึก
19
3
1
11
19
3
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย