8 ม.ค. 2022 เวลา 01:32 • อสังหาริมทรัพย์
จับตา 10 ปัจจัยสำคัญ อาจทำพิษเศรษฐกิจโลกปี 2022
ภาพรวมของเศรษฐกิจโลกในปี 2022 ยังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัวต่อจากปีที่ผ่านมา และถูกตั้งความหวังว่าในปีนี้จะมีอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจต่อเนื่องไปอีกปี โดยกองทุนการเงินระหว่างประเทศ หรือ IMF คาดการณ์ว่า เศรษฐกิจโลกในปีนี้จะเติบโตที่ 4.9%
จับตา 10 ปัจจัยสำคัญ อาจทำพิษเศรษฐกิจโลกปี 2022
อย่างไรก็ตาม ปัญหาที่เกิดขึ้นจากช่วงวิกฤติ-19 ในแต่ละประเทศนั้นมีความแตกต่างกัน ซึ่งการแก้ปัญหาของประเทศหนึ่งก็จะส่งผลกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ที่มีความเกี่ยวข้องด้วย ฉะนั้น ช่วงที่ประเทศในโลกกำลังดำเนินนโยบายเพื่อฟื้นฟูจึงอาจจะสร้างความเสี่ยงให้กับเศรษฐกิจโลกได้
นอกจากนี้ ความน่าจะเป็นที่ไวรัสโควิด-19 จะกลายพันธุ์และกลับมาสร้างความเสียหายได้อีก ความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้นได้ทำให้หน่วยงานวิเคราะห์หลายแห่งได้ออกมาแสดงความเห็นกับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
1
หนึ่งในนั้น คือ Bloomberg Economics ซึ่งได้ทำการวิเคราะห์ 10 สถานการณ์ที่อาจส่งผลให้การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงจากที่คาดการณ์ไว้ ดังนี้
📌 โอมิครอนและการล็อกดาวน์
แม้โอมิครอนจะสามารถแพร่เชื้อได้อย่างรวดเร็ว แต่ก็ไม่แสดงอาการรุนแรงกับผู้ที่ติดเชื้อ หรือมีระดับความอันตรายต่อที่ต่ำ แต่อย่างไรก็ตาม หากเกิดไวรัสกลายพันธุ์ตัวใหม่ที่มีอัตราป่วยหนักและเสียชีวิตสูงขึ้น จะส่งผลให้เกิดการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก
นอกจากนี้ มาตรการล็อกดาวน์ที่ใช้สกัดโควิดจะสร้างปัญหากับห่วงโซ่อุปทานในระดับโลก ไม่ว่าจะการขาดแคลนแรงงาน และการปัญหาด้านการขนส่งในพื้นที่ที่มีการล็อกดาวน์ อย่างเช่น การปิดเมืองท่าของประเทศจีน
📌 ภัยคุกคามจากเงินเฟ้อ
แม้โอมิครอนอาจจะสร้างปัญหาด้านห่วงโซ่อุปทานในวันข้างหน้า ซึ่งจะเป็นหนึ่งในตัวแปรที่จะเร่งอัตราเงินเฟ้อให้สูงขึ้นจากปี 2564 อย่างไรก็ตาม แนวโน้มการเพิ่มขึ้นของอัตราเงินเฟ้อไม่ได้มีเพียงปัจจัยนี้ แต่ยังประกอบด้วย ค่าแรงที่อาจสูงขึ้นอีกในสหรัฐ ความตึงเครียดระหว่างยูเครนและรัสเซีย ที่อาจส่งผลให้ราคาพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
1
อย่างไรก็ตาม หากเกิดการล็อกดาวน์ในหลายประเทศก็อาจจะทำให้ราคาน้ำมันลดลง แต่หากราคาน้ำมันยังเพิ่มสูงขึ้น แม้จะมีการล็อกดาวน์ ก็จะทำให้เกิดความเสี่ยงสู่ภาวะ “Stagflation” ขึ้น ซึ่งจะสร้างปัญหาที่แก้ยากให้กับธนาคารกลางในหลายประเทศ แม้อาจจะเป็นเพียง Shock ในระยะสั้นก็ตาม
3
📌 การไต่ขึ้นของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Fed rate) ในสหรัฐ
มีแนวโน้มว่าอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐจะปรับตัวสูงขึ้น 3 ครั้งในปี 2022 นี้ ซึ่งจะขึ้นไปแตะที่ 2.5% ต่อปี
1
ดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจะสร้างปัญหาให้กับตลาดของสหรัฐ เนื่องจากในช่วงที่ผ่านราคาสินทรัพย์ได้มีการปรับขึ้นไปอยู่ในที่สูงไปแล้ว โดยดัชนี S&P 500 นั้นเข้าใกล้การเกิดภาวะฟองสบู่ และราคาบ้านที่ดีดตัวสูงขึ้นมากกว่าที่ควรจะเป็น สะท้อนความเสี่ยงที่รุนแรงกว่าในหลายปีที่ผ่านมา นับตั้งแต่หลังวิกฤติซับไพรม์ในปี 2007-2008
📌 ผลกระทบจากการถอนมาตรการทางการเงินของ Fed ต่อประเทศ Emerging market
การที่ Fed ถอนมาตรการทางการเงิน อาทิ QE จะมีผลให้อัตราดอกเบี้ยปรับตัวเพิ่มสูงขึ้น และค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ส่งผลให้เงินทุนไหลกลับเข้ามายังสหรัฐ ทำให้ประเทศที่พึ่งพิงเงินทุนจากต่างประเทศจะได้รับผลกระทบหนัก โดยเฉพาะ Emerging Market จนอาจถึงขั้นต้องเผชิญกับวิกฤติค่าเงิน
1
บราซิล-อียิปต์-อาร์เจนติน่า-แอฟริกาใต้-ตุรกี หรือที่เรียกโดยรวมว่า BEASTs คือ 5 ประเทศที่มีความเสี่ยงสูงสุดต่อการเกิดวิกฤติ จากการถอนมาตรการทางการเงินของ Fed
📌 การเติบโตของเศรษฐกิจจีนอาจถึงทางตัน
1
ในปีที่ผ่านมา วิกฤติหนี้ของเอเวอร์แกรนด์ การล็อกดาวน์ และการขาดแคลนพลังงาน ทำให้เศรษฐกิจชะลอตัวลง 0.8% จากระดับปกติที่ 6%
ในปี 2022 แม้การขาดแคลนพลังงานจะบรรเทาลง แต่ปัญหาที่เหลือยังคงอยู่ เนื่องด้วยจีนดำเนินนโยบายโควิด-19 เป็นศูนย์ จึงอาจมีผลให้เกิดการล็อกดาวน์อีกในปี 2565 นี้ เพื่อสกัดโอมิครอน หรือสายพันธุ์อื่นหากมีตามมา
นอกจากนี้ การถดถอยลงของอุปสงค์และข้อจำกัดทางการเงิน ทำให้ภาคการก่อสร้างที่เคยเป็น 25% ของจีดีพีอาจถูกบั่นทอนลง จึงมีคาดการณ์ว่า ปีนี้เศรษฐกิจจีนจะขยายตัวที่ 5.7% ซึ่งต่ำกว่าปกติเช่นเดียวกับปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบกระทบไปยังประเทศอื่นๆ ผ่านการขาดกำลังซื้อหลัก เป็นต้น
1
📌 ความวุ่นวายทางการเมืองในยุโรป
กลุ่มผู้ต่อต้านการรวมกลุ่มของสหภาพยุโรปอาจทำให้เกิดความระส่ำระสายต่อภาคเศรษฐกิจและการเงิน มีคาดการณ์ว่าอาจทำให้สูญเสียทางเศรษฐกิจไปกว่า 4% ในปี 2022 ซึ่งจะมีผลให้เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย และรื้อฟื้นการตั้งคำถามเกี่ยวกับมีอยู่ของ “สหภาพยุโรป”
1
📌 ผลกระทบจาก Brexit
การเจรจาเรื่องพิธีสารไอร์แลนด์เหนือระหว่างสหภาพยุโรปและสหราชอาณาจักร โดยหากการเจรจายังไม่มีความคืบหน้าหรือล้มเหลว ความไม่แน่นอนจากเรื่องดังกล่าวจะนำมาซึ่งผลกระทบต่อการลงทุนของภาคธุรกิจ การอ่อนค่าของเงินปอนด์ การเร่งอัตราเงินเฟ้อ และรายได้ที่แท้จริงลดลง
นอกจากนี้ หากต้องเผชิญกับสงครามการค้าเต็มรูปแบบ ภาษีศุลกากรของไอร์แลนด์จะมีผลมาก เพราะจะทำให้ระดับเงินเฟ้อนั้นเพิ่มสูงขึ้น
📌 อนาคตของนโยบายทางการคลัง
แนวโน้มการใช้นโยบายการรัดเข็มขัดในหลายประเทศ จะมีผลให้เม็ดเงินที่หมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจของประเทศลดลง แต่ก็ยังมีบางประเทศที่ยังคงทุ่มเงินเพื่อฟื้นฟูประเทศ เช่น ญี่ปุ่น และ จีน เป็นต้น
📌 ราคาอาหาร และความไม่สงบ
ผลกระทบจากโควิด-19 และการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ ผลักดันให้ราคาอาหารเพิ่มขึ้นใกล้แตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังมีแนวโน้มจะเพิ่มสูงขึ้นต่อไปอีกในปีหน้า
1
ในประวัติศาสตร์ความหิวโหยมักจะนำมาซึ่งความไม่สงบ เช่น การเพิ่มขึ้นของราคาอาหารอย่างไม่คาดคิดในปี 2011 ได้ก่อให้เกิดการประท้วงในหลายพื้นที่แถบตะวันออกกลาง อาทิ ซูดาน เยเมน และเลบานอน ซึ่งการลุกฮือของผู้คนมักไม่ได้สร้างเพียงผลกระทบต่อท้องที่หนึ่ง แต่ยังจะสร้างความเสี่ยงให้กับความมั่นคงในระดับภูมิภาค
1
📌 การเมืองภูมิรัฐศาสตร์-ท้องถิ่น
อาทิ ประเด็นเรื่องดินแดนจีน-ไต้หวัน อาจนำมาซึ่งการเผชิญหน้ากันของสองมหาอำนาจ โดยสิ่งที่อาจจะเกิดในลำดับถัดไป คือ การชะลอเรื่องการกระชับมิตรระหว่างจีนและสหรัฐ ส่งผลให้เกิดความเสี่ยงต่อการค้าระหว่างประเทศ เป็นต้น
1
อ่านต่อ: https://bloom.bg/3qDre1U
โฆษณา