Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
•
ติดตาม
9 ม.ค. 2022 เวลา 22:53 • ปรัชญา
“การแสดงความเคารพไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกถึงการถือสรณะ”
คือว่าถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เป็นสรณะนี้ ความหมายที่แท้จริงก็ถือเป็นครูเป็นอาจารย์ เราอยากจะรู้ธรรมะนี้เราต้องเข้าหาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกับนิสิตนักศึกษาที่ถือครูบาอาจารย์ในมหาวิทยาลัยเป็นผู้สั่งสอนวิชาระดับปริญญาต่างๆ ต้องเชื่อฟังคำสั่งคำสอนของครูบาอาจารย์
ส่วนการให้ความเคารพนี้ถือว่าเป็นเปลือกคือเป็นการแสดงความเคารพ ในฐานะที่เป็นผู้อ่อนกว่า เป็นผู้ที่ได้รับประโยชน์จากผู้ที่สูงกว่า ดังนั้นการแสดงความเคารพนี้ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกที่แท้จริงถึงการถือสรณะ การบ่งบอกที่แท้จริงก็คือการเชื่อฟังคำสั่งคำสอนของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ แล้วก็ปฏิบัติตาม เรียกว่าการถือสรณะ ก็เป็นธรรมดาในเมื่อเราเป็นผู้น้อยเป็นผู้ศึกษา เราก็มักจะให้ความเคารพต่อผู้ใหญ่ ผู้ที่ให้ความรู้กับเรา งั้นเวลาเราเจอพระพุทธรูปก็ดี เราก็กราบไหว้ เป็นการแสดงความเคารพ
แต่ความจริงแล้วในสมัยพุทธกาลนี้พระพุทธเจ้าไม่ทรงเน้นเรื่องการบูชาด้วยการแสดงความเคารพที่เรียกว่าอามิสบูชา ท่านเน้นเรื่องการปฏิบัติบูชา บูชาด้วยการปฏิบัติตามคำสั่งคำสอน ดังนั้นในสมัยพุทธกาลนี้พระพุทธเจ้าไม่ให้สร้างพระพุทธรูป มีคนเคยจะสร้าง ทำพระพุทธรูปไปถวาย พระพุทธเจ้าทรงบอกว่าไม่ใช่เรา พระพุทธรูปนี้ไม่ใช่เรา เราอยู่ที่พระธรรมคำสอน คำสอนนี้เป็นเรา เราเป็นคำสอน
ถ้าอยากจะเคารพเราให้เคารพคำสั่งคำสอนของเราด้วยการปฏิบัติบูชา ส่วนอามิสบูชานี้ก็เป็นเพียงแสดงมรรยาทของผู้ที่เคารพเท่านั้นเอง ให้ความเคารพต่อผู้มีพระคุณ เพราะการให้วิชาความรู้นี้เป็นพระคุณ ผู้ที่ได้รับความรู้ก็ควรที่จะแสดงความเคารพเวลาพบกับผู้ที่ให้ความรู้ ซึ่งสมัยนี้ผู้ที่ให้ความรู้ พระพุทธเจ้าก็ไม่อยู่แล้ว แต่พวกเรายังคิดถึงพระพุทธเจ้ากันอยู่ เราก็เลยสร้างพระพุทธรูปกันขึ้นมา เพื่อที่เป็นเหมือนกับเป็นรูปเหมือนของพระพุทธเจ้า เวลาที่เราเจอพระพุทธรูปเราก็แสดงความเคารพต่อพระพุทธเจ้า
แต่การแสดงความเคารพด้วยการกราบไหว้บูชาด้วยอามิสบูชา เช่น ด้วยธูปเทียน ดอกไม้ เครื่องสักการะต่างๆ อันนี้มันเป็นการบูชาที่ไม่ได้รับประโยชน์ที่แท้จริงจากการถือสรณะ ต้องได้รับประโยชน์จากการศึกษาและปฏิบัติตามคำสั่งคำสอนของพระพุทธเจ้า เรียกว่าปฏิบัติบูชา ดังนั้น เวลาเราไปสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คำว่าศักดิ์สิทธิ์ก็คือว่ามนุษย์เราคิดว่าเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ไม่ว่าจะเป็นเทวรูป เป็นพรหมรูป หรือมนุษย์ เราถือว่าเราเป็นผู้ต่ำกว่า เราก็เลยให้ความเคารพ
ทีนี้ความเชื่อมันก็ลามปามไปมากกว่านั้น ไปเชื่อว่าสิ่งศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้สามารถตอบสนองความอยากกิเลสตัณหาของเรา อยากได้อะไรก็ไปแสดงความเคารพ..แล้วก็ขอ นี่มันที่มาของเวลาที่เราไปวัดกัน เรามักจะไปหาพระพุทธรูปกัน แทนที่จะไปหาพระธรรมหรือพระสงฆ์ ผู้ที่จะสอนธรรมะ เราก็ไปหาพระพุทธรูป แล้วเราก็ขออะไรต่างๆ ที่เราอยากได้จากพระพุทธรูป
คนไม่มีลูกก็ไปขอลูก คนตกงานก็ไปของาน คนหาเสียงเลือกตั้งก็ไปขอเสียงจากพระพุทธรูป คนที่ยังไม่ได้เป็นศาสตราจารย์ บางทีก็ต้องไปขอจากพระพุทธรูป ถ้าอยากจะเป็นศาสตราจารย์ นี่แหละคือที่มาของความหลง ความเชื่อที่ไม่ได้มาจากพระพุทธเจ้าเลย พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เชื่อเรื่องกฎแห่งกรรม เรื่องความสุขความเจริญหรือความทุกข์ความเสื่อมนี้เกิดจากการกระทำทางกาย ทางวาจา และทางใจ และความสุขความเจริญนี้ก็ไม่ได้อยู่ที่ความสุขความเจริญในลาภยศสรรเสริญสุข ความสุขความเจริญอันนี้อยู่ที่จิตใจ ความสุขใจความเจริญของจิตใจที่มีอยู่หลายระดับด้วยกัน เช่น ระดับมนุษย์ ระดับเทพ ระดับพรหม ระดับพระอริยบุคคล นี่แหละคือความสุขความเจริญที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้ชาวพุทธเราไปกัน ให้พวกเราปรารถนาความสุขความเจริญทางจิตใจ เพราะเป็นความสุขความเจริญที่แท้จริงที่จะอยู่กับใจไปตลอด
ส่วนความสุขความเจริญทางโลกที่ได้จากลาภยศสรรเสริญ ได้จากรูปเสียงกลิ่นรสนี้ พระองค์ทรงเห็นด้วยปัญญาว่ามันไม่ได้เป็นความสุขแท้ มันเป็นความสุขที่อำพรางความทุกข์เอาไว้ ผู้ใดที่เข้าหาความสุขจากลาภยศสรรเสริญ จากรูปเสียงกลิ่นรสจะต้องเจอความทุกข์ เพราะว่าลาภยศสรรเสริญสุขนี้มันไม่เที่ยง มีเกิดก็มีดับ มีเจริญก็มีเสื่อม ไม่ว่าใครก็ตาม ได้ลาภยศสรรเสริญมามากน้อยเพียงไรก็ตาม ไม่ช้าก็เร็วก็จะต้องสูญเสียลาภยศสรรเสริญสุขไปหมด ไม่สูญเสียตอนที่มีชีวิตอยู่ ก็สูญเสียตอนที่ตายไปแล้ว
นี่คือเรื่องของสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอนให้เราเชื่อ เวลาเราไปวัดนี้ควรจะคิดว่าเรากำลังไปโรงเรียน แต่เราไม่ค่อยคิดกันอย่างนั้น เวลาเราไปวัด..เราคิดว่าเราไปหาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เราไปขอสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้คุ้มครองเรา เราต้องการอะไรเราก็ขอจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นี่คือความเชื่อของชาวพุทธในประเทศไทย เพราะว่าชาวพุทธเรานี้ขาดการศึกษาพระธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า
มีคนน้อยมากที่ศึกษาพระธรรมคำสอน ส่วนใหญ่จะปฏิบัติตามความเชื่อกันมา ปู่ย่าตายายเชื่อแบบไหน ก็ทำตามที่ปู่ย่าตายาย แล้วก็มีความเชื่อแปลกๆ ใหม่ๆ มาผสมผสาน มาทำให้เกิดความหลงมากขึ้นไปตามลำดับ นี่แหละคือเรื่องของการเข้าถึงพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ของชาวพุทธเราในประเทศไทยนี้ เข้าไปเพียงแต่ไปที่เปลือกของพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ไม่ได้ไปที่เนื้อ ไปกราบพระพุทธรูป ฟังเทศน์ฟังธรรมก็ฟังแบบขอไปที
บางทีเขามีการแสดงธรรม ตั้งนะโมเสร็จก็คุยกันบ้าง หลับกันบ้าง ฟังแบบไม่รู้เรื่อง แล้วพอพระบอก..เอวัง ก็ตื่นขึ้นมา..สาธุรับพร ได้ความรู้แล้วได้ธรรมะแล้ว นี่คือเรื่องของชาวพุทธในประเทศไทย ต่างกับชาวพุทธที่อยู่ต่างประเทศ ชาวพุทธที่อยู่ต่างประเทศนี้เขาโชคดี เขาไม่มีความเชื่อแบบของเราที่เชื่อกันมาเป็นเวลาอันยาวนาน เราก็เลยไม่ได้เข้าถึงตัวความรู้ของพระพุทธเจ้า คำสอนของพระพุทธเจ้า ชาวต่างประเทศนี้เขาพบกับหนังสือธรรมะต่างๆ เขารู้จักพระพุทธศาสนาจากการอ่านหนังสือธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า เขาก็เลยเข้าถึงตัวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์เลย ตัวพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็คือคำสอนนี่เอง
พระพุทธเจ้าก็ทรงสอนธรรมะ ธรรมะคำสอนก็เป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ท่านก็สอนธรรมะ สอนให้เราเชื่อในกฎแห่งกรรม สอนให้เรามาพัฒนาจิตใจ ไม่ได้สอนให้เรามาพัฒนาทางลาภยศสรรเสริญ ความสุขทางตาหูจมูกลิ้นกายกัน ชาวต่างประเทศจึงเข้าถึงการปฏิบัติ เขาจะรู้คำว่า ทาน ศีล ภาวนา ว่าเป็นอย่างไร แล้วเขาก็ปฏิบัติกัน ทำทาน รักษาศีล ๕ รักษาศีล ๘ ฝึกนั่งสมาธิ ฟังเทศน์ฟังธรรมเพื่อให้เกิดปัญญา ที่จะได้เอามาใช้ในการพัฒนาจิตใจให้สูงขึ้นไปตามลำดับ จากชั้นมนุษย์ไปสู่ชั้นเทพ จากชั้นเทพไปสู่ชั้นพรหม จากชั้นพรหมไปสู่ชั้นพระอริยเจ้า ไปถึงขั้นพระนิพพาน นี่แหละคือทางเดินของจิตใจ การพัฒนาของจิตใจ พัฒนาด้วยการปฏิบัติ ทาน ศีล ภาวนา เพราะว่าแต่ละขั้นของการพัฒนานี้จะเพิ่มความสุขมากขึ้น ความทุกข์จะน้อยลง
สนทนาธรรมบนเขา
วันที่ ๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๖๒
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
บันทึก
2
2
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย