12 ม.ค. 2022 เวลา 13:03 • การศึกษา

เป้าหมายที่แท้จริงของชีวิต

มนุษย์เรานั้น “อยู่เพื่อกิน” หรือ “กินเพื่ออยู่”
เคยมีคนถามว่า...
มนุษย์เรานั้น “อยู่เพื่อกิน” หรือ “กินเพื่ออยู่”
คำตอบของคำถามนี้คืออะไร?...
ถ้ามนุษย์เราอยู่เพื่อกิน มนุษย์เราจะแตกต่างอะไรจากสัตว์กันเล่า! ถ้าเราลองสังเกตดูชีวิตของหมู เราก็จะเห็นว่าเมื่อมันตื่นมามันก็กิน กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็ตื่นขึ้น มากิน ชีวิตของมันก็มีอยู่แค่นี้เอง ดังนั้นเราจึงสามารถชี้ชัดได้ว่า มนุษย์เรานั้นไม่ใช่อยู่เพื่อกิน แต่กินเพื่ออยู่ และที่สำคัญก็คือต้องอยู่อย่างมีเป้าหมาย
เมื่อพูดถึงเป้าหมายเราก็อาจคิดถึงว่า ใช่! ฉันมีเป้าหมายในชีวิตหลายอย่างและฉันก็อยากให้บรรลุเป้าหมายนั้น คือฉันอยากเรียนสูง ๆ ฉันอยากได้ทำงานดี ๆ ฯลฯ แต่เป้าหมายต่าง ๆ เหล่านี้เป็นเป้าหมายที่แท้จริงของชีวิตมนุษย์เราหรือ?
แท้จริงแล้วมนุษย์ทุกยุคทุกสมัยต่างก็อยากทราบถึงความหมายหรือเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่ในโลกนี้ ซึ่งก็มีคำตอบมากมายหลายอย่าง แต่จนแล้วจนเล่าทุกวันนี้มนุษย์เราก็ยังคงแสวงหาคำตอบอยู่ นั่นแสดงให้เห็นว่าท่ามกลางประวัติศาสตร์ที่ยาว นานนั้นมนุษย์เรายังไม่พบกับคำตอบที่ชัดเจนหรือคำตอบที่ถูกต้องแน่นอนเลย... ถ้าเช่นนั้นอะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ของมนุษย์เล่า?...
ถ้าเราลองสังเกตดูสังคมของมนุษย์ในยุคนี้ เราก็จะพบว่ามีแนวความคิดหนึ่งที่เกี่ยวกับเรื่องความหมายของการมีชีวิตอยู่ ซึ่งแนวความคิดนี้ก็คือมนุษย์เราเป็นเพียงก้อนเนื้อหรือเซลล์ก้อนหนึ่งที่เกิดมาในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ เท่านั้น ซึ่งถ้าเซลล์ตายเมื่อไหร่ ชีวิตก็จบสิ้นเมื่อนั้น
ดังนั้นถ้าเราจะถามถึงเป้าหมายของการมีชีวิตอยู่จากคนที่มีแนวความคิดเช่นนี้ว่า “มนุษย์อยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร?”... คำตอบของพวกเขาก็คือ “มนุษย์เป็นเพียงก้อนเนื้อชิ้นหนึ่งที่เกิดมาในโลก ไม่นานก็ต้องจากโลกนี้ไป ซึ่งตายแล้วจะไปไหน หรือจะไปเกิดใหม่ หรือตายแล้วตายเลยก็ไม่ต้องไปสนใจอะไรมากนัก
ดังนั้นให้เราพยายามแสวงหาความสนุกสนานความสำราญให้กับชีวิตให้มากที่สุดทั้งทางด้านร่างกาย และจิตใจก่อนที่จะจากโลกนี้ไป” ซึ่งเวลานี้แนวความคิดนี้ก็กำลังขยายออกไปเรื่อย ๆ และมีอิทธิพลต่อทุกสังคมในโลก อย่างที่เราเรียกกันว่าโลกแห่งการบริโภค หรือวัตถุนิยม
ซึ่งเราจะเห็นว่าคนที่ดำเนินชีวิตตามแนวความคิดนี้ เขาคิดว่าเมื่อเกิดมาในโลกก็ต้องดิ้นรน ตื่นมาก็ต้องทำงานต้องทำมาหากิน... แล้วก็แต่งงาน...มีลูก...เลี้ยงลูก...มีหลาน...เลี้ยงหลาน สุดท้ายก็จากโลกนี้ไป
บางคนก็พยายามดิ้นรนหาเงินให้ได้มาก ๆ เพื่อจะนำมาแลกกับสิ่งที่เขาต้องการหรือเพื่อที่จะได้มาซึ่งความสนุกสนานในชีวิต พวกเขามีความคิดแค่เพียงว่า ฉันไม่ทำให้ใครเดือดร้อน หรือฉันไม่ได้ทำผิดข้อกฎหมายสังคมอย่างรุนแรงจนถึงขั้นเกิดเป็นคดีก็ถือว่าใช้ได้แล้ว เช่นโกหกนิดหน่อยในการทำการค้าหรือ เล่นการพนัน, ล่วงประเวณีอย่างถูกกฎหมายก็ไม่เป็นไรเพราะใคร ๆ เขาก็ทำกัน...
นอกจากนั้นบางคนก็ไม่เพียงแต่จะหาเงินเพื่อมาตอบสนองต่อความต้องการทางร่างกายเท่านั้น พวกเขายังต้องการการยอมรับจากคนอื่น ๆอีกด้วย ดังนั้นพวกเขาจึงพยายามทำตัวให้เป็นที่ยอมรับของคนอื่นบางคนก็พยายามทำตัวให้มีฐานะ บ้างก็พยายามแสวงหาอำนาจหรือตำแหน่งสูง ๆ เพื่อให้คนอื่นยกย่อง ซึ่งบางคนก็พยายามทุกวิถีทางที่จะได้สิ่งเหล่านี้ โดยไม่คำนึงถึงความถูกต้อง...
มีประวัติศาสตร์ที่มาของตัวอักษรจีนที่ประชดประชันเกี่ยวกับแนวความคิดข้างต้นนี้ เพราะเหตุที่นักปรัชญาจีนสังเกตเห็นว่า คนจีนรวมทั้งผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลกต่างมีความเหมือนกันในเรื่องการอยากมีตำแหน่งสูง ๆ อยากมีอำนาจมียศฐาบรรดาศักดิ์ และชอบความร่ำรวยและอยากรวยเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ
ดังนั้นคนจีนในสมัยก่อนมักจะอวยพรกันว่า
升官发财 (เซิง กวน ฟา ฉาย)
ซึ่งคำว่า 升 (เซิง) แปลว่า ขึ้น
คำว่า官(กวน) แปลว่า ตำแหน่ง
รวมกันแปลว่า “ขอให้ตำแหน่งสูงขึ้น”
ส่วนคำว่า发 (ฟา) แปลว่า ขยาย
คำว่า 财(ฉาย) แปลว่า ทรัพย์สมบัติ
รวมกันแปลว่า “ขอให้ร่ำรวยขึ้น”
ดังนั้นนักปรัชญาจีนเห็นว่าคนเรานั้นชอบทั้งกวน ทั้งฉาย เขาจึงได้เอาเสียงและตัวอักษรจีนของทั้งสองคำนี้มาประดิษฐ์เป็นตัวอักษรอีกคำหนึ่งก็คือ
คำว่า 棺材 (กวนฉาย) ที่แปลว่า “โลงศพ”
ซึ่งทำให้เราได้ข้อคิดอย่างหนึ่งว่าสิ่งที่มนุษย์เราแสวงหามาทั้งชีวิตนั้น สุดท้ายก็จบลงที่ “ความตาย” นั่นเอง
แต่เราจะเห็นว่าบางคนก็มีแนวความคิดในมุมมองที่แตกต่างออกไป คนเหล่านี้จะใช้ชีวิตอีกแบบหนึ่งโดยไม่ค่อยได้สนใจในวัตถุ หรืออยู่แบบไม่ต้องการอะไรมากมายแต่จะแสวงหาความสงบสุขทางจิตใจเพียงอย่างเดียว เพื่อหลีกหนีจากความทุกข์...หรือมีบางคนก็อาจจะอยู่แบบไม่ต้องคิดอะไรมากพวกเขาคิดว่าเมื่อเกิดมาก็ใช้ชีวิตอยู่ไปเรื่อย ๆ หากินไปวัน ๆ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ ใช้ชีวิตให้มีความสุขแต่ละวันก็พอแล้ว...
ผู้อ่านที่รัก...ไม่ว่าท่านจะดำเนินชีวิตแบบใด หรือมีแนวความคิดแบบไหน แต่ท่านเคยคิดไหมว่า มนุษย์เราอยู่ในโลกนี้มีความหมายอะไร?...
เริ่มตั้งแต่ลืมตาออกมาดูโลก แล้วใช้ชีวิตในโลกไม่กี่สิบปี ในที่สุดก็ต้องอำลาจากโลกนี้ไป ชีวิตของมนุษย์เรามีเพียงแค่นี้หรือ?... และชีวิตสิ้นสุดลงแค่ความตายจริงหรือ? แล้วมนุษย์เราอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรกัน?
ดังนั้นถ้าเราอยากจะค้นหาคำตอบที่ว่า อะไรคือเป้าหมายที่แท้จริงของการมีชีวิตอยู่ในโลกเราก็ต้องกลับไปดูจุดเริ่มต้นหรือที่มาของสรรพสิ่งในจักรวาลนี้รวมทั้งมนุษย์เรานั้นไม่ได้เกิดขึ้นเอง แต่มีพระเจ้าเป็นผู้สร้างซึ่งพระองค์ได้ทรงสร้างทุกสิ่งที่ขึ้นมาก็เพื่อมนุษย์
และเป้าหมายของพระองค์ที่ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมาก็เพื่อให้มนุษย์ใช้ชีวิตตามวัตถุประสงค์ของพระองค์ นั่นก็คือให้เขามีสัมพันธภาพกับพระองค์เหมือนพ่อกับลูก ซึ่งพระองค์ได้ทรงรักมนุษย์อย่างมากมาย เห็นได้จากการที่พระองค์ทรงสร้างโลกนี้อย่างงดงามและมีสิ่งสารพัดอย่างบริบูรณ์
และพระองค์ก็ปรารถนาที่จะให้มนุษย์เพลิดเพลินและมีความสุขกับการใช้ชีวิตอยู่ในโลกนี้นอกจากนั้นพระองค์ยังทรงประสงค์ให้มนุษย์เราทุกคนมีชีวิตที่ดีงามตามพระลักษณะต่าง ๆ ของพระองค์ นั่นจึงเป็นเหตุที่ทำให้มนุษย์ทุกคนมีศีลธรรมที่ดีงาม แต่เพราะพระเจ้าทรงให้มนุษย์มีจิตสำนึกผิดชอบชั่วดีทั้งยังให้มีอิสระในการตัดสินใจได้เอง
ดังนั้นมนุษย์จึงสามารถตัดสินใจเองว่าจะทำดีหรือทำชั่ว แต่พระองค์ก็ปรารถนาที่จะให้มนุษย์เชื่อฟังพระองค์ ไม่ตัดสินใจทำสิ่งที่ผิด ๆ... และในเมื่อพระองค์ทรงสร้างมนุษย์ขึ้นมา มนุษย์จึงต้องให้พระองค์เป็นผู้นำทางชีวิตของเขา เหมือนกับแกะที่ต้องมีผู้เลี้ยงคอยนำทางและดูอยู่เสมอ ซึ่งถ้าเป็นเช่นนี้แล้ว มนุษย์เราก็จะอยู่ในโลกนี้อย่างมีความสุขนี่เป็นเป้าหมายที่พระเจ้าอยากให้เราเป็นเช่นนั้น...
แต่แล้วมนุษย์เรากลับปฏิเสธพระเจ้าผู้ทรงสร้างเขาและไม่ยอมให้พระองค์เป็นผู้นำทางชีวิต มนุษย์ตัดสินใจเลือกเดินทางของตัวเอง ดังนั้นเราจึงเป็นเหมือนกับแกะที่หลงทางที่ต่างคนต่างก็ไปตามทางของตนเอง ซึ่งพระคริสตธรรมคัมภีร์ได้บันทึกไว้ว่า... “มีทางหนึ่งซึ่งคนเราคิดว่าถูก แต่มันสิ้นสุดลงที่ทางของความมรณา” (สุภาษิต 16:25)
เพราะถ้าหากมนุษย์เราไม่ยอมให้พระเจ้าเป็นผู้นำทางแล้ว เขาก็จะไม่สามารถเดินในทางที่ถูกต้องเลย และเมื่อมนุษย์เลือกเดินในทางที่ผิด จึงได้ใช้สติปัญญาของตนเองคิดเป้าหมายของชีวิตขึ้นมา ซึ่งเป้าหมายเหล่านั้นไม่ใช่เป้าหมายที่แท้จริงเลย และไม่เพียงแต่มนุษย์เลือกเดินในทางที่ผิดเท่านั้น
แต่มนุษย์เรายังตัดสินใจทำในหลายสิ่งที่ผิดบาปอีกด้วย ซึ่งความบาปนี่แหละที่ทำให้มนุษย์เราต้องพบกับความทุกข์และปัญหา ที่สำคัญก็คือความบาปมันทำให้มนุษย์เราต้องพบกับความตาย...
หลายคนคิดว่าเมื่อคนเราจากโลกนไี้ ปแล้ว ชีวิตของเขาก็จบลงแค่นั้น แต่จริง ๆ แล้วความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิต เพราะว่าหลังจากนั้นจิตวิญญาณของเขายังจะต้องไปอยู่ต่อหน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้าเพื่อรับการพิพากษาโทษตามการกระทำของแต่ละคนอีกด้วย บางคนอาจจะมีคำถามว่า “พระเจ้ามีสิทธิ์อะไรมากพิพากษามนุษย์ด้วยล่ะ?”
คำตอบก็คือเพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างมนุษย์ขึ้นมา ดังนั้นพระองค์จึงมีสิทธิ์ที่จะพิพากษามนุษย์อย่างแน่นอน แต่แท้จริงแล้วพระองค์ไม่อยากทำเช่นนั้นเลย เพราะพระองค์ไม่อยากให้มนุษย์ที่พระองค์ทรงรักนั้นต้องรับการลงโทษในนรก เหมือนกับพ่อแม่ที่ไม่อยากให้ลูกต้องเจ็บปวด แต่เพราะพระองค์ทรงกำหนดไว้ว่า “ค่าจ้างของความบาปคือความตาย” (โรม 6:23)
ดังนั้นพระองค์จะทรงถือว่าเป็นความบาปที่มนุษย์ทำนั้นจะไม่มีโทษก็ไม่ได้ และพระองค์ทรงทราบว่า ถ้าหากพระองค์ไม่ทรงช่วยมนุษย์แล้วมนุษย์ก็จะไม่มีทางที่จะรอดพ้นจากการพิพากษาได้เลย
ดังนั้นพระองค์จึงทรงให้พระเยซูคริสต์ซึ่งเป็นพระบุตรองค์เดียวของพระองค์มารับสภาพเป็นมนุษย์ในโลกเมื่อประมาณ 2,000 ปีที่แล้วพระเยซูคริสต์ทรงยอมถูกตรึงจนสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนก็เพื่อเป็นการรับโทษบาปแทนมนุษย์ พระองค์จึงทรงเป็นเหมือนแพะรับบาปของมวลมนุษยชาติ
ดังนั้นหากผู้ใดที่สำนึกว่าตนเป็นคนบาปและทูลขอการทรงช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ พระองค์ก็จะเป็นผู้รับโทษบาปแทนเขาทันทีและเมื่อวันหนึ่งที่เขาต้องจากโลกนี้ไป เขาก็จะไม่ต้องพบกับการพิพากษาโทษจากพระเจ้าอีกต่อไป แต่จะได้อยู่บนสวรรค์กับพระผู้สร้างของเขาเป็นนิจนิรันดร์...
นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน มีผู้คนนับหลายพันล้านคนทั่วโลกต่างก็ได้หันกลับมาหาพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ ซึ่งถ้าหากเราจะถามหาพระเจ้าโดยทางพระเยซูคริสต์ว่า “คุณอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร?”
ก็จะได้รับคำตอบว่า “ฉันอยู่ในโลกนี้เพื่อรู้จักและรับความรักของพระเจ้า และใช้ชีวิตตามวัตถุประสงค์ของพระองค์ ฉันรู้ว่าพระองค์ทรงนำและคอยดูแลชีวิตของฉันตลอดเวลา และพระองค์ยังได้ทรงประทานชีวิตใหม่ให้แก่ฉัน เพื่อฉันจะมีกำลังต่อสู้กับความบาปในขณะที่ฉันมีชีวิตอยู่
และวันหนึ่งเมื่อฉันต้องจากโลกนี้ไป ฉันก็มั่นใจว่าฉันจะได้อยู่บนสวรรค์กับพระเจ้าอย่างแน่นอน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของฉัน”
ผู้อ่านที่รัก... ไม่ว่าท่านจะอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไรก็ตามอยากให้ท่านได้ทราบว่า พระเจ้าทรงรักท่าน และพระองค์ได้ทรงสร้างท่านขึ้นมาอย่างมีเป้าหมาย พระองค์ไม่ปรารถนาที่จะให้ท่านเพียงแค่เกิดมาอยู่ในโลกนี้เพียงชั่วคราว แล้วก็จากไป และในที่สุดก็จะต้องทุกข์ทรมานในนรกเพราะความผิดบาปชั่วนิจนิรันดร์
พระองค์ทรงทราบว่าท่านไม่มีกำลังที่จะต่อสู้กับความผิดบาป จึงได้ทรงให้พระเยซูคริสต์มาตายบนไม้กางเขนเพื่อรับโทษความผิดบาปแทนท่านเพื่อท่านจะรอดพ้นจากการลงโทษ แต่จะได้อยู่ในสวรรค์ซึ่งเป็นที่อยู่อันถาวรและดีเลิศ
บัดนี้..ท่านมีโอกาสที่จะรอดจากบาปแล้ว..กลับมาเถิดครับ..กลับมาหาพระเจ้า ผู้ทรงสร้างท่าน ก่อนที่จะสายเกินไป..ถ้าท่านปรารถนาที่จะได้รับการช่วยเหลือจากพระเยซูคริสต์ ก็ขอให้ท่านอธิษฐานทูลต่อพระองค์ดังนี้
“ข้าแต่พระเจ้า..ข้าพระองค์ยอมรับว่าข้าพระองค์ได้หลงไปจากทางของพระองค์ และได้ทำความผิดบาปมากมาย ขอพระองค์ทรงโปรดเมตตายกโทษความผิดบาปให้แก่ข้าพระองค์ด้วยเถิด ขอขอบ พระคุณที่พระเยซูคริสต์ทรงรับโทษบาปแทนข้าพระองค์แล้ว ข้าพระองค์ขอมอบชีวิตให้พระองค์เป็นผู้นำทางตลอดไปขออธิษฐานในพระนามของพระเยซูคริสต์เจ้า อาเมน”...
ถ้าท่านได้อธิษฐานตามข้างต้นนี้ด้วยความจริงใจแล้ว ขอให้ท่านมั่นใจเถิดว่า พระเจ้าทรงอภัยโทษความบาปให้ท่านแล้วและพระองค์จะทรงดูแลชีวิตของท่านตลอดไป...
ผู้เขียน : อาจารย์ นิกร สิทธิจริยาภรณ์
สารบัญ Blockdit christianthai
ซีรีส์ หนังสือเสียงคริสเตียน
 
ซีรีส์ แบ่งปันข้อพระคัมภีร์โดย ChatGPT
ซีรีส์ ใบปลิวคริสเตียน

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา