13 ม.ค. 2022 เวลา 07:41 • ปรัชญา
3. พระแม่พระโพสพ .. เราก็เหมือนต้น ..สมมุติว่าเป็นต้นมะม่วงต้นหนึ่ง เราก็เพียงแค่เป็นใบ ..ใบมะม่วง
เมื่อใดระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้นั้นก็จะค่อยๆคลายกรรมออกไปๆ เพราะเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้านั่นเอง ถ้าเราไปเดินตามรอยอื่นเราก็มีแต่กรรม แต่โดยมากไม่พิจารณาว่า เดินไปหาอะไรกัน ทำไมไม่เดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ปลดเปลื้องเรื่องราวของกรรม ตัวกระทำก็หลุดลอยไป ไปเดินที่รอยอื่นกลับมีแต่รอยอารมณ์กรรม ตัวกระทำเกลื่อนกลาด ไปด้วยความทุกข์ทั้งนั้น ต้องหมั่นพิจารณาบ้าง การจะบูชาอะไรสักอย่าง หรือ จะระลึกยึดอะไรสักอย่างหนึ่ง ต้องหมั่นพิจารณาว่า สิ่งนั้นเค้าพาเราไปไหน
ที่อยู่ปัจจุบันนี้ แม้แต่ตำราต่างๆ ท่องมาต่างๆ ตำราต่างๆ ที่เค้าให้ท่อง เค้าพาไปไหน
..แล้วการที่ตั้ง นะโม อะระหัง สัม มา..ผู้นั้น …คาถาแบบนี้ ..เค้าพาเราไปไหน
…ก็ต้องหมั่นพิจารณาว่า เค้าพาเราไปหากรรม หรือ ว่า ปลดปล่อยกรรม
..ทุกคนไม่รู้ ..รู้แต่ว่า..ฉันอยากได้ๆ เพราะอารมณ์กรรม..มันเหนือ..เหนือกว่าธรรม
..เหนือกว่าเรื่องราว ที่จะหนีกรรม ..
..อารมณ์กรรมก็ส่งมาให้จิต จิตก็ต้องเอากรรม ไปสร้างแต่ความยึด ความโลภ ความโกรธ ความหลงเกิดขึ้น
คราวนี้เราเกิดมา ..เราเกิดมาเนี่ย มันต้องเป็นอย่างนี้ อย่างนี้เกิดขึ้น แต่เรามีสติสัมปชัญญะเกิดขึ้น ไม่เคยพิจารณาเรื่องราวต่างๆ ได้แต่รู้จักใช้เรื่องราวชีวิตไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง กินกับนอนเท่านั้น แค่กินกับนอนก็ยังไม่รู้จัก ถึงเวลาก็กิน ถึงเวลาก็นอนได้แค่นั้นเอง เราจะนึกถึงว่า เอ๊ะ..เรากินเนี่ย ไปไหน? ไปแก่ไปเฒ่า แล้วไปตาย? นอนก็เหมือนกัน จะนอนที่นอนดี ที่นอนไม่ดีก็แล้วแต่ ที่อยู่ดีหรือที่อยู่ไม่ดีก็แล้วแต่ เค้าพาเราไปไหน เค้าพาเราไปแก่ไปเจ็บไปตายเหมือนกัน
แล้วตรงไหนล่ะ ที่พาเราไม่แก่ไม่เจ็บไม่ตาย แล้วใครพาไป เราก็สำรวจเหมือนกัน เราก็มาตรวจสอบเรื่องราวเหล่านี้ อ้อ..มันมาจากอารมณ์ อารมณ์ไปหลงกิน หลงนอน อยู่แค่นั้น แล้วเราก็ไม่มีปัญญาพิจารณา เรื่องราวเหล่านี้ ก็ปล่อยมันไปวันหนึ่งคืนหนึ่ง กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน แล้วก็ไม่รู้ว่าตัวเอง แก่เฒ่าชราไปอะไรอย่างนี้ หรือมีการเจ็บป่วยอย่างไร เจ็บป่วยก็รักษากันไปนะ ยูกยาอะไรก็รักษากันไป ทำไมไม่ถามตัวเอง มันเจ็บป่วยเพราะอะไร มันเกิดมาจากตรงไหน ทำไมมันเจ็บป่วย ก็เพราะเราไม่มีบุญ ก็ตอบแบบ..กำปั้นทุบดิน..เพราะเรามีกรรม เราไปสร้างกรรมไว้ มันถึงเจ็บป่วย คนอื่นทำไม ไม่เจ็บป่วยเหมือนเรา ทำไมเราถึง..เจ็บป่วย เอ้า..เราก็รักษาแล้ว ..รักษาแล้ว เอากายไปไหน เอากายไปสร้างกรรม ไปสร้างทุกข์อีก แล้วมันก็มาป่วยอย่างนี้อีก
ถ้าผู้ที่เค้ารู้..พอหายเจ็บป่วย มีกำลังวังชา ก็มาสร้างบุญสร้างบารมี ปิดกั้นอารมณ์กรรม ตัวกระทำนั้นให้มันน้อยลงไปๆ ชาตินี้ปิดกั้นได้แค่นี้ ชาติต่อไปก็ปิดกั้นมากเข้าๆ เรียกว่า ..วิ่งหนีกรรม ว่างั้น จะเดินหนีไม่ไหวแล้ว วิ่งดีกว่า การวิ่งหนีเนี่ย ต้องรู้จัการวิ่งที่ปฏิบัติธรรมเนี่ย ที่รอยทั้งสี่ขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าเนี่ย..ใครทำ..เท่ากับวิ่งหนีกรรมนะ ไม่ใช่เดินหนีกรรม
แต่บางคนเอารอยทั้งสี่ไปเหมือนกัน..เอาไปชลอ..กรรม นั่งก็ดี ยืนก็ดีน เดินก็ดี นอนก็ดีอะไรต่างๆเนี่ย ไปทำเหมือนกัน คิดเรื่องนั้นเรื่องนี้ คิดถึงบ้าน คิดถึงที่อยู่ คิดถึง …สิ่งที่มีชีวิต..ไม่มีชีวิตอะไรก็แล้วแต่ อยู่จมอยู่ตรงนั้น เค้าเรียกว่าปฏิบัติ..กวักมือหากรรม ที่จะปลดปล่อยเรื่องราวของกรรมบ้างไม่เอา
คราวนี้การประพฤติปฏิบัติธรรม เราก็ต้องปลดปล่อยให้ได้ ตอนนี้เราจะเดิน จะวิ่งหนีกรรม ก็ปฏิบัติธรรมไป ก็ไปกับพระ ท่านพาเราไป วิ่งไปกับพระ ก็..พุทโธ..พุทโธ ..ไป พออะไรดึงเรา พอเราท่องพุทโธ..อารมณ์มันดึง ไม่รู้ใครดึงไม่รู้..เจ้าเวรนายกรรมนั้นแหละ ดึงเรา..คิดถึงเรื่องโน้นเรื่องนี้ คิดถึงบ้านคิดถึงช่อง สามีภรรยา ลูกเต้าอะไรก็แล้วแต่ นั้นแหละ..เค้าดึงเราแหละ..เราก็ไปไม่ได้แล้ว อยู่ตรงนั้นแหละ ไอ้ที่วิ่งอยู่ ..ก็ต้องหยุด แล้วก็ถอยหลังอีกต่างหาก เดินถอยหลังๆ ตก ..ตกเส้นชัยเลยนะ หมดเวลา..ถึงเวลาหมดสัจจะ ก็ลาสัจจะ ปรากฏว่าเค้าดึงเสียตก ..ตกไปอยู่ที่เก่า มันก็ไปอยู่ที่เดิม
คราวนี้รู้ตัวแล้ว เรากำลังวิ่งอยู่ พระท่าน..จับมือเราวิ่ง เราก็วิ่งตามให้ได้ พอเค้าจะดึงเราก็สกัดกั้น โดยเราพูดออกมาเลย พูดออกมาเลย ให้หูเราได้ยิน เราไม่เอา ไม่ให้เค้ามา หรือเราจะต่อสู้กับเค้า เราก็ต้องให้จิตแข็งๆ กายนิ่งๆ อย่างนี้ ต่อสู้กับเค้าเพื่อสลัด สิ่งที่เค้าดึงเราให้ออกไป เอาแค่ตอนปฏิบัติธรรมได้มั้ย พอออกจากที่ตรงนั้น มันยังไปไหนไม่ได้ ก็ต้องยอมเค้าบ้าง ยอมให้เค้าคลำ ให้เค้าลูบคลำ ยอมไปเรื่อยๆ เค้าจะให้ทำอย่างไร เพ้อเจ้ออย่างไร ก็ตามใจ..ก็ยอม ..เพราะเรายังไปไหนไม่ได้ ถึงเวลาวิ่ง เราก็ต้องวิ่ง วิ่งตามให้ได้ เพราะพระท่านจูงมือ เราแล้วนี่ ..เราต้องตามพระท่านไป ไปสลัดเสียเนี่ย..ไปสลัดพระออก ฉันยังไม่ไป ฉันยังห่วงบ้าน ห่วงสามีภรรยา ห่วงพ่อแม่ ห่วงญาติพี่น้องอะไรต่างๆ มันก็กลับไปที่เก่า
.. ให้มันจบตรงนั่นก่อน จะกลับไปที่เก่า ไม่มีใครเค้าว่า เราก็ได้แล้ว ใส่กระเป๋า ใส่กระป๋อง ใส่ชะลอมไว้ ที่เราได้เนี่ย แล้วเราก็มาต่อใหม่อีก เอาสิ่งเหล่านั้น..ค่อยๆต่อไปๆ เดี๋ยว..มันก็ยาวไปถึง ..ถึงห้องพระนิพพานเอง ก็นี่..ไม่เอา ไปเอาตะพานมาต่อไปๆ ..ดึงสะพานทิ้งเสียเนี่ย จะข้ามคลอง.. ก็ไม่เอา ถนนก็ไม่เอา..ตัดถนนทิ้งเสีย เลยก็ต้องเข้าป่าเข้ารกไป เลยต้องไปสร้างเวรสร้างกรรมกันต่อไปอีก
เนี่ย..ให้มันอยู่..เกิดมากี่ครั้งๆ ขอให้ไปอยู่..อย่าเข้าป่า ให้ไปอยู่ในที่โล่ง เตียนๆให้สบายๆ ถ้าอยู่กับป่า มันไม่มีอะไรเลย มันก็อยู่กับสิ่งแวดล้อม ที่มองอะไรไม่เห็นเลย จะไปบุกป่า ฝ่าดง จะไปขึ้น สวรรค์ชั่นวิมาน ก็ไปไม่ได้ มันติดอยู่อย่างนั้น
การกระทำเนี่ยนะ เปรียบเสมือนเกิดขึ้น เราพูดแล้วเดินไป เราจะรู้จักความลำบาก สมมุติว่าเราจะขึ้นภูเขา เรารู้แล้ว เราขึ้นภูเขา พูดคำเดียว เราก็ถึงยอดภูเขาแล้ว คราวนี้..จิตผู้ที่ปฏิบัติเนี่ย จะเดินขึ้นภูเขาเนี่ย ต้องจิตนิ่ง ..แล้วจิตนิ่ง เค้าหาวิธีเดิน ..เดินด้วยความอดทน ที่จะแหวกป่า หรือ แหวกสถานที่..ที่จะขึ้นไปให้ถึงยอดเขา ความลำบากอย่างไร จิตเป็นปัจจัตตัง..ที่จะรู้จัก
แต่โดยมาก ก็จะคิดกัน ว่ายอดภูเขา ต้องเป็นอย่างโน้นอย่างนี้อะไรต่างๆ อุปโลกน์ขึ้นมา ยังไม่เห็นเลย ว่าข้างบนมีอะไรบ้าง ความสำคัญของเรา เราต้องขึ้นยอดภูเขามั้ย ว่ายอดภูเขาคือ พระนิพพาน หรือว่า เป็นเทพเป็นพรหม เราจะขึ้นมั้ย ก็อยากขึ้น แต่เค้าอุปโลกน์ขึ้นมาว่า..ยอดภูเขา แล้วเค้าก็อธิบายต่างๆ ว่ามันสวยงามอย่างโน้นอย่างนี้ขึ้น แต่เค้าไม่รู้หรอกว่า ต้องใช้อะไรเดินขึ้นไปยอดภูเขา ต้องใช้กำลัง กำลังมาจากไหน กำลังมาจากบุญ หาหนทางขึ้นมาจากบารมี ยังงั้น..ขึ้นภูเขาไม่ได้ เราก็ต้องค่อยๆกระทำขึ้น ทีละนิดทีละหน่อย เรื่องราวต่างๆเราก็ค่อยจดจำไป
โฆษณา