Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
ป
ปกรณ์ ปราสาททอง
•
ติดตาม
14 ม.ค. 2022 เวลา 06:28 • ปรัชญา
5. พระแม่พระโพสพ ..ครูบาอาจารย์ ท่านมาสนทนา แนะนำสอนเรื่องกายสอนจิต เรื่องการใช้ปัจจัยให้ถูกต้อง
..น่ากลัวนะมนุษย์สมัยนี้ ไม่รู้จักบุญ ยิ่งบารมีไม่รู้จักเลย แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้าก็ยังไม่รู้จัก ..อันตราย อยู่ในศาสนาก็จริง ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อะระหังสัมมา..ไม่มี น่าห่วงใย ไม่ฝึกปฏิบัติ ไม่เคยเรียนรู้จากประวัติองค์พระสิทธัตถะเลย มันแต่เรียนเรื่องราวของพระเทวทัต มันก็จมอยู่อย่างงั้น จมอยู่กับทุกข์ เพราะไม่ยอมหนี นึกว่าจิตออกจากสังขารแล้ว ก็ต้องกลับมาเป็นอย่างเก่า มาสุขสบายแบบเก่า ..มันไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ทุกข์มากกว่าเก่า
เป็นไงการที่ฟังเรื่องราวของพระแม่โพสพ กลายเป็นเรื่องขยายไปทั่ว เค้าไม่ได้เป็นอยู่แค่นั้น เค้าให้อาหารทั้งโลก ดีแล้วการทำ รู้จักคุณ ก็ทำเกิดขึ้น พระก็ให้ทางธรรม ก็ได้ทั้งบุญทั้งบารมี ไม่รู้จะ ..ฉันไม่รู้จะบอกยังไงดี ถ้าไม่เข้าไปหาพระ ไม่เข้าไปหาที่มุ่งของตัวเอง ก็ไม่สำรวจตัวเองได้ เรารู้ว่ามีทุกข์ แต่ก็ไปหาทุกข์เพิ่มขึ้น ที่เค้าไปหากัน ไปหาพระหมอดูบ้าง เกจิอาจารย์อะไรต่างๆ มันก็ทุกข์เพิ่มขึ้น มนุษย์มันไม่ได้ทุกข์เรื่องทรัพย์สินเงินทองอย่างเดียว ทางใจนี่สำคัญ สำคัญกว่าวัตถุ
คราวนี้ ถ้าแก้ไขทางใจได้ วัตถุมันก็เป็นเรื่องเล็กๆเท่านั้น สามารถที่จะไปแก้ไขได้ คนที่ห่างพระ ก็ลำบาก ไปมุ่ง..มุ่งอยู่ทุกข์ มันก็ไปหาทุกข์เป็นธรรมดา ที่จะไปหาสุขก็ยาก
การกระทำต่างๆ ที่เราทำเรื่องราวต่างๆ ที่โยมทำมา สิ่งที่ทำต่างๆ ดูแล้วก็เหมือนลอยๆๆ ไม่มีจริงมีจัง พอทำแล้ว ก็มีความรู้สึกจากจิตได้ ว่าสัมผัสเรื่องราวเหล่านั้นเกิดขึ้น นี่แหละ การที่..เราอาจจะสัมผัสเรื่องราวต่างๆมา แต่เราก็ไม่รู้เรื่องราวเหล่านั้น ก็ทำให้มันรู้ขึ้น รู้แล้ว ไม่ใช่รู้อย่างเดียว เราก็ต้องหมั่นพิจารณาเรื่องที่เรารู้ด้วยเหมือนกัน เค้าบอกว่า อย่างนี้อย่างนี้ เชื่อเค้าเลยก็ไม่ได้ ต้องหมั่นไปพิจารณา เรื่องราวที่รู้ทุกครั้ง นั้นแหละ ผู้ที่ที่มีบุญบารมี แก้ไขนิสัยกรรมของตัวเอง ก็ต้องอย่างนี้
บางคนรู้แล้วเชื่อเลย ว่าสิ่งนั้นที่เค้าอธิบายเรื่องนั้นเรื่องนี้ เป็นเรื่องจริงเรื่องจัง ปล้วจับตัวรู้ เก็บไว้..ท่องตัวรู้ตัวนี้ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ แก้ไขไม่ได้ รู้แล้ว ก็ต้องพิจารณา แล้วก็ ..เค้าก็เหมือนกับว่า ที่เค้าสอนอะไรนี่ ต้นไม้อะไรต่างๆเนี่ย ที่เค้าชี้ เราก็ต้องไปดูของจริง เออ..วันนี้ของจริงต้นไม้นี้ มันขยับเขยื้อนไปยังไง แล้วอะไรมันเปลี่ยนแปลงบ้าง
.. แล้วเราก็มาเปรียบเทียบชีวิตของเรา อ้อ..วันนี้เราดีอย่างนี้ พรุ่งนี้..เรามาดูย้อนหลังดู มันก็เปลี่ยนแปลงไปนะ มันไม่เหมือนเก่าเลย แม้แต่อาหารการกินก็เหมือนกัน ไม่ใช่ว่าวันนี้ กินแกงเผ็ด พรุ่งนี้..มันจะกินแกงเผ็ดได้อย่างไร ก็ต้องกิน แกงจืดบ้าง กินของจืดบ้างของเผ็ดบ้างผสมผะเสกัน ก็เป็นเรื่องการสอนจิตทั้งนั้น ถ้าผู้นั้นมีปัญญา เค้าก็มองดู เพราะฉะนั้น การกินอย่าดูเนื้อสัตว์มากนัก ตั้งหน้าตั้งตากินไป กินให้มันอื่ม ถ้าไปดูเนื้อสัตว์ เดี๋ยว..ก็กินไม่ได้อีก เพราะจิตมันละเอียดเข้าๆ มองเป็นหมู ตักชิ้นหมูมา กลายเป็นหมูมาทั้งตัว พอทั้งตัว ก็เปลี่ยนไปอีก เนื้อนั้นก็เปลี่ยนเป็นคนมาอีก คราวนี้..ก็ยุ่งแล้ว คราวนี้ ..ตกอกตกใจ นึกว่าไสยศาสตร์ หรือ ว่าใครทำอะไรมาเกิดขึ้น วุ่นวายไปหมด
นั้น..ก็คือ การกินก็ดี การพิจารณาเรื่องราวเนี่ย อีไหนควรทำอย่าไร ให้ถูกต้อง เราก็ หมั่นพิจารณา แล้วก็กระทำขึ้น เราจะได้รู้จัก ของจริง ไม่ใช่ว่า..เนี่ยมันเป็นกรรมน่ะ ก็รู้ว่ามันเป็นกรรม นั่งปวดแทบจะตาย จิตสับสน วุ่นวาย โวยวายขึ้นมา เพราะเราไม่ได้ดู รู้ว่ามันเจ็บปวด วุ่นวาย แต่ก็ไม่ได้ดูอารมณ์ อะไรใครไปทำให้เจ็บปวด แล้ววุ่นวายไปทำไม หงุดหงิดทำไม ฟุ้งซ่านทำไม ปวดก็ปวดตัวของเรา เราก็แก้ไขตัวปวดทนมั้ย ถ้าไม่ทนก็ขยับเขยื้อนเอา ถ้าทนได้ก็ทน ทนเพื่อศึกษาความทุกข์ของตัวเอง ปัญญามันก็เกิดขึ้น เราจะเกิดมาทำไม แล้วทำไมต้องเกิด เกิดมาแล้วต้องมาเจ็บปวดอย่างนี้ ต้องเอากายไปหากิน หาอยู่ กินกับนอน แล้วมันก็ม่ความเจ็บปวดอย่างนี้แล้วกายกใช้การไม่ได้อะไรต่อไป วนกันไปวนกันมา
คราวนี้ การที่กายเค้าสอนจิต ให้มีการเจ็บป่วยเกิดขึ้น จิตก็วุ่นวาย สับสน พอจิตสับสน ก็เร้าร้อน แล้วต้อง..สังเกตดู พอเราหยุดปุ๊บ ขยับเขยื้อน เปลี่ยนท่าเปลี่ยนทาง อารมณ์เมื่อกี่ มันไปไหน เราก็นึกว่า จิตเราเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ ถ้าจิตมันก็เป็นจิตอยู่อย่างนั้น ทำไมมันหายไปไหน ความวุ่นวายต่างๆ ความเร่าร้อนต่างๆ ที่ไม่พอใจเกิดอารมณ์อะไรเกิดขึ้น ก็หมั่นพิจารณาเกิดขึ้น เราจะได้ตรวจสอบเราเอง กายของเรานี่แหละ ที่เกิดความเจ็บปวดเกิดขึ้น ว่าอารมณ์มันเป็นอย่างนี้ แล้วมันเป็น..มันเกิด..จิตใจมันเป็นอย่างนี้
แล้วก็ไปเปรียบเทียบเรื่องราวต่างๆ ที่เราไป..สิ่งที่พอใจกับไม่พอใจ เราก็เคยประสบพบมา เราก็ย้อนหลังมาดู ไม่พอใจกับคนๆนั้น ไม่พอใจกับคำพูด ไม่พอใจกับวัตถุที่ซื้อมาได้มาอะไรต่างๆ หรือ ใครทำอะไรที่ไม่พอใจ เอามาเปรียบเทียบกันเกิดขึ้น แล้วก็มาหักล้างตอนนี้ มาหักล้าง การที่เรานั่งเจ็บปวดเกิดขึ้น ความวุ่นวาย มาจากอะไร จับมันให้ได้ แล้วหมั่นพิจารณา บอกให้ฝึกให้แน่นๆ ฝึกให้ความนิ่ง จิตมันจะได้แข็งแรง พอกายมันนิ่งจริงๆ จิตแข็งแรง ก็จับเอาเรื่องราวต่างๆ แม้ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้น จับตัวนั้นมา มองเห็นกรรมของตัวเองมากขึ้น แล้วก็จะละ เรื่องกรรมนั้นๆ
ชาตินี้ สะสมการสลัดวัตถุ ที่เป็นกรรมออกไป แต่เราก็ไม่สามรถ ให้หลุดออกทั้งหมดได้ เพราะยังมีอารมณ์ตัวยึดอยู่ อย่างองค์พระสิทธัตถะก็ดี หรือว่า ที่ประวัติของพรเวสสันดรก็ดี ท่านสะสมมานานแล้ว เรื่องการที่ทิ้งทรัพย์สมบัติต่างๆ แม้แต่พระสิทธัตถะออกจากเวียงวังไป ท่านก็ยังไม่รู้ว่าสลัดวัตถุนั้นเพื่ออะไร ไปเพื่ออยากจะรู้เรื่องราวว่า ไม่อยากเกิด มาแก่มาตายอีก ท่านก็ไปเสาะแสวงหาเรื่องราวต่างๆ จนทีหลังท่านก็รู้ว่า อ๋อ ..สิ่งที่ไม่มีอะไรเลย นั่นคือ สิ่งที่ไม่ต้องเกิดมาใช้อีก ปัญญานั้นก็เกิดขึ้น
ชาตินี้ เราก็สละไปทีละเล็กทีละน้อยไปก่อน ชาติต่อไปเราก็สละมากขึ้นๆ ในที่สุดก็ หนีซิ หนีความมั่งมีศรีสุข เรื่องราวต่างๆเกิดขึ้น เกิดความกลัวขึ้นมา เมื่อถ้ามีอยู่..เราก็ต้องเกิดมาใช้อีก ก็หนีโดยที่ ตอนแรกชาตินั้น ลองหนีก่อน ไม่มีอะไรเลย ไปขอเค้ากิน หรือไปขอต้นไม้ต้นหญ้ากิน เอ้า..ทนไม่ไหวกลับมาอีก ชาติ..ต่อไปคราวนี้ จะทิ้งได้จริงๆ ละ มันก็ฝึกหัดเป็นชาติๆไป ไม่ใช่ว่าจะทีเดียวมันจะหลุด ยังมีเจ้าเรวนายกรรมคอยทักท้วงคอยดึงเราอีก อารมณ์นั่นแหละ ที่เป็นเจ้าเวรนายกรรมไปสร้างเรื่องราวต่างๆ ใครเป็นคนสร้าง เราเป็นคนสร้างเอง ก็ต้องเอาอารมณ์นั้นออกไป แต่ไม่ต้องรีบร้อน เพราะมันยังไม่มีปัญญาพร้อมที่จะทำ
ฉันก็เกิดมา ไม่รู้กี่อสงไขยเหมือนกัน กว่าจะชำระสะสาง จนไม่อยากจะยึดอะไรทั่งนั้น ฉันก็ไม่ยึดจริงๆ แต่ก็สงสาร สงสารคนที่เค้ามาอยู่ด้วย เค้ายึด เค้าโลภ โลภแล้ว..ไม่รู้ ไปทำสิ่งที่ไม่ควรทำ สิ่งที่เค้าให้มา เค้าต้องการบุญ เราก็ต้องสร้างเรื่องบุญให้แก่เค้า ไม่ใช่เอาไปใช้ทางโลก ใช้ทางโลก มันไม่ถูก เช่น..ไปช่วยเหลือเกื้อกูล ผู้ที่เค้าปฏิบัติได้ เพื่อจะขอนิสัย หรือ การกระทำของเค้ามา หรือ ไปเกื้อกูล สิ่งที่ของศาสนาที่ชำรุดผุพัง หรือ ไปสร้างสิ่งที่ให้ผู้คน มาอยู่อาศัย เพื่อจะนำกายนำจิตมา แก้ไขนิสัยของกรรม อย่างนั้น ถือว่า เป็นปัจจัยที่..ที่ใช้ที่ถูกต้อง
ถ้าไปใช้เรื่องราวของโลก เมื่อตายไปแล้ว ต้องไปกินน้ำเลือดน้ำหนองของตัวเอง อย่างนั้นก็เป็นอันตราย เรื่องราวที่..ที่ปัจจัยที่เป็นหยาดเหงื่อของญาติโยมที่มา อนุโมทนาสร้างบุญสร้างกุศลนั้น เพราะเค้าไม่รู้กันนึกว่า เป็นของที่ลอยมาฟรีๆ ทำไมเค้าไม่ไปดู กว่าที่เค้าจะได้เงินได้ปัจจัยมาเค้าลำบากขนาดไหน เค้าไม่คิดถึง ถ้าอยู่วัดปฏิบัติ มัน ยากเข็ญต้องจับจ่ายใช้สอย เราปฏิบัติก็ได้พอประมาณก็ได้ นี่เอาออกไปเสียหมด อาตมาก็ไม่ว่า ..สงสาร เอาออกไปใช้ข้างนอกวัด ใช้ในทางที่ผิดๆ นึกว่า..หลวงตาไม่รู้ นึกว่าฉันไม่รู้ ด้วยความสงสาร ฉันก็เลยเอาเงินนั้น ปัจจัยไปฝาก เพื่อให้เหลือน้อยที่สุด เพื่อให้เค้ามีกรรมน้อยที่สุด เพราะตอนแรกๆ ฉันก็นึกว่า อยู่อย่างนี้ คงไม่มีปัญหาอะไร เพราะ ทุกคนก็รู้ว่า บุญเป็นอย่างไร บารมีเป็นอย่างไร กรรมเป็นอย่างไร นึกว่าจะรู้กัน..เค้าไม่รู้
..ตอนหลัง ก็เลยรู้ว่า สิ่งที่เค้าทำนั้น ไม่ถูกต้อง ก็เลยช่วยเหลือเค้า ก็เลยย้ายเงิน ไปฝากกับคนนั้นคนนี้เกิดขึ้น ให้เค้าเก็บไว้ สร้างบุญสร้างกุศลต่อไป ที่เล่ามานี่ ก็เพื่อให้โยมเอาไปคิดว่าสิ่งนั้น ไม่ใช่เป็นของจริง เป็นสิ่งที่หามาเพื่อประทังสังขาร ประทังกายเท่านั้น แล้วก็เพื่อปกป้อง หาที่อน ที่อาศัย เพื่อจะกายมา ..นำมาสร้างบุญ สร้างบารมี ให้แก่จิตของเรา ไม่ใช่ให้แก่ใคร ก็ต้องตอบแทนธาตุทั้งสองของบิดามารดา ที่รวมตัวมาเป็นตัวตนของเรา ถ้าผู้ใดไม่ทำ โอกาสที่จะได้กาย มนุษย์ที่ดีก็ยาก
สมมุติว่าเราไปเกิดอยู่เป็นลูกเศรษฐี เป็นคนพิกลพิการ แล้วทรัพย์สินนั้นมีประโยชน์อะไร ก็ไม่มีประโยชน์ มันต้องพร้อมทั้งกายของเรา พร้อมทั้งทรัพย์สินเงินทอง และให้มีปัญญาอีก ที่จะรู้จักทรัพย์สินเงินทองนั้น ช่วยเหลืออะไรเราได้บ้าง ไม่ใช่ช่วยเหลือ เรื่องอารมณ์เรื่องกาย แต่ให้มาช่วยเหลือเรื่องจิต นั้นแหละ สิ่งนั่นแหละ ถึงจะแก้ไข การเกิดแก่เจ็บตาย ให้มันน้อยลงๆ ให้มันสั้นลง พอจิตมันละเอียดมากเข้าๆ ก็ไม่ยากเกิดแล้ว ไม่อยากมีตัวมีตน ชาตินี้ เราเป็นพ่อเป็นแม่ หรือ เป็นลูกเค้า ชาติหน้าเราก็อาจจะเป็นลูก หรือ เป็นพ่อเป็นแม่เค้าอีกเหมือนกัน มันก็กลับไปกลับมานั้นแหละอย่างนี้ แต่การเป็นที่ใช้ของๆเค้าต้องตอบแทน ถ้าไม่ตอบแทนมันก็มีหนี้สินรุงรังเพิ่มขึ้น
..น่ากลัวนะมนุษย์สมัยนี้ ไม่รู้จักบุญ ยิ่งบารมีไม่รู้จักเลย แม้แต่องค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เค้าก็ยังไม่รู้จัก ..อันตราย อยู่ในศาสนาก็จริง ไม่รู้จักพระพุทธเจ้า อะระหังสัมมา..ไม่มี น่าห่วงใย ไม่ฝึกปฏิบัติ ไม่เคยเรียนรู้จากประวัติองค์พระสิทธัตถะเลย มันแต่เรียนเรื่องราวของพระเทวทัต มันก็จมอยู่อย่างงั้น จมอยู่กับทุกข์ เพราะไม่ยอมหนี นึกว่าจิตออกจากสังขารแล้ว ก็ต้องกลับมาเป็นอย่างเก่า มาสุขสบายแบบเก่า ..มันไม่เป็นอย่างนั้น มันก็ทุกข์มากกว่าเก่า
เอ้า ..ฉันลาแล้วล่ะ ขอให้เดินทางด้วยความปลอดภัย ปัญญาให้ไปเกิดมีแต่บุญแต่ธรรม ธรรมเปที่พึ่งของจิต ไปทุกๆชาติ จนกว่าจะคลี่คลายกรรมสำเร็จน่ะ ปิยะโต โลกุตระ..สุขะโต โหตุ เจริญสุขจ๊ะ สาธุ สาธุ สาธุ
บันทึก
1
3
1
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย