14 ม.ค. 2022 เวลา 16:40 • หุ้น & เศรษฐกิจ
BREAKING !! : ความเชื่อมั่นร่วง ! ล่าสุดความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ร่วงลงเกือบต่ำสุดในรอบ 10 ปี ขณะที่ราคาแฮมเนื้อหมูพุ่งขึ้นถึง 54% ภายในวันเดียว !! นอกจากนี้ยังมีความไม่แน่นอนในการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของ FED ซึ่ง CEO ของ JPMorgan กล่าวว่า "อาจ" มีการขึ้นดอกเบี้ยถึง 6-7 ครั้งในปีนี้ !
2
ล่าสุดดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในสหรัฐฯ ได้ลดลงมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ ท่ามกลางความกังวลทั้งหลายที่เข้ามารุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราเงินเฟ้อ การขึ้นดอกเบี้ยของ FED และการระบาดของ Omicron ที่กำลังแพร่กระจายตัวอย่างรวดเร็ว
โดยดัชนีความเชื่อมั่นเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยมิชิแกนร่วงลงสู่ระดับ 68.8 ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดเป็นอันดับ 2 ในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว
ตอนนี้ ประชาชนชาวอเมริกันมองว่าอัตราเงินเฟ้อจะอยู่ที่ 4.9% ในปี 2022 ซึ่งเป็นตัวเลขใกล้เคียงกับระดับเงินเฟ้อสูงสุดที่เกิดขึ้นในช่วงวิกฤตการเงินโลกเมื่อปี 2008 และคาดว่าเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 5-10 ปีข้างหน้าจะอยู่ที่ 3.1%
ความเชื่อมั่นที่ลดลงนั้นเป็นผลมาจาก 3 สาเหตุหลัก ๆ คือ
1. ความกังวลต่อเงินเฟ้อที่ยืดเยื้อ
2. การระบาดของ Omicron
3. ความไม่แน่นอนของ FED ในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
ผลการสำรวจล่าสุดพบว่าชาวอเมริกัน 33% ที่ตอบแบบสอบถามกล่าวว่าพวกเขากำลังเผชิญสถานการณ์ที่เลวร้ายกว่าเมื่อปีก่อน และมันเลวร้ายยิ่งกว่าในครอบคัวที่ยากจน โดยเฉพาะในกลุ่มรายได้ต่ำสุด 30% ล่าง ซึ่งจะได้รับผลกระทบรุนแรงกว่าครัวเรือนทั่วไปถึง 2 เท่า
นอกจากนี้ รายงานเปิดเผยว่าความเชื่อมั่นของผู้บริโภคในระยะสั้นยังคงช่องว่างให้ลดลงได้อีก
ส่วนในประเด็นเรื่องการขึ้นดอกเบี้ยของ FED นั้น ล่าสุดนักวิเคราะห์หลายสำนักเริ่มเสียงแตกออกไป โดยเฉพาะ Jamie Dimon ซึ่งเป็น CEO ของ JPMorgan ที่ล่าสุดเขาได้ออกมาแสดงความเห็นว่า FED อาจต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยมากถึง 6-7 ครั้งภายในปีนี้ ! แม้ตลาดส่วนใหญ่จะคาดการณ์อยู่ที่ 3-4 ครั้งเท่านั้น
“ในมุมมองของผม มันเป็นโอกาสที่ดีที่จะมีการขึ้นดอกเบี้ยมากกว่า 4 ครั้ง ซึ่งอาจจะเป็น 6 หรือ 7 ครั้งก็ได้”
(My view is a pretty good chance there will be more than four, It could be six or seven.)
อย่างไรก็ตาม Dimon กล่าวต่อว่า "มันอาจเป็นข้อผิดพลาด สำหรับใครที่คิดว่าเศรษฐกิจจะไม่เติบโตในช่วงเวลาที่ดอกเบี้ยกำลังปรับตัวขึ้น”
(it would be a mistake to assume the economy won’t grow during a period in which interest rates are increasing.)
ราคาแฮมเนื้อหมูในสหรัฐฯ พุ่ง 54% ภายในวันเดียว
นอกจากในแง่ของตลาดหุ้นแล้ว ล่าสุดดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะเริ่มเผชิญกับราคาเนื้อหมูที่แพงขึ้นมหาศาล โดยเฉพาะราคาแฮมเนื้อหมูที่ล่าสุดดีดตัวขึ้นมาถึง 54% ซึ่งเป็นการพุ่งขึ้นภายใน 1 วันที่มากที่สุดนับตั้งแต่เดือนตุลาคมปี 2012 แม้ว่าระดับราคาจะยังไม่ทำ All Time High ใหม่
สาเหตุที่ราคาเนื้อหมูในสหรัฐฯ พุ่งขึ้นนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการระบาดของ Omicron ซึ่งทำให้โรงงานฆ่าสัตว์ต้องลดกำลังการผลิตลง ขณะที่ Supermarket หลายแห่งในสหรัฐฯ ได้เผชิญปัญหาขาดแคลนอาหารสด และการขาดแคลนแรงงานอยู่แล้วในก่อนหน้านี้
ยิ่งไปกว่านั้น ราคาเนื้อหมูในตลาด Futures ของสหรัฐฯ ยังปรับตัวสูงขึ้น 3.2% ในวันนี้ ขณะที่ดัชนีราคาอาหารโลกของสหประชาชาติ (UN) กำลังอยู่ใกล้ระดับ All Time High
3
ประเทศตลาดเกิดใหม่ เช่น เม็กซิโกและโคลัมเบีย กำลังเผชิญสถานการณ์ที่ย่ำแย่ เนื่องจากราคาอาหารสดได้ผลักดันให้เงินเฟ้อสูงขึ้น และทำให้ธนาคารกลางต้องขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าในประเทศกลุ่ม G-10
คำถามสำคัญก็คือราคาสินค้าต่าง ๆ ในภาค Real Economy จะพุ่งขึ้นไปได้อีกแค่ไหน ? หรือจะคงอยู่ในระดับสูงเช่นนี้ไปอีกนานแค่ไหน ? เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นจะส่งผลต่อการประเมินค่าแรงและกำลังซื้อของคนทั่วโลกเลยทีเดียว
นอกจากนี้ ราคาของสินค้าทางด้านพลังงาน อย่างเช่น น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ ก็ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่จะส่งผลต่อราคาสินค้าอื่น ๆ ทั่วโลก รวมถึงอาหารด้วย ซึ่งตอนนี้น้ำมันก็ยังคงอยู่เหนือระดับ 80 ดอลลาร์/บาร์เรล (ตัวเลขสูงสุดในรอบประมาณ 8 ปี)
ดังนั้นจึงถือเป็นที่น่าจับตามองต่อไปอย่างยิ่งว่า FED และรัฐบาลสหรัฐฯ (รวมถึงประเทศอื่น ๆ ทั่วโลก) จะเคลื่อนไหวอย่างไรต่อไปเพื่อเร่งสร้างความมั่นใจทางด้านเงินเฟ้อและเพิ่มความชัดเจนในแนวทางการขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้ไม่มีใครออกมาปฏิเสธได้แล้วว่า เงินเฟ้อไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวล
ทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันข่าวสารที่แท้จริงไปกับ World Maker
🙏 ขอบคุณทุกท่าน 🙏 ที่ติดตาม World Maker ฝากกด Like และ Share เพื่อเป็นกำลังใจและให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 😊
References :
โฆษณา