17 ม.ค. 2022 เวลา 11:49 • ไลฟ์สไตล์
ตอนที่ 12: ก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงานครั้งแรก! - An Unexpected Journey ของการเป็นนักจิตวิทยาให้คำปรึกษา
หลังจากการรีวิวชีวิตปี 2021 ไปในช่วงปีใหม่ เราก็กลับมาเจอกันอีกครั้งนะคะ ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าเวลาผ่านมาแค่ประมาณ 2 อาทิตย์กว่า ๆ เอง แต่เชื่อมั้ยคะ ว่าตลอดกว่าสองอาทิตย์ที่ผ่านมาของดิฉันเต็มไปด้วยเหตุการณ์สุดตื่นเต้นแสนระทึกมากมายเกิดขึ้นเต็มไปหมดแทบไม่เว้นแต่ละวันจริง ๆ
ซึ่งหนึ่งในเรื่องอลหม่านที่เกิดขึ้นจริงอย่างไม่คาดฝันสำหรับดิฉัน นั่นก็คือ ดิฉันได้ ‘เริ่มก้าวเข้าสู่ชีวิตวัยทำงาน’ จริง ๆ แล้วล่ะค่ะ
ท้าวความกันสักนิด เนื่องจากว่าตั้งแต่ประมาณปลายปีที่แล้ว ดิฉันเพิ่งจบการศึกษาในระดับมหาวิทยาลัย (อย่างไม่เป็นทางการ) มาแบบหมาด ๆ เลยค่ะ เป็นการจบการศึกษาภายในเวลาสามปีครึ่ง ซึ่งก็ถ้าถามว่าทำไมเรียนจบเร็วจัง…..คำตอบสั้น ๆ เลยค่ะ เพราะว่าดิฉัน ‘เรียนเร็วเกินไป’ 5555555 เพราะกลัวว่าจะเรียนไม่จบสี่ปี บวกกับเนื่องด้วยระบบของมหาวิทยาลัยที่อนุญาตให้เราลงเรียนวิชาต่าง ๆ ได้เองอย่างเสรีเพราะเป็นระบบเหมาจ่าย ดิฉันก็เลยลงเรียนวิชาแบบ 7 ตัวจุก ๆ ไปเลยแทบทุกเทอม ก็เลยทำให้เรียนจบเร็วมาแบบงง ๆ นั่นแหละค่ะ ยอมรับว่าตอนแรกก็มานั่งคิดเหมือนนะว่าถ้าเราคำนวณการลงวิชาไว้แต่แรกก็น่าจะไม่ต้องเรียนอัดขนาดนั้นเนอะ แต่พอมองในอีกมุมนึงก็รู้สึกดีเหมือนกันที่จบเร็ว เพราะว่าจะได้เริ่มใช้ชีวิตจริง ๆ เสียที และก็ประหยัดค่าใช้จ่ายที่บ้านด้วย
เมื่อเริ่มรู้แล้วว่าตัวเองจะเรียนจบสามปีครึ่ง ดิฉันก็เลยเริ่มหาที่ทำงานไว้พลาง ๆ ตั้งแต่ต้นเดือนธันวาปีที่แล้วไว้เลยล่ะค่ะ ซึ่งเราก็ตั้งเป้าหมายไว้แต่แรกเลยว่าเราอยากทำงานเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษา แต่พอมาค้นหาการรับสมัครงานพวกนี้ดูเท่านั้นแหละ ไฟในการหางานประเภทนี้ก็เริ่มริบหรี่ลง เพราะว่ามันหาได้ยากมาก ๆ เลยค่ะ อาจเป็นเพราะส่วนหนึ่งเรายังไม่ได้รู้จักแหล่งการหางานพวกนี้ด้วย และจากที่เห็นส่วนใหญ่เขามักจะรับนักจิตวิทยาคลินิกทำงานประเภทนี้เสียมากกว่า หรือถ้ารับนักจิตวิทยาการปรึกษาก็ต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ซึ่งเนื่องจากว่าดิฉันเป็นนักศึกษาจบใหม่ แถมไม่เคยมีประสบการณ์ฝึกงานด้วย ก็เลยต้องนกไปตามระเบียบนั่นละค่ะ
ดิฉันก็เลยเบนสายลองหางานบริษัทอื่น ๆ แทน ซึ่งจากการลองรีเสิร์ชดูแล้วดิฉันก็พบว่าตัวเองน่าจะเหมาะกับการเป็น ‘Content Creator’ หรือนักทำคอนเทนต์ของบริษัท เนื่องจากว่าดิฉันชอบเขียน ทำกราฟฟิกได้ รวมถึงพอตัดต่อวีดีโอได้นิดหน่อย บวกกับ Personality ของเราน่าจะเข้ากันกับการทำงานประเภทนี้ได้ดี ดิฉันก็เลยพยายามหางาน Content Creator ที่เกี่ยวข้องกับการทำคอนเทนต์จิตวิทยาหรือคอนเทนต์สายสุขภาพแทน รวมไปถึงสายอื่น ๆ ด้วยอย่างอาหาร ขนม และการศึกษา เพราะเราก็รู้สึกชอบและอินกับสิ่งเหล่านี้ด้วยเหมือนกัน นอกจากนี้ดิฉันก็ยังสอดส่องงานประเภทอื่น ๆ ไว้อีกเหมือนกัน ดิฉันพยายามเข้ากลุ่ม Facebook เกี่ยวกับการหางานเยอะ ๆ เพื่อเปิดโอกาสให้กับตัวเองมากขึ้น เผื่อจะได้เจองานอื่น ๆ ที่เข้ากับตัวเรา
ดิฉันก็เลยประเดิมการสมัครงานครั้งแรกไปกับบริษัทแห่งหนึ่งเพื่อเป็นนักเขียนคอนเทนต์ (Content Writer)เกี่ยวกับจิตวิทยาตั้งแต่ยังทำวิจัยไม่จบไปเลยค่ะ เพราะว่าเขาเปิดรับสมัครพอดีและดิฉันก็ไม่อยากเสียโอกาส บวกกับ mindset การทำงานของเราก็น่าจะดูเข้ากับบริษัทมาก ๆ ก็เลบรีบสมัครไว้เสียเลย ซึ่งดิฉันก็ผ่านการสมัครรอบแรก และเขาก็ให้เราลองทำงานไปให้เขาดูเพื่อดู ซึ่งดิฉันก็เดาว่าคงเป็นเพราะเขาอยากรู้ว่าสกิลที่เราโม้ไปใน Resume เป็นเรื่องจริงหรือเปล่า ไม่ก็อยากรู้ว่าสกิลที่เรามีมันเหมาะสมและเพียงพอต่อการทำงานมั้ย ซึ่งหลังจากที่ดิฉันได้ส่งงานไปแบบ last minute มาก ๆ เพราะว่ากำลังอยู่ในช่วงทำรายงานวิจัยเลยไม่ได้มีเวลาทำ ดิฉันก็ไม่ได้รับการตอบกลับจากอีเมลบริษัทนั้นอีกเลยมาจนถึงทุกวันนี้ 55555 ก็เลยถอดใจและหางานต่อ
หลังจากทำวิจัยจบอย่างเป็นทางการดิฉันก็เลยเข้าสู่โหมดการหางานอย่างเต็มตัวค่ะ ถึงแม้ว่าหลังจากทำวิจัยจบจะมีอีเว้นต์ร้อยแปดและทริปเที่ยวกับครอบครัวเพื่อเป็นการพักผ่อนและหนีออกจากโลกแห่งความเป็นจริงไปประมาณเกือบ ๆ 2 อาทิตย์ แต่ในช่วงเวลานั้นดิฉันก็ยังคง active กับการหางานอยู่ตลอด ดิฉันเปิดเข้าไปเช็คกลุ่มหางานต่าง ๆ ทุกวัน และถ้าเห็นงานไหนน่าสนใจก็จะ save เก็บไว้เพื่อไปลองอ่านรายละเอียดและรีเสิร์ชเกี่ยวกับบริษัทนั้น ๆ อีกรอบ ซึ่งก็ยอมรับว่าดิฉัน list ออกมาได้หลายหน้ากระดาษ A4 เลยแหละ 555555
และแล้วก็มีอีกโอกาสหนึ่งเข้ามาค่ะ! จู่ ๆ ก็มีอาจารย์ท่านหนึ่งได้แชร์งานนักจิตวิทยาการปรึกษาลงมาในกลุ่ม Facebook ของมหาวิทยาลัย และเมื่อดิฉันได้ลองอ่าน requirement และรายละเอียดของงาน ดิฉันก็ตกใจมาก เพราะที่ทำงานที่นี่รับนักศึกษาที่เรียนจบจิตวิทยาปรึกษาแบบที่ไม่ได้กำหนดไว้ว่าต้องมีประสบการณ์การทำงานมาก่อน ซึ่งเป็นสิ่งที่ดิฉันหามานานและถอดใจไปกับมันมาสักระยะใหญ่แล้ว ก็เลยถือโอกาสรีบคว้าเอาไว้เสียเลย
และรู้หมือไร่! ปรากฎว่าวันที่อาจารย์โพสต์ประกาศลงกลุ่มนั้น....ดันเป็นวันสุดท้ายของการรับสมัคร (รอบแรก) เสียด้วย! ดิฉันก็เลยต้องรีบซิ่งขับรถกลับบ้านเพราะว่าตอนนั้นกำลังมารับแฝดที่นครปฐม กว่าจะมาถึงบ้านก็ประมาณสองสามทุ่ม ดิฉันรีบอาบน้ำกินข้าวและเริ่มทำการกรอกใบสมัครอย่างตื่นเต้นและใจเย็นไปพร้อม ๆ กัน จำได้ว่าตอนนั้นยังไม่ได้ set driver กับ printer ในคอมเลยด้วยซ้ำเพราะเพิ่งเอาไปซ่อมมาเมื่อหลายวันก่อน ก็เลยต้องใช้คอมของแฝดปริ้นเอกสารต่าง ๆ แทนเพื่อสแกนส่งอีเมลสมัครไป (ดิฉันไม่มีไอแพดเลยกรอกเอกสารแบบอิเล็กทรอนิกส์ไม่ได้น่ะ) ซึ่งถึงแม้ว่าจะมีอุปสรรคเล็กน้อยระหว่างการกรอกใบสมัครและการเตรียมเอกสารอื่น ๆ แนบไปกับใบสมัคร ดิฉันสามารถส่งใบสมัครไปได้ทันในเวลา 23.53 น.
1
ซึ่งในช่วงเวลาเดียวกันญาติของดิฉันก็ส่งการสมัครงานอีกที่หนึ่งมาให้ดูเหมือนกัน ซึ่งเนื่องจากว่าเงินเดือนค่อนข้างสูงสำหรับเด็กจบใหม่ ซึ่งก็ยอมรับว่าดิฉันก็เป็นพวกหลอกล่อได้ด้วยเงินเหมือนกัน 555555 บวกกับไม่อยากปิดโอกาสตัวเองและตัวเนื้องานก็ดูเป็นสิ่งที่เราทำได้ ดิฉันก็เลยยื่นส่ง Resume ไปก่อน
ซึ่งในภายหลังเขาก็ได้ติดต่อมา ดิฉันก็เลยได้มีโอกาสคุยเรื่องเนื้องานกับเขาอย่างจริงจัง ซึ่งผลปรากฎว่าตัวเนื้องานจริงนั้นมันไม่ตรงกับสิ่งที่ดิฉันคิดไว้เลย แถมพอฟังไปเรื่อย ๆ ก็เริ่มรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเข้ากับความเป็นตัวเราเท่าไหร่ ก็เลยเริ่มลังเลว่าจะเอาอย่างไรต่อไปดีเพราะว่าตัวเงินมันก็เยอะจริง ๆ
นี่เลยเป็นการตัดสินใจหนึ่งที่ยิ่งใหญ่สำหรับการทำงานของดิฉันว่าจะเลือก ‘เงิน’ หรือ ‘งาน’ ดิฉันก็เลยทำการระบายและปรึกษากับใครหลาย ๆ คน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ รวมไปถึงเพื่อน ๆ ว่าควรจะทำอย่างไรดี ซึ่งแม้ว่าเราจะมี gut feeling ในใจลึก ๆ ที่รู้ตัวอยู่แล้วแหละว่าเราไม่ค่อยโอเคกับงานนี้และรู้สึกว่ามันไม่ใช่ตัวเรามาก ๆ แต่ก็ต้องยอมรับว่ามันยากที่จะตัดสินใจอย่างเด็ดขาดเหมือนกัน การได้รับ support จากเพื่อน ๆ ว่าให้เชื่อใน gut feeling ของตัวเอง รวมไปถึงการได้รับมุมมองและคำแนะนำจากผู้ใหญ่อย่างเจ้าคุณพ่อและเจ้าคุณแม่ เลยมีส่วนช่วยอย่างมากสำหรับการตัดสินใจครั้งนี้ และทำให้ดิฉันสามารถปฏิเสธงานนี้ไปได้อย่างเด็ดขาดอย่างรวดเร็ว
เหตุการณ์นี้เลยเป็นสิ่งที่ทำให้ดิฉันได้รู้ว่าบางที ‘ชีวิตมันก็ต้องเลือกจริง ๆ’ เพราะบางครั้งเราก็ไม่สามารถได้สิ่งที่เราต้องการไปเสียทั้งหมดได้ และสำหรับดิฉัน สิ่งสำคัญที่ทำให้เราสามารถตัดสินใจได้นั่นก็คือการเชื่อมั่นใน gut feeling ลึก ๆ ของตัวเอง และพยายามพิจารณากับ gut feeling นั้นว่าทำไมมันถึงมีความรู้สึกเอนเอียงไปในทางนั้น เพราะมันทำให้เราเห็นตัวเองมากขึ้นว่าจริง ๆ แล้วเราต้องการอะไร และยิ่งพอเราเห็นและพยายามทำให้มันชัดเจนขึ้น มันก็จะไม่ทำให้เรา doubt กับเส้นทางที่เลือกเดินและไม่รู้สึกเสียดายที่ทิ้งโอกาสนั้นไป ทำให้เราสามารถเดินหน้าต่อได้อย่างมีพลังและ passion อันเต็มเปี่ยมนั่นเอง
1
ขอบคุณตัวเอง เพื่อนร่วมทาง และประสบการณ์นี้มาก ๆ นะคะ :)
กลับมาที่งานนักจิตฯ กันต่อ หลังจากที่ดิฉันได้ทำการปฏิเสธงานไปแล้วอย่างเด็ดขาดและรวดเร็ว ดิฉันก็เริ่ม focus สู่การสมัครงานนักจิตปรึกษานี้มากขึ้น
เนื่องจากการสมัครงานนี้มันไม่เหมือนการสมัครงานกับบริษัทอื่นทั่วไป เพราะมันมี ‘การทดสอบความรู้ทั่วไปทางจิตวิทยา’ ด้วย ซึ่งดิฉันก็พอเข้าใจได้แหละว่าการสอบเรื่องนี้มันจำเป็นเพราะวิชาชีพนี้มันไม่ใช่ว่าใครจะเข้ามาทำก็ได้เหมือนกันงานบริษัทอื่น ๆ ดิฉันก็เลยต้องเตรียมตัวสอบไป แล้วเนื่องจากทางที่ทำงานก็ไม่ได้บอกด้วยว่าเนื้อหาของการสอบมีอะไรบ้างเหมือนกับเวลาสอบในมหาวิทยาลัย ก็เลยต้องเก็งข้อสอบกันเองว่าน่าจะออกอะไรบ้าง รวมถึงหาข้อมูลของการสอบนี้เพิ่มเผื่อจะมีใครเคยรีวิวไว้ ซึ่งก็เก็งผิดซะด้วย 55555 แต่อย่างไรก็ตามดิฉันก็พยายามทำข้อสอบให้เต็มที่ที่สุด บวกกับพอมันเป็นจิตวิทยาการปรึกษาซึ่งเป็นสิ่งที่เราอิน เนื้อหาหลาย ๆ อย่างที่เราเคยเรียนมามันก็เลยยังฝังอยู่ข้างในสมองเรา และก็ยังพออ่านเนื้อหาเหล่านั้นผ่าน ๆ มาบ้าง ก็เลยรู้สึกว่ายังพอทำข้อสอบได้บ้าง
ดิฉันต้องบอกเลยข้อสอบดังกล่าวทำให้ดิฉันรูุ้เลยว่าตัวเองยังขาดความรู้การเป็นนักจิตวิทยาปรึกษาอยู่พอสมควรเลย รู้สึกเลยว่ายังต้องมีสิ่งต่าง ๆ ให้เรียนรู้อีกมาก แต่ในขณะเดียวกันการทำข้อสอบนั้นก็ทำให้เรารู้ว่าเราก็ยังมีความรู้สึกเอนจอยกับการทำงานตรงนี้จริง ๆ และก็เป็นการ confirm กับตัวเองเล็ก ๆ แหละว่าเราก็ยังคงหลงเหลือความรู้พื้นฐานการทำการปรึกษาอยู่เหมือนกัน แม้จะไม่ได้แตะสกิลและความรู้นี้มาเป็นปีแล้วก็ตามตั้งแต่ปี 3 (เพราะว่าปี 4 น่ะ ดิฉันวุ่นวายอยู่กับงานวิจัยอย่างเดียวเล้ย!)
ดิฉันก็เลยไม่ได้คาดหวังกับผลมากมายนัก เพราะบอกตามตรงว่าก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าสกิลและความรู้ที่ตัวเองจะมีมากพอตามเกณฑ์ที่เขาต้องการหรือไม่ แต่ในใจลึก ๆ ก็แอบอยากได้เพราะรู้สึกว่ามันคงจะดีมาก ๆ ถ้าเราได้มีโอกาสหาประสบการณ์และเรียนรู้จากที่นี่ และก็รู้สึกว่าตัวเองก็ไม่ได้ไม่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องนี้นะ 55555555
และเมื่อผลการสอบประกาศ ดิฉันก็ต้องประหลาดใจและดีใจมากเพราะว่าดิฉันผ่านเกณฑ์ล่ะค่ะ 55555555 ก็เลยได้ผ่านเข้าสู่รอบสัมภาษณ์ ซึ่งก็เป็นการสัมภาษณ์งานเหมือนงานปกติทั่วไปแหละค่ะ ไม่ได้มีความหวือหวามากมายอะไร แต่สิ่งหนึ่งที่ดิฉันสัมผัสได้จากการสัมภาษณ์ก็คือดิฉันรู้สึกว่าพี่ ๆ ที่ทำงานที่นี่เป็นกันเองและน่ารักมาก ๆ ก็เลยคิดว่า vibe ของการทำงานที่นี่น่าจะดีอยู่เหมือนกัน และรู้สึกว่าเราสามารถ fit in เข้ากับที่ทำงานนี้ได้ สิ่งตรงนี้ก็เลยยิ่งทำให้ดิฉันอยากได้งานนี้มากขึ้นด้วยนั่นแหละ
และเมื่อผลการคัดเลือกครั้งสุดท้ายประกาศ ก็เป็นที่แน่นอนตามหัวข้อเรื่องล่ะค่ะว่า…ดิฉันได้รับคัดเลือกเป็นนักจิตวิทยาการปรึกษาของที่ทำงานแห่งนี้! ซึ่งก็บอกตามตรงว่าดีใจมาก ๆ ค่ะ แต่ก็ดีใจไม่ค่อยสุดเท่าไหร่เพราะว่าส่วนหนึ่งเพื่อนที่สมัครไปด้วยกันติดตัวสำรอง รวมถึงมันก็มีความกลัวแว๊บนึงเข้ามาในหัวเหมือนกันว่า ‘นี่เราจะเข้าสู่โหมดทำงานแล้วจริง ๆ เหรอ’ เพราะว่าโอกาสนี้มันมาแบบไม่ทันได้ตั้งตัว เราก็เลยไม่คิดว่าชีวิตเราจะมาถึงจุดเปลี่ยนผ่านนี้เร็วขนาดนี้เหมือนกัน
Anyway ดิฉันรู้สึกยินดีมากค่ะที่ได้ทำงานที่นี่ ถึงแม้ว่าจากนี้จะเห็นสภาพตัวเองภายภาคหน้าเลยล่ะค่ะว่างานมันจะต้องหนักมากแน่ ๆ แต่นั่นก็คือเหตุผลที่ทำให้ดิฉันเลือกที่จะมาอยู่ตรงนี้ เพราะว่าดิฉันอยากเก็บเกี่ยวประสบการณ์การทำงานเกี่ยวกับการจิตวิทยาการปรึกษา อยากรู้จักงานนี้จริง ๆ ว่ามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ละแขนงย่อยของการปรึกษานี้เป็นอย่างไรบ้าง เพื่อที่จะได้รู้จริง ๆ เสียทีแหละว่าเราชอบงานนี้จริง ๆ หรือเปล่า จะได้รู้ว่าต้องทำอย่างไรต่อกับอนาคตที่รออยู่ข้างหน้า :)
เพราะถ้าเราไม่ลอง เราก็ไม่มีทางรู้หรอก…….จริงมั้ย :)
หลังจากนี้ลุยไปเลยเพื่อนรัก! ขอให้ได้เรียนรู้ ได้เอนจอย และใช้โอกาสนี้ให้คุ้มค่าที่สุดไปเลยนะ!!!! เย่ะ!!!
โฆษณา