19 ม.ค. 2022 เวลา 14:41 • ปรัชญา
เรามาทำความเข้าใจกันก่อนว่า คำว่า พ้นทุกข์ นั้นเป็นเรื่องของหลุดพ้น เป็นเรื่องราวการเกิดเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎะ ที่เป็นเรื่องราวของของจิตที่มีกรรมในวัฏฏะ ต้องไปสถิตตรงโน้นตรงนี้ ไปเกิดตรงนั้นตรงนี้ ในภพภูมิต่างๆ นรก เปรต อสุรกาย สัตว์ มนุษย์ เทพ อินทร์ พรหม ก็ต้องล้วนเป็นจิตที่สถิตตามภพภูมิต่างๆ ต้องรับสุข หรือ ทุกข์ไปตามวาระของกรรมที่ต้องไปเกิด เรื่องราวของการเกิดนั้น มันมีเพียงภพมนุษย์ ที่สังขารอำนวย ที่จะสะสางบัญชีของกรรมที่ตนเองเคยกระทำไว้กับแม่ทั้งสี่ พระแม่พระธรณี พระแม่พระคงคา พระแม่พระเพลิง พระแม่พระพาย ที่เค้าใช้คำว่าดินฟ้าอากาศ ดีก็บันทึก ชั่วก็บันทึก เป็นหลักฐานว่าจิตเป็นผู้มีกรรม
แม้แต่เป็นเทพอินทร์พรหมก็ต้องลงมาเกิด เพื่อสะสางกรรม สร้างบุญบารมีให้แก่จิตของตน เพื่อกลับไปสู่สถานที่เดิม หรือ สูงขึ้นกว่าเดิม เหมือนเลื่อนชั้นขึ้นไป ในส่วนของจิตที่หลุดจากการกรรมชดใช้กรรมในนรก มีบุญพอได้เกิดเป็นมนุษย์ นิสัยที่เคยอยู่ในเมืองนรกก็ติดตามมาก มีความโหดร้าย ไม่มีคำว่าเมตตาเกิดขึ้นในดวงจิต จิตที่มาจากเปรตอสุรกาย ก็มาจากแดนผู้ที่หิวโหยอดอยาก ชดใช้กรรมในภพภูมิเปรตอสุรกาย มาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะนิสัยที่เคยหิวกระหาย เห็นอะไรก็ทะเยอทะยานอยากจะได้ อยากมีอยากเป็นไปเสียหมด ทำบุญทำทานที่สละออกไปด้วยความบริสุทธิ์ใจก็ทำยาก เพราะจิตมันเรียกร้องว่า ทำแล้วบุญทำทานต้องได้สิ่งอะไรกลับมา คิดเป็นตัวเลขเหมือนการค้าขายพ่อค้าแม่ค้า ค้าขายต้องมีกำไร จึงกลายเป็นทำบุญเรียกร้องหากรรมให้มากขึ้น เช่น ทำบุญต้องได้ตะกรุดผ้ายันต์ ..เอาไปทำมั้ย ..เอาไปขังจิตตัวเองให้มากขึ้น
คราวนี้ เราก็มาดูเมื่อสมัยต้นพุทธกาล ชั้นเทพอินทร์พรหม ชั้นดุสิต ที่มีหูทิพย์ตาทิพย์ มองเห็น พระโพธิสัตว์ จะลงมาตรัสรู้เป็นองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าในโลกมนุษย์ ก็มีดวงจิตที่สะสมบุญบารมี คอยแสงพระอาทิตย์เกิดในโลกมนุษย์ ก็ติดตามลงมาเกิด รับแสงพระอาทิตย์ รับแสงแล้วดอกบัวก็บาน ชำระสะสางจิตจนเข้าพระนิพพาน
กลับมายุคกึ่งพุทธกาล จิตที่มาเกิดในโลกมนุษย์มาจากอบายภูมิ เป็นส่วนมาก ไม่ค่อยมีนิสัยในการสร้างบุญกุศลบารมี ไม่รู้จักว่าสิ่งไหนที่จะเป็นคุณเป็นโทษให่แก่จิต ใช้ชีวิตจมอยู่กับความโลภโกรธหลง กินแล้วก็นอน นอนแล้วก็กิน โตวันโตคืน แก่เจ็บตาย แล้วก็ทิ้งร่างให้เน่าเปื่อยออกจากสังขารนั้นไป ไม่รู้ว่าไปไหนอีกเหมือนกัน
คราวนี้เรามาดูเรื่องการบวช(ยังไม่เคย) บวชแล้ว จะประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้ามั้ย เอารอยทั้งสี่ ยืนเดินนั่งนอนด้วยจิตมัชฌิมา เอามากระทำเพื่อชำระสะสางจิตของตนเองมั้ย ให้เวลาแก่ตัวเองมั้ยระหว่างที่บวช แล้วญาติโยมเห็นผ้ากาสาวพัสตร์ (ที่ไม่ห่ม ก็คงไม่มีใครถวาย) ก็อยากได้บุญ อยากบำรุงภิกษุ อยากอะไรมากมาย นำปัจจัยต่างๆมาน้อมถวาย ก่อนถวายเค้าได้ระลึกถึงพระคุณพ่อแม่ เค้าทำจิตน้อมถวายองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อบำรุงศาสนาขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า พร้อมด้วยกายวาจาใจ ทำจิตนิ่งตั้งอกตั้งใจกระทำ แล้วน้อมถวายต่อภิกษุที่ครองกาสาวพัสตร์ ที่เป็นเครื่องหมายของธรรม เป็นเครื่องหมายของผู้ที่มีธรรม ก่อนถวายก็กราบ หลังถวายก็กราบ นั้นคือของที่เค้าเรียกว่า ของสาธุ
แล้วภิกษุองค์นั้นมีการกระทำเดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าหรือไม่ เมื่อไม่มี ข้าวของที่เค้าสาธุมา เอาไปกินไปใช้ มันก็เกิดเป็นหนี้ หนี้โดยไม่รู้ตัวสิ่งที่อยู่ที่อาศัยนั้น เป็นหนี้สินในบุญกุศลที่ญาติโยมกระทำขึ้น แล้วตัวเองมีการกระทำอะไรบ้าง เพื่อทดแทนในสิ่งญาติโยมถวายปัจจัยมา
การบวชนั้นเหมือนปีนขึ้นต้นตาลหรือ ไต่ลวด ทำไม่ดีก็ร่วงลงพื้น พื้นนรกไปเลย มีผู้ที่เล่าให้ฟัง ที่เมืองนรก ภิกษุตกนรกมากมาย ทางเข้าเค้ามีท่อนเหล็กเหมือนเป็นราวขนาดใหญ่ ก่อนลงไป เค้าถอดเครื่องหมายไตรจีวรนั้นออก ให้ลงไปแต่ตัว น้ำหนักของไตรจีวรที่พาดที่ราวเหล็กนั้น ทำให้ราวเหล็กนั้นแอ่น อ่อนลงไปเลย เอาแค่นี้ก่อน แล้วเราไปพิจารณากันเองว่า บวชดีหรือ อยู่เป็นฆราวาส หมั่นสร้างบุญกุศลบารมี เดินตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปเรื่อยๆดีกว่า ประคองจิตไม่ให้ลงอบายภูมิ หรือไปชั้นเทพอินทร์พรหมดี เพราะหนทางไปนิพพานยังต้องใช้เวลาอีกยาวไกล ไม่รู้กี่ชาติ แต่ขอให้ทุกชาติเกิดมาได้กายมนุษย์ครบสามสิบสอง ได้พบพระธรรมคำสอนขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้มีสติสัมปชัญญะรู้จักกรรม ให้มีสติสัมปชัญญะสร้างบารมีหนีเวรกรรมไปทุกข์ คงมีสักชาติหนึ่งถึงที่ไม่ต้องมาเกิด
มีอยู่เรื่องหนึ่ง มีพระที่รู้จัก เข้ามาบวช อดีตก็เป็นนักเลง มีสักตามตัว ติดคุกมาสิบปี บวชแล้วท่านก็ยังชอบเครื่องรางของขลัง เราเป็นฆราวาสจะไปสอนพระก็ไม่ได้ ได้แต่พูดอ้อม บอกท่านอย่าไปยุ่งเรื่องพวกนั้นเลย ท่านฟังเหมือนกัน แต่ท่านก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไร ประมาณหนึ่งสัปดาห์คุยกับท่าน มีความรู้สึกว่ากลิ่นในตัวท่านไม่ค่อยดี สัปดาห์ต่อมาก็ไปหาท่านที่กุฏิเพราะท่านไม่สบาย เราบอกท่านวันเสาร์ให้แก้ไขในสิ่งที่มองไม่เห็น ดูท่านไม่สนใจ
วันอาทิตย์ท่านเข้าโรงพยาบาล ผ่านไม่กี่วันก็เสีย ช่วงที่ยังไม่เผา เราสวดมนต์กัน ท่านก็มาทำท่าโบกไม้โบกมือ ก็ยังคุยกันว่า นี่จิตออกจากร่างยังไม่รู้ตัวว่าตาย (จิตอยู่ในภวังค์อยู่) พอวันเผา มีการเปิดโลง เท่านั้น แหละ ก็มีเด็กหนุ่มรูปร่างใหญ่โต กระโดดเกาะคอผู้หญิงที่มาในงานศพด้วย ร้องไห้เป็นวักเป็นเวร เหมือนกับเป็นญาติสนิทยังงั้นแหละ ตอนหลังก็ทำบุญอุทิศกุให้ท่าน ท่านไปอยู่ที่ลำบากหน่อยมีรูปร่างผอมๆสูงๆ ท่านไปอยู่ในรูปอะไรที่สูงๆ
สิ่งเหล่านี้มันน่ากลัว เวลาที่อาศัยรูปมนุษย์ประมาณแปดสิบปี ไปอยู่ภพนามธรรมเวลารับทุกข์มันยาวนาน เพราะฉะนั้นเป็นมนุษย์ พบศาสนาก็ศึกษาให้เข้าใจ จะได้สร้างบุญกุศลบารมีช่วยเหลือตัวเอง เพราะหากไปรับทุกข์ในอบายภูมิ ไม่มีญาติพี่น้องพ่อแม่ที่ไหนช่วยได้ หากมีทรัพย์สินทิ้งไว้ในโลก ญาติพี่น้องเค้าก็เอาไปใช้จมอยู่กับโลภโกรธหลง ไม่มีคนทำบุญให้ถึงหรอก ทุกข์ของโลกนามธรรมเปรตอสุรกายมันเร่าร้อนเหมือนอยู่ในกองไฟ เพราะฉะนั้นมีชีวิตอยู่ก็ฝึกหัดสร้างบุญกุศลด้วยมือตัวเองดีกว่า จะให้ใครทำบุญอุทิศให้
มนุษย์ไม่ว่าฝรั่ง แขก ไทย จีน อะไร..ก็คือรูปมนุษย์ ที่มีจิตอาศัยอยู่ มีกรรมเป็นของตัวเอง จิตออกจากร่างก็ไปสู่ในสิ่งที่เป็นนามธรรมเหมือนกัน ตอนมาเกิดมาเป็นจิตที่เป็นนามธรรม มาอาศัยกายมนุษย์ ไปได้พ่อแม่ตรงนั้นตรงนี้ จิตที่มีกรรมมาก ก็ไปได้พ่อแม่เป็นสัตว์อยู่ตรงนั้นตรงนี้ในโลกนี้เหมือนกัน แต่จิตที่เกิดเป็นมนุษย์ตรงนั้นตรงนี้ ก็แบ่งแยกกันเอง ไปตามประเพณีความเชื่อวัฒนธรรม การศึกษาทำมาหากินไปต่างถิ่นเกิด ที่สุดแล้วคือตายเหมือนกัน เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่าไปไหน เพราะไม่เคยเรียนรู้นี่นะ
โฆษณา