24 ม.ค. 2022 เวลา 13:37 • ประวัติศาสตร์
• คดีวอเตอร์เกท
กรณีอื้อฉาวที่สั่นสะเทือนประวัติศาสตร์ชาติอเมริกา
ริชาร์ด นิกสัน (Richard Nixon) เป็นประธานาธิบดีคนที่ 37 ของสหรัฐอเมริกาจากพรรครีพับลิกัน โดยเขาดำรงเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในปี 1969 ก่อนที่จะสิ้นสุดวาระในปี 1974
นิกสันนับว่าเป็นประธานาธิบดีที่มีชื่อเสียง และถูกพูดถึงมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกา เนื่องจากในยุคสมัยของเขาได้เกิดเหตุการณ์ที่มีความสำคัญอยู่หลายเหตุการณ์ไม่ว่าจะเป็น
- การเดินทางไปดวงจันทร์ของยานอวกาศอพอลโล 11 ในวันที่ 21 กรกฎาคม 1969
- การเดินทางไปเยือนประเทศจีนของนิกสันในปี 1972 ซึ่งนับเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสหรัฐฯ กับจีน
- และในปีเดียวกัน นิกสันยังได้สร้างประวัติศาสตร์ ในฐานะประธานาธิบดีคนแรกของสหรัฐฯ ที่เดินทางไปเยือนสหภาพโซเวียต
- การถอนกำลังทหารสหรัฐฯ ออกจากสงครามเวียดนาม ในปี 1973
ริชาร์ด นิกสัน ประธานาธิบดีคนที่ 37 ของสหรัฐฯ
แต่เหตุการณ์ที่ทำให้นิกสันกลายเป็นประธานาธิบดีที่ถูกพูดถึงมากที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ ก็คือคดีสุดอื้อฉาวที่ได้ทำให้นิกสันต้องพ้นจากตำแหน่งประธานาธิบดี
และคดีนี้ก็คือ "คดีวอเตอร์เกท" (Watergate Scandal)
สำหรับเรื่องราวของคดีวอเตอร์เกทนั้น ถือได้ว่ามีรายละเอียดของเนื้อหาที่มากและซับซ้อนพอสมควร ดังนั้นแอดมินจะขอสรุปเนื้อหาของคดีวอเตอร์เกทในแบบคร่าว ๆ นะครับ
1
โดยเรื่องราวของคดีวอเตอร์เกท เริ่มต้นขึ้นในช่วงเช้ามืดของวันที่ 17 มิถุนายน 1972 เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ทำการจับกุมตัวชาย 5 คน ที่ได้บุกเข้าไปภายในที่ทำการของพรรคเดโมแครต ที่ตั้งอยู่ภายในอาคารวอเตอร์เกท คอมเพล็กซ์ (Watergate Complex) ในกรุงวอชิงตัน ดีซี.
ในตอนแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจต่างก็เข้าใจว่า ชายทั้ง 5 คน เป็นเพียงแค่โจรที่พยายามบุกเข้ามาลักทรัพย์ภายในที่ทำการของพรรคเดโมแครตแห่งนี้ แต่จากสืบสวนกลับพบว่า ชายทั้ง 5 คนนี้ มีประวัติที่ไม่ธรรมดาและมีความไม่ชอบมาพากลเป็นอย่างมาก
1
ชายทั้ง 5 คน ที่ก่อเหตุบุกเข้าไปภายในอาคารวอเตอร์เกท คอมเพล็กซ์
อย่างแรกเจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า 3 ใน 5 คน เป็นชาวคิวบาที่ลี้ภัยทางการเมือง (จากรัฐบาลคอมมิวนิสต์ภายในประเทศ) ซึ่งเคยมีส่วนเกี่ยวข้องกับกองทัพสหรัฐฯ และ 1 ใน 5 คน ก็ยังเคยเป็นอดีตเจ้าหน้าที่ของหน่วยสืบราชการลับ CIA อีกด้วย
อย่างที่สอง ชายทั้ง 5 คน เคยทำงานให้กับ Committee for the Re-Election of the President (หรือ CREEP) ซึ่งเป็นองค์กรที่ระดมทุนเพื่อรณรงค์การเลือกตั้งของนิกสัน ที่จะเกิดขึ้นในปลายปี 1972
อย่างที่สาม เจ้าหน้าที่ตำรวจพบว่า ชายทั้ง 5 คน ได้ทำการถ่ายรูปเอกสารลับ รวมไปถึงมีการติดตั้งอุปกรณ์ดักฟัง ภายในที่ทำการพรรคเดโมแครต
และอย่างสุดท้าย เจ้าหน้าที่ตำรวจก็พบว่า ชายทั้ง 5 คน ได้มีเบอร์โทรศัพท์รวมไปถึงเคยติดต่อกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาลสหรัฐฯ และบุคคลใกล้ชิดของนิกสัน
เมื่อข่าวฉาวนี้ได้ถูกพูดถึงในสังคมของสหรัฐฯ แน่นอนว่าประธานาธิบดีนิกสัน ก็ได้กลายเป็นเป้าหมายหลักที่เชื่อว่าเป็นคนที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์ในครั้งนี้
สำหรับประธานาธิบดีนิกสัน และบุคคลใกล้ชิดของเขา ก็ได้ปฏิเสธต่อสื่อของสหรัฐฯ ว่า พวกเขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องใด ๆ กับเหตุการณ์ในครั้งนี้เลย
และในช่วงปลายปี 1972 นิกสันก็ได้ชนะการเลือกตั้งอย่างถล่มทลาย และได้เป็นประธานาธิบดีต่อในสมัยที่สอง ซึ่งในช่วงเวลานั้น สื่อหลาย ๆ เจ้าของสหรัฐฯ ก็ยังคงพยายามขุดคุ้ยและเปิดโปงว่า ประธานาธิบดีนิกสันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีวอเตอร์เกทหรือไม่
โดยได้มีนักข่าวสองคนจากหนังสือพิมพ์ Washington Post ที่ถือได้ว่ามีบทบาทสำคัญต่อการเปิดโปงคดีวอเตอร์เกท ซึ่งก็คือ บ็อบ วูดวาร์ด (Bob Woodward) และ คาร์ล เบิร์นสไตน์ (Carl Bernstein) นักข่าวสองคนนี้ได้อ้างว่า พวกเขาได้รับข้อมูลลับสุดยอดเกี่ยวกับคดีนี้ จากแหล่งข่าวที่มีชื่อว่า "Deep Throat" (ซึ่งจนถึงทุกวันนี้ ก็ยังไม่มีใครรู้ว่า Deep Throat คือใครกันแน่)
คาร์ล เบิร์นสไตน์ (ซ้าย) กับ บ็อบ วูดวาร์ด (ขวา) สองนักข่าวผู้ออกมาแฉคดีวอเตอร์เกท
สุดท้ายหลักฐานที่ได้มัดตัวนิกสันจนดิ้นไม่หลุดนั้น ก็คือการพบเครื่องดักฟังและเทปบันทึกเสียง ในห้องทำงานของนิกสันภายในทำเนียบขาว
โดยศาลได้ข้อร้องให้นิกสันส่งมอบเทปบันทึกเสียงนี้เพื่อใช้ในการสืบสวนคดี แต่ปรากฏว่านิกสันได้ปฏิเสธที่จะส่งมอบเทปบันทึกเสียงให้กับศาล โดยเขาได้อ้างว่า สิ่งที่พบในห้องทำงานของเขาไม่ใช่เทปบันทึกเสียง แต่มันคือ "ปืนกล่องบุหรี่" (Smoking Gun)
1
แน่นอนว่าศาลไม่เชื่อในคำกล่าวอ้างของนิกสัน และจากการสอบสวนเทปบันทึกเสียง ก็ได้ให้ข้อสรุปว่า ประธานาธิบดีนิกสันมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีวอเตอร์เกทจริง
เมื่อนิกสันตกเป็นผู้กระทำความผิด สถานะการเป็นประธานาธิบดีของเขาก็ต้องถึงจุดที่สิ้นสุดลงไปด้วย สภาคองเกรสสหรัฐฯ ได้เตรียมที่จะยื่นฟ้องร้อง Impeachment เพื่อถอดถอนนิกสันจากการเป็นประธานาธิบดี
แต่ในวันที่ 9 สิงหาคม 1974 นิกสันก็ได้ประกาศลาออกจากการเป็นประธานาธิบดีก่อนที่เขาจะถูก Impeachment ส่งผลให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีคนแรกในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ ที่ลาออกจากตำแหน่งก่อนหมดวาระ ส่งผลให้รองประธานาธิบดีอย่าง เจอรัลด์ ฟอร์ด (Gerald Ford) ต้องขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนใหม่แทน
นิกสันประกาศลาออกจากตำแหน่งประธานาธิบดี
ส่วนบทสรุปของคดีวอเตอร์เกทนั้น ก็ได้มีการพบผู้มีส่วนเกี่ยวข้องและกระทำความผิดมากกว่า 48 คน ซึ่งแต่ละคนก็ได้รับโทษที่แตกต่างกันไปสำหรับนิกสันเขากลับรอดจากการถูกพิจารณาคดี เนื่องจากได้รับอภัยโทษจากเจอรัลด์ ฟอร์ด
คดีวอเตอร์เกท กลายเป็นสิ่งที่สร้างความมัวหมองและฉาวโฉ่อย่างมากให้กับการเมืองสหรัฐฯ ส่งผลนิกสันกลายเป็นประธานาธิบดีที่อื้อฉาวมากที่สุดคนหนึ่งในประวัติศาสตร์ของสหรัฐฯ
*** Reference
#HistofunDeluxe
โฆษณา