24 ม.ค. 2022 เวลา 15:08 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
TECH INSIGHT : จับตาเทคโนโลยีผสมผสานกับการเมืองโลก ! บริษัทเทคโนโลยี, Startup และ Fintech กำลังถูกใช้เป็นอาวุธใน Tech War ระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกอย่าง "สหรัฐฯ-จีน" ประเด็นไหนที่นักลงทุนควรติดตามมองบ้าง ? มาดูกัน
📌 ในปัจจุบันนี้ ใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของโลกในเชิงลึกมาโดยตลอด หรือแม้แต่คนที่ไม่เคยติดตามข่าวสารรอบโลกเลย ก็คงพอจะรู้ได้ว่าโลกของเรานั้นกำลังอยู่ในยุคสงครามเย็นระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกอย่างสหรัฐฯ และจีน เพราะทุกวันนี้ความเคลื่อนไหวที่ขัดแย้งต่าง ๆ ของทั้ง 2 ยักษ์ใหญ่ได้ทวีความรุนแรงชัดเจนมากขึ้นจนปรากฏแก่สายตาสาธารณชน
3
การทำสงครามเย็นระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้นมีอยู่ในหลายแง่มุมมาก ๆ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องค่านิยม, อุดมการณ์แห่งชีวิต ไปจนถึงการทำสงครามทางเทคโนโลยี ซึ่งถือเป็น 1 ในส่วนที่สำคัญที่สุดของยุทธศาสตร์การทำสงครามเย็นในปัจจุบันของมนุษยชาติ
1
ขึ้นชื่อว่าสงครามเย็น หมายความว่าทั้ง 2 ฝ่ายจะไม่มีการใช้กำลังทหารหรือกำลังพลเรือนฆ่าล้างชีวิตกันโดยตรง ซึ่งหากยังเป็นเพียงแค่สงครามเย็นต่อไป ก็ถือว่ายังดีสำหรับมนุษย์โลก เพราะอย่างน้อยคนส่วนใหญ่ก็ยังสามารถใช้ชีวิตประจำวันตามปกติได้ แม้จะมีผลกระทบในหลายแง่มุม
หากจะให้อธิบายทุกแง่มุม บทความนี้คงยาวเหมือนงานวิจัยปริญญาเอกชิ้นหนึ่งเลย ดังนั้นวันนี้ World Maker จึงเลือกมาเจาะลึกเพียงแค่ประเด็นเดียวก็คือการใช้เทคโนโลยีมาเป็นสมรภูมิในสงครามเย็นยุคปัจจุบัน โดยจะมุ่งเน้นไปที่ 2 ประเทศคือสหรัฐฯ และจีน ซึ่งถือเป็น 2 มหาอำนาจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกตอนนี้
เราจะเห็นได้ว่าตั้งแต่ในอดีต สหรัฐฯ และ/หรือผู้ที่อยู่เบื้องหลังของสหรัฐฯ ใช้กลยุทธ์ในการคุมอำนาจเป็นเบอร์ 1 ของโลกผ่าน 4 ปัจจัยหลัก ๆ คือ
2
1. เงินดอลลาร์
2. การทหารและการทูต
3. เทคโนโลยี
4. ค่านิยมและอุดมการณ์ทางการเมือง
ซึ่งในแง่ของเทคโนโลยีนี้ หากเราย้อนอดีตกลับไปตั้งแต่ยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 ก็จะเห็นได้ว่ามันถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้สหรัฐฯ และชาติตะวันตกชนะสงคราม
📌 หลายคนคงเคยดูหนังเรื่อง "The Imitation Game" หรือชื่อไทยว่า "ถอดรหัสลับ อัจฉริยะพลิกโลก" ซึ่งเป็นหนังที่นำเสนอเรื่องจริงที่เกิดขึ้นในยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ของ อลัน ทัวร์ริง นักคณิตศาสตร์อัจฉริยะผู้ประดิษฐ์เครื่องไขรหัสลับจากเครื่องมือเข้ารหัสของ "นาซี" ที่ชื่อว่า "Enigma" ซึ่งเครื่องไขรหัสลับนี้ถูกเรียกว่า "Turing Machine" ต่อมาถูกใช้เป็นต้นแบบ (Prototype) ของการผลิตคอมพิวเตอร์ และพัฒนาต่อยอด/แตกแขนง มาเรื่อย ๆ จนทุกวันนี้เรียกได้ว่าเป็นส่วนหนึ่งในวิถีชีวิตของมนุษย์แล้ว
การไขรหัสลับของเครื่อง Enigma ทำให้สหรัฐฯ และสายสัมพันธมิตรสามารถถอดรหัสลับที่กลุ่มนาซีใช้เป็นภาษาติดต่อสื่อสารกัน ซึ่งทำให้พวกเขาพลิกเกมจากที่เสียเปรียบหนัก จนกลับมาเอาชนะฮิตเลอร์ และยุติสงครามโลกครั้งที่ 2 ลงได้
และเพียงแค่เรื่องเล่าสั้น ๆ นี้ ทุกคนคงเห็นแล้วว่าการเป็นผู้นำทางเทคโนโลยีของโลกนั้นหมายถึงอำนาจที่สูงแค่ไหน
ในทุกวันนี้ เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าบริษัทสัญชาติสหรัฐฯ กำลังเป็นผู้คุมส่วนแบ่งก้อนใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีหลัก ๆ ที่มนุษย์โลกใช้กันอยู่ ไม่ว่าจะเป็นเครือข่าย Social Media, ระบบ A.I., ระบบแผนที่โลก, ระบบโรงงานและนวัตกรรมอื่น ๆ ทั้งหมด หรือแม้แต่อุปกรณ์สื่อสารอย่างมือถือ
2
📌 เชื่อว่าคนไทยเกือบทุกคนในประเทศล้วนเคยใช้ google หรือใช้เครื่องคอมที่มี windows เป็นระบบปฏิบัติการ ซึ่งล้วนแต่เป็นของสหรัฐฯ ทั้งสิ้น ดังนั้นลองจินตนาการดูว่าในยุคปัจจุบันนี้ หากเราไม่มีเทคโนโลยีของสหรัฐฯ จะทำให้คนไทยประสบผลกระทบแค่ไหน (ซึ่งในบริบทจริง ๆ แล้วไม่ใช่แค่ในไทย แต่รวมถึงทั้งโลก)
ส่วนทางฝั่งจีนนั้น จะโดดเด่นอย่างมากในเรื่องของการค้าขาย ซึ่งทุกวันนี้เรียกได้ว่าทุกประเทศบนโลก รวมถึงสหรัฐฯ เอง จะต้องพึ่งพาสินค้าจากจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นการผลิตอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ ไปจนถึงเสื้อผ้า และเครื่องใช้ต่าง ๆ
แม้แต่บริษัทของสหรัฐฯ หลายแห่ง ก็ต้องพึ่งพาประเทศจีนเป็นพื้นที่ในการผลิตและออกขายสินค้า ยกตัวอย่างเช่น Tesla ของ Elon Musk ซึ่งเติบโตอย่างต่อเนื่องและถือเป็น 1 ในหุ้นที่โดดเด่นที่สุดตลอด 5 ปีที่ผ่านมา โดย Tesla นี้สามารถใช้ตลาดภายในประเทศจีนเป็นตัวเร่งยอดขายรถยนต์ไฟฟ้า จนทำให้มูลค่าของบริษัทเติบโตอย่างทวีคูณ ขณะที่จีนเองก็ถือเป็นตลาดรถยนต์ไฟฟ้าที่ใหญ่ที่สุดในโลกเลยทีเดียว ณ ตอนนี้
1
📌 อนึ่ง กระแสความขัดแย้งระหว่างสหรัฐฯ และจีนนั้น เริ่มทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ตลอด 10 ปีที่ผ่านมา โดยตรงนี้ไม่ขอลงรายละเอียดทั้งหมด เพราะจะยาวมาก แต่ขอสรุปให้ฟังสั้น ๆ ว่า ตั้งแต่ที่จีนฟื้นตัวจากสงครามฝิ่นของอังกฤษและกู้เศรษฐกิจมาได้ถึงจุดหนึ่ง ในช่วงปี 1979 จีนก็เริ่มกลับมาเปิดการค้ากับต่างประเทศ ซึ่งนักลงทุนในสหรัฐฯ ถือเป็นนักลงทุนต่างชาติกลุ่มแรก ๆ ที่เข้าไปลงทุนในประเทศจีน
และในตอนนั้นเอง ก็ได้มีการนำเอาองค์ความรู้ นวัตกรรม และเทคโนโลยีของชาติตะวันตก ซึ่งถือว่าก้าวหน้าที่สุดในโลก ณ ตอนนั้น เข้าไปเผยแพร่สู่ประเทศจีน ขณะที่จีนเองยื่นเงื่อนไขว่านักลงทุนต่างชาติสามารถเข้ามาหาประโยชน์ได้ แต่ต้องช่วยให้ชาวจีนเจริญรุ่งเรืองขึ้นไปด้วย ยกตัวอย่างเช่น หากจะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศ ก็ต้องจ้างคนจีนไปทำงาน ตามปริมาณหรือตำแหน่งที่วางเงื่อนไขเอาไว้
ซึ่งจุดนั้นเอง ทำให้จีนเริ่มพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หลังจากเผชิญสงครามฝิ่นในช่วงปี 1828-1836 จนประเทศเกือบล่มสลาย โดยหากนับมาถึงปี 1979 ที่จีนเริ่มเปิดประเทศ มันหมายความว่าจีนต้องใช้เวลาฟื้นฟูตัวเองกว่า 100 ปีเลยทีเดียว เพราะความเสียหายจากสงครามฝิ่นนั้นแสนสาหัสมากจนเรียกได้ว่าประเทศเกือบล่มสลายอย่างแท้จริง
ชาวจีนกว่าครึ่งประเทศติดฝิ่นจนเลื่อนลอยและไม่ยอมทำงาน ซึ่งเราคงไม่ต้องสงสัยเลยว่าเรื่องนี้สร้างความแค้นใจอย่างมากให้แก่บรรพบุรุษของชาวจีน โดยเฉพาะความแค้นที่มีต่อประเทศอังกฤษ และความแค้นดังกล่าวยังคงถูกสืบเนื่องมาจนถึงยุคปัจจุบันนี้
ดังนั้น เมื่อกลับมาเปิดประเทศได้แล้ว จีนใช้โอกาสนี้ ในการทำสิ่งที่นักวิเคราะห์หลายคนเรียกว่า Copy & Developement (C&D) หรือกล่าวคือการนำข้อมูล องค์ความรู้ เทคโนโลยี และนวัตกรรมของสหรัฐฯ และชาติตะวันตก มาพัฒนาต่อยอด เพื่อสร้างเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ ๆ ที่มีความก้าวหน้ามากกว่าเดิม
📌 การ C&D ของจีนทำให้ประเทศพัฒนาอย่างก้าวกระโดด เนื่องจากจีนนั้นได้เปรียบชาติตะวันตกตรงที่มีกำลังคนหรือจำนวนประชากรมากที่สุดในโลกกว่า 1.4 พันล้านคน และด้วยการบริหารแบบเผด็จการ ซึ่งมีข้อดีคือสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเทียบกับระบอบประชาธิปไตย ทำให้ในยุคปัจจุบันจีนกลายเป็น 1 ในประเทศที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การค้า และเทคโนโลยี
1
(ในที่นี้ เราไม่ได้ชี้นำว่าระหว่างการปกครองด้วยประชาธิปไตยหรือเผด็จการ แบบไหนจะดีกว่ากัน เพราะทั้ง 2 แนวคิดมีทั้งข้อดี-ข้อเสียในตัวมันเอง แต่เราเลือกพูดถึงเฉพาะจุดสำคัญที่ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงของจีน)
ประกอบกับช่วงเวลาเดียวกันนี้ ประเทศอังกฤษได้เริ่มถอนอำนาจอาณานิคมของตัวเองออกไปจากทางฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะฮ่องกง อดีตแผ่นดินของจีนที่ตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษมาตั้งแต่ยุคสงครามฝิ่น
2
นั่นทำให้จีน ที่ทำ C&D มาตลอด 70 ปีจนมีเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นของตัวเอง สามารถวางจุดยืนที่แข็งกร้าวต่อชาติตะวันตกได้มากขึ้น และจากนั้นไม่นานจีนก็สามารถผลักตัวเองจนขึ้นมาเป็นมหาอำนาจเบอร์ 2 ของโลกได้ ขณะที่ปัจจุบันนั้นคือการทำสงครามเพื่อแย่งชิงความเป็นเบอร์ 1 บนโลกจากสหรัฐฯ อยู่
1
📌 เราจะเห็นได้ว่าในปัจจุบัน ประเทศจีนมีบริษัททางด้านเทคโนโลยีมากมายที่เริ่มมีอิทธิพลต่อคนไทย (รวมถึงคนทั้งโลก) มากขึ้นเรื่อย ๆ โดยเฉพาะ Alibaba, Tencent, Huawei, ฯลฯ
อิทธิพลของเทคโนโลยีจีนในปัจจุบันนั้น แม้จะยังเทียบกับสหรัฐฯ ไม่ได้ในแง่ของการครอบครองส่วนแบ่งโลก และนวัตกรรมเทคโนโลยีระดับ Hi-Ends แต่สิ่งที่เป็นประเด็นก็คือ ในหมวดหมู่เทคโนโลยีแห่งอนาคตนั้น มีหลายด้านที่จีนได้ก้าวนำสหรัฐฯ ไปแล้ว ยกตัวอย่างเช่น การที่ Huawei เป็นผู้ครอบครองสิทธิบัตรในเทคโนโลยีสำคัญที่ใช้ในระบบ 5G ซึ่งกำลังจะมาเป็นเทรนด์หลักของโลกในเร็ว ๆ นี้
ส่วนในเรื่องของเทคโนโลยีที่ยังไกลสายตาผู้คนทั่วไปอย่าง Quantum Technology นั้น ล่าสุดก็ดูเหมือนว่าประเทศจีนจะเป็นผู้นำในเรื่องนี้ เนื่องจากงานวิจัยล่าสุดที่จีนเปิดเผยออกมา ระบุว่า Quantum Computer ของจีนนั้นมีประสิทธิภาพมากกว่าของสหรัฐฯ ถึงหลายเท่า (ซึ่งตรงนี้หลายคนกล่าวว่ายังไม่น่าเชื่อถือ และยังไม่ใช่ประเด็นถกเถียงหลัก เพราะทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่เคยเปิดเผยรายละเอียดหรือการใช้งานจริงของ Quantum Computer ออกมาให้สาธารณะชนได้เห็นเลย)
3
และประเด็นหนึ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยก็คือ "ไต้หวัน" ซึ่งตอนนี้กำลังเป็นสมรภูมิเดือดที่สหรัฐฯ-จีน กำลังแย่งชิงอำนาจกัน เนื่องจากไต้หวันนั้นครอบครอง TSMC ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิป (Semiconductors) ที่มีความทันสมัยมากที่สุดในโลก
การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยีนั้นเกิดขึ้นตลอดทุกวันในช่วงชีวิตของมนุษย์ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะเป็นไปทีละนิด จึงทำให้ผู้คนไม่ได้ตื่นตัวที่จะจับตาความเคลื่อนไหวแบบรายวัน
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ COVID-19 เริ่มอุบัติขึ้นบนโลกใบนี้ แม้แต่คนที่ไม่เคยอ่านข่าวรอบโลก ก็คงสัมผัสได้ว่าเรากำลังก้าวเข้าสู่โลกที่ Digital มีบทบาทสำคัญกว่าเดิมอย่างมาก
พร้อมกันนี้ ใครที่ติดตามข่าวการเมืองโลกมาโดยตลอด ก็จะรู้ว่าระหว่างสหรัฐฯ-จีน นั้นเกิดสงครามเย็นขึ้นในหลายแง่มุม โดยเฉพาะการที่สหรัฐฯ เริ่มสั่งคว่ำบาตรบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ต่าง ๆ ของจีน ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต่อเนื่องตลอดช่วง 5 ปีที่ผ่านมา
และด้วยการที่สหรัฐฯ ครองอำนาจทางการทูตของโลกอยู่ ทำให้การสั่งคว่ำบาตรใด ๆ นั้นส่งผลกระทบอย่างมากต่อประเทศคู่อริ เนื่องจากอำนาจของเงินดอลลาร์ในระบบการเงินโลก และความต้องการใช้เทคโนโลยีของสหรัฐฯ ทำให้ประเทศอื่น ๆ ที่ไม่ใช่มหาอำนาจจำเป็นต้องทำตามความต้องการทางการเมืองของสหรัฐฯ ไม่อย่างนั้นจะเผชิญภาวะเงินทุนไหลออก และโดนคว่ำบาตรทางการเงิน รวมถึงเทคโนโลยี
1
แน่นอนว่าประเทศใดที่โดนสหรัฐฯ คว่ำบาตรนั้น แทบจะไม่มีสิทธิกลายเป็นประเทศก้าวหน้าได้เลยในกฏเกณฑ์ของโลกยุคปัจจุบันนี้ โดยเฉพาะหากประเทศนั้นมีความอ่อนแอทางการเงินอยู่แล้ว จะโดนผลกระทบจนกลายเป็นประเทศล่มสลายได้เลยทีเดียว
1
(ณ จุดนี้ โปรดเข้าใจว่าเราไม่ได้กล่าวว่าสหรัฐฯ กำลังกดขี่ข่มเหงประเทศอื่นโดยการใช้อำนาจที่มีอยู่ เพียงแต่เรากำลังนำเสนอว่าในความเป็นจริงแล้วอำนาจที่สหรัฐฯ มี นั้นมากมายจนสามารถสร้างความเสียหายมหาศาลให้แก่ฝ่ายตรงข้ามได้ ส่วนความเป็นจริงหรือข้อเท็จจริงเรื่องการกดขี่ข่มเหงชนชาติอื่นของสหรัฐฯ-จีนนั้น ท่านผู้อ่านควรไป Research ข้อมูลและตัดสินเอาด้วยตัวเองครับ)
📌 ในบริบทระหว่างสหรัฐฯ-จีนนั้น ที่ประเทศจีนยังยืนอยู่ได้ทุกวันนี้ เป็นเพราะจีนนั้นมีจุดแข็งหลายอย่างที่เป็นเอกลักษณ์และเป็นจุดแข็งเพียงไม่กี่อย่างที่สหรัฐฯ ไม่มีเหมือนกับจีน นั่นก็คือ
1. จีนเป็นประเทศที่ทำการค้าขายเก่งมาก อาจจะเรียกได้ว่าเก่งที่สุดในโลก และได้ใช้จุดแข็งตรงนี้ สร้างอิทธิพลที่ทำให้ประเทศอื่น ๆ ต้องการสินค้าจากจีนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ โดยเฉพาะสหรัฐฯ เอง ทุกวันนี้มีการพึ่งพาสินค้าและการผลิตจากจีนสูงมากที่สุดในโลก
2. จีนมีกำลังประชากรมากที่สุดในโลก ดังนั้นต้นทุนในการผลิต และกำลังการผลิต หรือการพัฒนาใด ๆ จึงมีมากกว่าสหรัฐฯ ที่มีประชากรประมาณ 330 ล้านคน
3. จีนเป็นผู้ควบคุม Rare Earth Supply รายใหญ่ของโลก ซึ่งครอบคลุมอยู่กว่า 85% ของ Supply แร่หายากทั่วโลกเลยทีเดียว และ Rare Earth นี้ถือเป็นจุดที่สำคัญมาก ๆ เพราะมันเป็นแร่ที่มนุษยชาติต้องใช้เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีในยุค Digital Economy
4. จีนมีการปกครองแบบเผด็จการ ซึ่งกระบวนการทำงานของเผด็จการนั้นสามารถจัดการสิ่งต่าง ๆ ได้รวดเร็วกว่าระบอบแบบประชาธิปไตย ดังนั้นในกรณีที่จีนได้ผู้นำที่ดีอย่างแท้จริง (ไม่คอรัปชั่น) หมายความว่าประเทศจีนจะสามารถออกกฏหมายหรือคำสั่งใด ๆ เพื่อพัฒนาประเทศได้เร็วกว่าสหรัฐฯ
5. ทั้งหมดที่กล่าวมา ทำให้จีนสามารถใช้เงินหยวนเป็นไม้ตายได้ หากโดนคว่ำบาตรจากเงินดอลลาร์ขั้นรุนแรงจริง ๆ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจีนจะไม่ได้รับผลกระทบเลย
6. จีนได้มีการเข้าไปถือพันธบัตรดอลลาร์อยู่มากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยตอนนี้ถือครองอยู่กว่า 1.08 ล้านล้านดอลลาร์ (อันดับ 1 คือญี่ปุ่นซึ่งถืออยู่ 1.3 ล้านล้านดอลลาร์) ดังนั้นหากมีสงครามขั้นรุนแรงเกิดขึ้นจริง ๆ การเทขายพันธบัตรดอลลาร์ของจีนจะสามารถสร้างความเสียหายให้แก่สหรัฐฯ ได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
7. จีนมีการพัฒนาเงินหยวนดิจิทัลก้าวหน้าเป็นอันดับต้น ๆ ของโลก โดยหากนับแค่ประเทศมหาอำนาจ ถือว่าจีนกำลังล้ำหน้าโลกมากที่สุดในเรื่องสกุลเงินดิจิทัลของธนาคารกลาง (CBDC) และเจ้าดิจิทัลหยวนนี้ใช้เทคโนโลยี Blockchain ซึ่งถือเป็นเทคโนโลยีสำคัญที่มีแนวโน้มสูงจะเข้ามาพลิกโฉมโลกการเงินในอนาคต เนื่องจากตัวระบบนั้นสามารถคำนวณ/ถ่ายโอนข้อมูลขนาดใหญ่ได้โดยใช้เวลาน้อยกว่าระบบดั้งเดิมแบบ Swift ที่กำลังใช้กันอยู่ในทั่วโลก ณ ตอนนี้อย่างมาก
1
8. เมื่อทั้งหมดรวมเข้ากับการที่จีนกำลังพัฒนาเทคโนโลยีสำคัญเป็นของตัวเอง นั่นทำให้จีนแข็งแกร่งต่อการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ขึ้นอย่างมาก เพราะการทุกคนประเทศต้องค้าขายกับจีน หมายความว่าหากโดนคว่ำบาตรจริง ๆ จีนสามารถยื่นคำขาดกับประเทศอื่น ๆ ให้ใช้เงินหยวนเป็นสื่อกลางแทนดอลลาร์ได้ และการเข้ามาของ Digital Yuan ก็จะช่วยให้ระบบการชำระเงินในอนาคตของจีนไม่ต้องพึงพาระบบ Swift นั่นเอง
1
9. ทั้งนี้ หากความตึงเครียดระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกเพิ่มขึ้นอีก ประชาชนทั่วโลกอาจได้เห็นสินค้าหรือบริการหลาย ๆ อย่างหายไปจากชีวิตประจำวัน เพราะหลายคนไม่รู้ว่าแม้แต่ชิปในคอม แบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า หรือชิปในอุปกรณ์มือถือหลายล้านเครื่องทั่วโลก ก็ใช้การผลิตภายในประเทศจีนแม้จะเป็นเทคโนโลยีที่สหรัฐฯ เป็นเจ้าของสิทธิบัตร
1
📌 การที่ประเทศไทยนั้นถือเป็นจุดกึ่งกลางระหว่างการเมืองโลก ทำให้คนไทยหลายคนยังมองไม่เห็นถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสมรภูมิใหญ่ แต่ถ้าหากความขัดแย้งทวีความรุนแรงขึ้นกว่านี้ เราอาจจะเห็นได้การแยกตัว (Decoupling) ทางเทคนิคโนโลยีระหว่าง 2 มหาอำนาจโลกมากขึ้น
ตอนนี้ยุทธศาสตร์หลักของจีนกำลังอยู่ที่การสร้างบริษัทเทคโนโลยีและ Startup รุ่นใหม่ ๆ เพื่อกลายเป็น Soft Power ให้กับจีนในอนาคต โดยตลอดปี 2021 ที่ผ่านมา เราจะเห็นได้ว่ารัฐบาลปักกิ่งมีการปฏิวัติกฏหมายทางด้านเทคโนโลยีและเศรษฐกิจครั้งใหญ่ โดยเฉพาะการสงวนเทคโนโลยีที่มีความสำคัญในเชิงยุทธศาสตร์และความมั่นคงของประเทศ
ขณะที่ทางฝั่งสหรัฐฯ เอง มีการเร่งพัฒนานวัตกรรมระดับ Hi-Ends อย่างเช่น หุ่นยนต์, A.I., Machine Learning, Quantum Computer และ Semiconductors โดยทั้งหมดนี้ถือว่ามีความสำคัญเชิงยุทธศาสตร์ทั้งสิ้น
จีนเริ่มสร้างและผลักดันให้บริษัทเทคโนโลยีต่าง ๆ ก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทขนาดใหญ่ ยกตัวอย่างเช่น Alibaba และ Tencent เองก็ถือเป็นบริษัทที่รัฐบาลจีนให้การสนับสนุนจนเติบโตขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีโลก ขณะเดียวกันก็ผลักดันให้เกิด Startup ใหม่ ๆ ในอุตสาหกรรมที่เป็นเทคโนโลยีแห่งอนาคต ยกตัวอย่างเช่น TikTok ของ ByteDance Ltd. ที่ตอนนี้กลายเป็นแอปฯ วิดีโอสั้นที่ได้รับความนิยมจากทั่วโลก
📌 นับเป็นเวลามากกว่า 20 ปีแล้วที่จีนเริ่มใช้แนวทางเดียวกับ Silicon Valley ซึ่งก็คือการสร้างและผลิตเทคโนโลยีสำคัญเป็นของตัวเอง (สร้างเองใช้เอง) และการผลักดันนี้ทำให้จีนประสบความสำเร็จอย่างดีเยี่ยมในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
จนมาถึงจุดที่สหรัฐฯ เริ่มเห็นความสำคัญตรงนี้ และประกาศคว่ำบาตรจีนไม่ให้เข้าถึงเทคโนโลยีต่าง ๆ ของสหรัฐฯ รวมถึงการคว่ำบาตร Huawei ไม่ให้สามารถเข้าถึงบริษัทพื้นฐานที่เป็นของสหรัฐฯ ได้อยางเช่น google map
แม้จีนจะพัฒนาเทคโนโลยีของตนเองมาได้ถึงจุดนึง แต่ก็ต้องยอมรับว่าสหรัฐฯ ยังครองอำนาจสูงสุดในอุตสาหกรรมเทคโนโลยี และนั่นทำให้การสั่งคว่ำบาตรของสหรัฐฯ สร้างความเสียหายอย่างหนักต่อบริษัทต่าง ๆ ของจีน
ดังนั้นแล้ว เราจะสังเกตได้ว่าความเคลื่อนไหวของจีนตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือการมุ่งเน้นเพื่อปรับโฉมภาคเทคโนโลยีของประเทศไปจากเดิม ซึ่งที่สำคัญที่สุดเลยก็คือการสร้างเทคโนโลยีที่ทัดเทียมกับสหรัฐฯ เพื่อใช้เองภายในประเทศ
ในปี 2018 จีนได้ประกาศผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีอย่างจริงจังกว่าเดิม โดยวางแผนจะสร้างบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านเทคโนโลยีเพิ่มอีก 600 แห่ง ซึ่งจะมุ่งเป้าไปที่เทคโนโลยีสำคัญทั้งหมด
ปัจจุบันจีนมีบริษัทเทคขนาดใหญ่อยู่ประมาณ 4,800 แห่ง ซึ่งส่วนใหญ่จะอยู่ในอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เครื่องจักร และเภสัชกรรม
โดยรวมแล้ว จีนวางแผนจะลงทุนอีกหลายล้านล้านดอลลาร์ เพื่อพัฒนาให้ประเทศกลายเป็นมหาอำนาจเบอร์ 1 ของโลก และมีความเป็นอิสระทางเทคโนโลยีจากสหรัฐฯ
📌 บริษัท SMIC หรือ Semiconductor Manufacturing International Corp. ของจีน ซึ่งเป็นบริษัทผลิตชิปที่ก้าวหน้าที่สุดของจีน โดนสหรัฐฯ สั่งคว่ำบาตรพร้อม ๆ กับ Huawei ซึ่งทำให้ทั้ง 2 ไม่สามารถเข้าถึง (ซื้อ) ส่วนประกอบทางเทคโนโลยีที่เป็นของสหรัฐฯ ได้ ยกตัวอย่างเช่น Chipset และ Industrial Software ต่าง ๆ ซึ่งทำให้สูญเสียอำนาจในการแข่งขันไปอย่างมาก
ตอนนี้ SMIC กำลังปรับโฉมตัวเอง และเร่งทำ R&D เพื่อพัฒนานวัตกรรมการผลิตชิปไปสู่ระดับ Hi-Ends ให้ทัดเทียมกับ TSMC ของไต้หวัน แต่คาดว่าจะยังต้องใช้เวลาอีกอย่างน้อย 5-10 ปี เนื่องจากการผลิตชิปที่ทันสมัยนั้นมีความซับซ้อนทางกระบวนการอย่างมาก และตอนนี้ TSMC ถือว่านำหน้าโลกไปมากทีเดียว
ผลลัพธ์จากการผลักดันเทคโนโลยีของจีนก็คือ มีบริษัทหลายแห่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมาก ยกตัวอย่างเช่น บริษัท ForwardX Robotics ซึ่งก่อตั้งในปี 2016 และตอนนี้เป็นเจ้าของสิทธบัตรทางเทคโนโลยีมากกว่า 121 ฉบับทั่วโลก รวมถึง 25 ฉบับในสหรัฐฯ อเมริกา
โดยสรุป นวัตกรรมที่จีนกำลังพัฒนาอยู่ตอนนี้ มีรายละเอียดสำคัญคือ
1. ผลักดัน Startup ให้กลายเป็น Big Tech โดยทางรัฐบาลระบุว่าภายในปี 2025 ประเทศจีนจะมีบริษัทเทคโนโลยีหลัก ๆ ของประเทศประมาณ 10,000 แห่ง จากเพียง 4,762 แห่งในปี 2019
2. การปรับโครงสร้างพื้นฐานใหม่ และการสร้าง Smart Citiy โดยทางการจีนระบุว่าจะลงทุนประมาณ 1.4 ล้านล้านดอลลาร์ในช่วงปี 2020-2025 เพื่อวางเครือข่าย 5G, ติดตั้งกล้องวงจรปิด/กล้อง Sensor และพัฒนา A.I. Software
1
3. ยุทธศาสตร์ระดับชาติของจีน ระบุว่ารัฐบาลจะเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตขั้นสูง ซึ่งรวมถึงการบิน/อวกาศ, เซมิคอนดักเตอร์ และพลังงานสะอาด เช่น รถยนต์ไฟฟ้า
4. การสร้างเทคโนโลยีสารสนเทศใช้เองภายในประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่มีความละเอียดอ่อนสูง อย่างเช่น ระบบการธนาคารและรัฐบาล ซึ่งนักวิเคราะห์มองว่า Market Cap ของบริษัททางด้านเทคโนโลยีสารสนเทศของจีนเพียงอย่างเดียว จะเติบโตจนมีมูลค่าอย่างน้อย 1.25 แสนล้านดอลลาร์ภายในปี 2025
5. การเร่งเปิดตัวดิจิทัลหยวนอย่างเป็นทางการ เพื่อให้จีนเป็นประเทศมหาอำนาจแห่งแรกของโลกที่ประกาศใช้สกุลเงินดิจิทัล
6. เร่งการจัดตั้ง/พัฒนาอุตสาหกรรมวิทยาศาสตร์ ซึ่งบริษัทต่าง ๆ ที่มีผลงานดีจะได้รับการสนับสนุนเป็นพิเศษจากรัฐบาล ยกตัวอย่างเช่น การลดหย่อนภาษี และการสนับสนุนทางการเงิน โดยเฉพาะการทำ R&D
📌 บริษัท Startup ของจีนสามารถระดมทุนได้มหาศาลตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมา แม้ว่าจะมีความตึงเครียดกับสหรัฐฯ อยู่ และยังทำให้บริษัทเหล่านี้มีมูลค่าเพิ่มขึ้นระหว่าง 50-75% เลยทีเดียว
นอกจากนี้ การร่วมกิจการหรือการร่วมทุน (Joint Venture) ในประเทศจีน ยังทำสถิติสูงสุดตลอดกาลที่กว่า 1.3 แสนล้านดอลลาร์ในปี 2021 ซึ่งคิดเป็นการเติบโตกว่า 50% เลยทีเดียว
แต่ทั้งหมดนี้ ไม่ได้หมายความว่าสหรัฐฯ กำลังนิ่งเฉย เพราะตอนนี้สหรัฐฯ เองได้วางยุทธศาสตร์ทางเทคโนโลยีแล้วเช่นกัน ซึ่งแม้จะยังไม่เปิดรายละเอียดออกมามาก แต่ก็เป็นที่ชัดเจนว่าความตึงเครียดระหว่างทั้ง 2 ประเทศกำลังสูงขึ้น และในอนาคตน่าจะมีการประกาศคว่ำบาตรจีนมากขึ้นอีก
1 ในประเด็นที่สำคัญมากที่สุดตอนนี้ ก็คือการที่ Alibaba กำลังถูกรัฐบาลสหรัฐฯ เล็งเป้าให้ออกจากตลาดหุ้นสหรัฐฯ ไป ขณะที่ทางการจีนเองก็พยายามดึงบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งออกจากตลาดของสหรัฐฯ และนำมาจดทะเบียในตลาดฮ่องกงแทน
ซึ่งความตึงเครียดตรงนี้ แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าเกี่ยวกับยุทธศาสตร์เรื่องการพึ่งพาเงินดอลลาร์มากเพียงใด (เนื่องจากถ้าหากบริษัทของจีนออกจากตลาดสหรัฐฯ มาจดทะเบียที่ตลาดฮ่องกงนั้น สกุลเงินที่ใช้ซื้อหุ้นจะถูกเปลี่ยนจากดอลลาร์สหรัฐฯ เป็นดอลลาร์ฮ่องกง ซึ่งเป็นสกุลเงินที่จีนคุมหลังอยู่อีกที และจะถือเป็นการดึงกระแสเงินทั่วโลกมาสู่อำนาจของเงินหยวนมากขึ้น
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมานี้ เป็นเพียงรายละเอียดที่สำคัญเล็ก ๆ น้อย ๆ ในหลายมิติของการทำสงครามเย็นยุคปัจจุบันของ 2 มหาอำนาจโลก ดังนั้นจึงถือเป็นที่น่าจับตามองอย่างมากเลยทีเดียวว่าในอนาคตจะมีความเคลื่อนไหวจากรัฐบาลทั้ง 2 ประเทศอย่างไร ซึ่งไม่ว่าความตึงเครียดจะดำเนินไปในรูปแบบใด ก็จะส่งผลกระทบต่อทั่วโลกอย่างแน่นอนในทางใดทางหนึ่ง
1
และนั่นคือสิ่งที่ World Maker จะนำอัปเดตสำคัญมากรายงานให้ทราบตลอดปีนี้เลยทีเดียวครับ
ทันโลก ทันเหตุการณ์ ทันข่าวสารที่แท้จริงไปกับ World Maker
🙏 ขอบคุณทุกท่าน 🙏 ที่ติดตาม World Maker ฝากกด Like และ Share เพื่อเป็นกำลังใจและให้นักลงทุนท่านอื่นได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์เหล่านี้ด้วยนะครับ ขอบคุณครับ 😊
References :
โฆษณา