26 ม.ค. 2022 เวลา 06:53 • ปรัชญา
เริ่มต้นมาตั้งแต่เกิด ก็มาด้วยอยใกล้วัด เห็นวัดมาตั้งแต่เด็ก โรงเรียนก็อยู่ใกล้วัด เทศกาลวันพระสำคัญ แม่กพาไปทำบุญ นั่งรอพระ นั่งเล่นตรงนั้น นั่งจนเมื่อยกว่าพระจะมา กว่าพระรับประเคน ฉันภัตตาหาร ที่ญาติโยมถวาย กว่าพระจะให้พร อนุโมทนา อุทิศส่วนกุศล ก็รู้สึกว่ามันนาน ก็ตามแม่ไปไม่รู้เรื่องราวอะไร แม่ก็รู้ว่าทำบุญทำทานไปตามประเพณี อุทิศส่วนกุศลให้ปู่ย่าตายาย ก็ไม่รู้จักบุญุทานจริงๆเป็นอย่างไร ที่บ้านก็มีหิ้งพระน้อย แค่ยกมือไหว้ ก็เสร็จแล้วไปทำงานแม่บ้านไป ส่วนตัวเองแม่ก็สอนให้กราบพระก่อนนอนมาแต่เด็ก ก็เลยทำมาตลอด แค่รู้สึกว่าต้องกราบพระพุทธเจ้า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ทำไปตามเรื่องราวไปตามที่เห็นเค้าทำ ไม่ได้ไปรู้จักที่มาที่ไปอย่างไร รู้แค่ว่าทำแบบนี้ดี แต่ก็ไม่รู้อีกว่า จะดีอย่างไร มันไม่รู้มองเห็น จับต้องไม่ได้ในสิ่งที่ว่าดีนี่น่ะ
สมัยเด็กเจอเด็กๆ ที่เล่นด้วยกัน เจอเพื่อนเด็ก ก็เห็นสีสายสิญจน์ ตะกรุด มีพระมีเหรียญอะไร คล้องคอพวกเพื่อนๆ เด็กๆก็คุยอวดกันเรื่องสรรพคุณอวดศักดาของที่คล้อง ก็เล่นสนุกสนานกันต่อไป ของที่คล้องก็ไม่รู้ว่าเอามาคล้องทำไม คล้องไปเพื่ออะไร ทำให้เกิดอะไร พอโตขึ้น ก็ค่อยๆ เห็นผู้ใหญ่ หยิบสายสร้อยจะมาคล้องคอ ต้องอาราธพระเสียก่อน บางคนก็ท่องคาถา บางคนก็ขอโชคลาภ แม้แต่โจรจะออกปล้น จะไปสร้างกรรม ก็อาราธนาพระ เห็นแล้วก็สงสัย ว่าพระท่านจะรู้มั้ยคนจะไปทำชั่ว ยังอาราธนาพระ แล้วพระจะไปช่วยจริงหรือ
พอโตขึ้นก็อยากรู้จักโลก เที่ยวไปกินเหล้าไปเรื่อย ไปสถานที่อโคจรประมาณสี่สิบปีที่แล้ว ถูกคนเค้าเอาปืนจ่อหน้า ที่จริงมันเมา เราก็ดูมันเฉยๆ คนเอาปืนจ่อ ถามว่า ไอ้น้อง..มาเที่ยวสนุกมั้ย เราก็ได้แค่ตอบว่า สนุกมากเลยครับพี่ มันก็ก็เอาปืนลง หัวเราะชอบใจมาโอบกอดเสียอีก แหม..แค่จะถามว่ามากินเหล้าสนุกมั้ย ทำไมต้องเอาปืนมาจ่อกันด้วย
พอโตมาอีก เริ่มว่ากินเหล้ามากไป หาเรื่องหยุดมันเสียบ้าง เข้าพรรษาก็ขอหยุดกินเหล้า พอใกล้ออกพรรษา ใจมันเหมือนอยากกินเหล้า แหม..ออกพรรษาต้องไปฉลอง เสียหน่อย เพื่อนๆก็รอ เวลาออกพรรษา พอออกพรรษาปุ๊บ ลาบอกกล่าว ว่าทำครบแล้วนะ ออกพรรษาลาแล้ว ก็ฉลองหยุดเหล้าสามเดือน เมาเละเทะไปเลย กินให้หายอยากไปเลย
พอชีวิตการทำงาน มันก็อยู่กับพื้นนำ้กับท้องฟ้าเสียเป็นส่วนใหญ่ จะไปทำงานก็ขนหนังสือหนังหาลงไปด้วย เรื่องลมปราณ เรื่องสมาธิ ขนลงไปอ่าน เพื่อลองไปทำยามว่าง ก็มาลองทำดู ลมปราณก็ลองฝึก อานาปาณสติ ก็ลองหลายวิธี แต่ก็ไม่ค่อยได้เรื่องได้ราวอะไร เรื่องแม่ย่านางเห็นตอนแรกๆรู้สึกกลัว นอนๆอยู่มีคนมานอนทับ ถามว่าใคร ก็แสดงภาพเป็นแขกยิ้ม ฟันขาวผมหยิก บอกว่าขอนอนด้วยนะ ก็นอนด้วยกัน เหมือนเพื่อนนอนหันหลังชนกันไปทั้งคืน จะไปเล่าให้ใครฟังมันก็ต้องว่าเราบ้า มันเจอเรื่องราวแปลกหลายเรื่อง นั่งสมาธิก็มีคนแต่งชุดไทยเอาขนมใส่มาชิ้นหนึ่งยื่นมาตรงหน้า ก็เอามาให้บ่อย ผู้หญิงแต่งชุดกิโมโน ก็เดินมาเรียกเอาน้ำชามาให้เกือบทุกวันร่วมเดือน เจออย่างนี้ บ่อยๆ ชักไม่ค่อยแน่ใจอะไรมันเกิดขึ้นกับเรา
เรื่องพวกนี้ ถ้าไปปรึกษาจิตแพทย์ คงโดนจัดหนัก ยาระงับประสาทกดความรู้สึกรับรู้ ว่าสารเคมีในสมองไม่เท่ากันตามหลักสูตรที่เค้าเรียนมาจดจำมาตามหลักสูตร ยังไงเราก็ไม่ไปปรึกษาจิตแพทย์หรอก เพราะเค้าไม่มาฝึกหัดกับเราด้วยนี่น่ะ ดีนะมีพระท่านบอกว่า เห็นอะไรอย่าไปเล่าให้ใครฟัง เดี๋ยวเค้าหาว่าเราบ้าแน่นอน เหมือนกับคนที่ฝึกหัดปฏิบัติธรรมใหม่ มือใหม่ บางคนมีสัญญาเก่ามาดี มีนิมิตดีเกิดขึ้น แต่ไม่เข้าใจ ไปถามคนนั้นคนนี้ด้วยความสงสัย ไปสอบถามคนที่ไม่เค้าไม่ได้ปฏิบัติธรรม หรือ ทำผิดทาง ไปพวกเกจิอาจารย์ นักท่องคาถาอาคม เจ้าพ่อเจ้าแม่ ก็แนะนำเข้ารกเข้าพงไปก็มีมากมาย ไปปรึกษานักอ่านคำภีร์ตำราที่ไม่ประพฤติปฏิบัติธรรม เค้าก็ไม่รู้เรื่องราวอะไร มีแต่รู้จำมา ว่าอย่างนั้นอย่างนี้เท่านั้นเองน่าเสียดายโอกาสที่จะได้เดินมาถูกทาง ตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
จนมาอยู่ช่วงหนึ่ง ลาออกจากงานมาอยู่บ้านเสียเฉยๆ อยู่หกเจ็ดเดือน ว่างงาน พอดีเพื่อนมาชวน ไปหาที่ทำสมาธิ ที่มีถ้ำอยู่ ไปเจอวัดหนึ่ง พระบอกว่า อยู่ที่นี้แหละ ก็ได้ไปเจอพระที่นับถือองค์หนึ่ง ก็พักอยู่กุฏิท่าน วันๆก็ปฏิบัติธรรมเริ่มตั้งแต่ตีสี่ ไปจนถึงสี่ทุ่ม ก็ได้ปฏิบัติตามเวลาที่เค้าทำ วันๆใช้เวลาปฏิบัติประมาณ 8 ชม. เดินบ้าง นั่งบ้าง ที่รู้แย่ตอนแรก คือ การที่ต้องนั่งพับเพียบทำสมาธิ มันทุกข์ทรมานมากตอนฝึกใหม่ เคยถามพระที่นับถือว่าทำไมต้องนั่งพับเพียบ ท่านตอบสั้นว่า อยากนั่งขัดสมาธิที่นี่ก็ลองดู ตอนหลัง..ก็ได้ค่อยๆเข้าใจว่าทำไมท่านให้นั่งพับเพียบ เพื่อศึกษาธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ช่วงที่ปฏิบัติธรรมตอนแรก ก็เจอเรื่องราวแปลกๆอีก พอนั่งสมาธิ ก็มีผู้หญิงมาพัดโบกให้ บอกว่า ทำจิตดี..จะสำเร็จแล้ว เราก็บอกไปว่า ข้าพเจ้าเพิ่งมาฝึกหัด อย่ามารบกวนเลย เค้าก็หายไป มีเข้ามาอีก บอกว่า โลกจะหยุดหมุนแล้ว กำลังฟังเสียงบรรยายธรรม ไฟก็ดับ ลืมตามาดู มันเห็นแต่สีเหลืองเต็มไปหมด มีวันหนึ่งช่วงนั้นเดือนเมษาอากาศกำลังร้อน มีแม่ชีเดินมาบอกว่า โยมเวลาฝนตก อย่าหนีไปไหน ให้ปฏิบัติธรรมกลางฝนไปแล้วจะรู้เรื่องราวอะไรดีๆ และพระที่เราพักด้วย ท่านก็พูดเหมือนแม่ชีเลย
วันนั้นปฏิบัติธรรมตอนสองทุ่ม พอเริ่มปฏิบัติธรรม กราบพระ ปฏิบัติธรรมไปได้สักครู่ ลมฟ้าลมฝนมาขนาดใหญ่ ฟ้าผ่าลงมาตลอด เราก็นึกถึงคำพูดที่พระแม่ชีบอกมา เดินจงกรมปฏิบัติธรรมท่ามกลางสายฝนกับเสียงฟ้าคะนองผ่าลงมาตลอดเวลา อยู่ๆก็มีเสียงบอกว่า ตอนที่เจ้าชายสิทธัตถะท่านปฏิบัติอยู่กลางป่า ดินฟ้าอากาศก็เป็นอย่างนี้ เราปฏิบัติธรรมเดินที่ลานธรรมอยู่คนเดียว จนถึงสี่ทุ่ม กราบพระเดินออกมา สังเกตเสื้อผ้าตัวเอง ทำไมมันไม่เปียกเหมือนเดินตากฝน มันเปียกเหมือนโดนน้ำสเปรย์เป็นละอองเท่านั้น มันแปลกดี ก็ไม่ได้คิดอะไร
รุ่งขึ้นตอนเช้า สวดมนต์เสร็จ ก็คิดว่าจะไปปฏิบัติธรรมเดินจงกรมในศาลาดิน ถือเสื่อเล็กไปลองนั่งผืนหนึ่ง พอเดินข้ามธรณีประตู ตามันเห็นเป็นภาพทหารโบราณนอนตายกันเกลื่อนกลาด เราก็เดินเข้าไป ..เดินไปดูศพทหารที่กองแข้งขาขาด หัวขาด ตีนขาด นอนทับกันเกลื่อนไปหมด ใจมันนึกถึงเรื่องพระเจ้าอโศก เห็นเลือดท่วมกีบม้า ..อ้อ..มันเป็นอย่างนี้เอง เดินไปก็..เหมือนตัวเองไม่ได้ใส่เสื้อ มือที่ถือเสื่อ มันกลายเป็นถือดาบ บ่าสองข้างแขนสองข้าง ดาบที่ถือมันมีแต่เลือด แล้วก็มีเสียงแทรกขึ้นมาที่หน้าอก เป็นไหงล่ะ พาคนไปตายเยอะแยะเลยเรา พอสิ้นเสียงเท่านั้น ตัวเรามันร้องสะอึกสะอื้น ควบคุมตัวไม่ได้ แต่ก็พยายามเดินผ่านซากศพนั้นไปนั่งพับเพียบกราบพระ พอกราบพระ ก็มีเสียง ดังกังวานลอยมา เห็นมั้ย เป็นใหญ่เป็นโต บุญก็เยอะ กรรมก็เยอะ เห็นมั้ย เราก็ได้นั่งพิจารณาเรื่องที่เราเห็นเป็นภาพนั้น กับเสียงที่บอกมา
ตั้งแต่นั้น ก็พยายามไม่คิดทะเยอทะยานอยากเป็นใหญ่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้
แต่ไม่ใช่ว่ามันจะหมดหรอกน่ะ มันยังมีอยู่ในนิสัยสันดานตัวเองอยู่ ตั้งแต่นั้นมาก็เริ่มสนใจ หาทางปฏิบัติธรรม เสาะแสวงหา คำว่า สร้างบุญกุศลบารมี ต้องทำอย่างไร จนมาถึงว่า ในการประพฤติปฏิบัติธรรมอะไรต่างๆ ก็ดี ก็มาหยุดอยู่ที่ตรงที่ ทำกายให้นิ่ง จิตนิ่ง ทำได้ ก็จะเกิดเป็นแสงธรรม ส่องเข้ามาสอนจิต สอนให้ชำระสะสายกายอารมณ์ทั้งหลาย สลัดลดละออกไป ทำได้มามากขึ้น จนเห็นกายนี้สว่างไสวเหมือนหลอดนีออนเรืองแสงขึ้นมา จิตก็นิ่งๆเฉยๆ ก็พยายามปฏิบัติธรรมเอาแสงธรรมเข้ามาสู่จิต เรื่องราวคำภีร์ตำราต่างจึงต้องละวางไป
การฝึกหัดปฏิบัติธรรม มันต้องอาศัยความเพียรความอดทน เดินในรอยกิริยาทั้งสี่ พระยืนเดินนั่งนอน ภาวนาคำว่าพุทโธ ทำกายนิ่ง จิตเฉย ไม่ได้ยากเย็นอะไร ไม่เหนื่อยอยากเหมือนหน่วยรบพิเศษอะไรต่างๆมากมาย นั่นเค้าฝึกหัดไปเข่นฆ่ากัน เค้ายังเหนื่อยยาก ไปเสี่ยงชีวิต เพื่อปัจจัยมาหล่อเลี้ยงครอบครัว อะไรต่างๆ สรุปก็คือฝึกหัดไปเสาะแสวงหาหากรรมมาใส่ทับถมจิตให้มีมากขึ้น แต่เราปฏิบัติธรรมเพื่อตามรอยพระ อาศัยสติ เอากายมานั่งนิ่งๆเฉยๆ รักษากายนิ่ง หน้าพระ มีแต่ลมหายใจเคลื่อนเข้าออกภายในกายนี้
..รักษากายทำเยี่ยงนี้ เราก็จะได้ประโยชน์อะไรต่างๆมากมาย ต้องทำขึ้นมาเอง จากไม่รู้ ก็จะค่อยๆรู้จักขึ้นว่า ทำแล้วได้อะไร มันไม่ใช่วัตถุปัจจัยสิ่งของ แต่จิตของตัวเองนั้นจะรู้จักด้วยจิตของตัวเอง ว่าธรรมขององค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ช่วยจิตของเราให้เบาบางจากทุกข์ เบาบางจากอารมณ์ เบาบางจากกรรม ความขันติของจิตเป็นอย่างไร เรื่องต่างๆภายในกายที่อาศัยอารมณ์ความนึกคิด มันมาอย่างไร แล้วจะคลี่คลายให้สงบระงับได้อย่างไร ต้องทำเอง เหมือนทหารออกสู่สนามรบนั้นแหละ สนามรบก็อยู่ที่นำกายมาอยู่นิ่ง อะไรเกิดขึ้นมาภายในกายเจ็บปวดฟุ้งซ่านหงุดหงิด นึกคิดอะไร ก็รักษากายให้นิ่ง จิตนิ่ง ชาติอสงครามจะสงบได้ก็อยู่ตรงนี้แหละ ที่จิตจะสงบได้ให้เกิดสันติสุขสงบขึ้นที่กาย จิตก็จะพลอยสงบไปด้วย ซึ่งสิ่งเหล่านี้ เราก็ค่อยๆทำฝึกหัดสะสมการประพฤติปฏิบัติธรรมตามรอยองค์พระสัมมาสัมพุทธะเจ้าไปเรื่อยๆทุกชาติคงมีชาติหนึ่งถึงเส้นชัยที่ปรารถนา
โฆษณา