29 ม.ค. 2022 เวลา 07:32 • ไลฟ์สไตล์
เหนื่อยนักก็พักก่อน!
โลกทุกวันนี้ต้องบอกว่าอยู่ยากขึ้นทุกเมื่อเชื่อวัน เกิดมาพร้อมกับภารกิจที่ยิ่งใหญ่ว่า “ต้องมีเป้าหมาย” ตอนเป็นนักเรียนก็ถูกล้างสมองให้มุ่งเรียนโดยมีเป้าหมายคือ ต้องเป็นเด็กเรียนเก่งถึงจะได้เชิดหน้าชูตามีที่ยืนในสังคม พอมาถึงช่วงวัยทำงาน เป้าหมายคือจะต้องได้ขึ้นตำแหน่งเป็นใหญ่เป็นโตแบบ Fast and Furious นี่แหละถึงจะเรียกว่า “ประสบความสำเร็จ” พอจะมีคู่ชีวิต เฮ้ย…มึงต้องมีคู่ที่ดีสมน้ำสมเนื้อ ยิ่งได้ผัวรวยมีตำแหน่งยิ่งใหญ่ ยิ่งดูโก้หรู ไม่ว่าจะเรื่องไหนจะทำอะไรเราจะถูกฝึกให้คิดว่าต้องมีเป้าหมายตลอดๆ ชีวิตนี่เหนื่อยแท้
ปัจจุบันมีหนังสือมากมายก่ายกองจากคนเก่งคนดังสอนวิธี How to เส้นทางลัดพิชิตความสำเร็จเพื่อให้ทุกคนมุ่งไปสู่เป้าหมายได้อย่างรวดเร็ว Shortcut อารมย์เหมือน Search Google Map แล้วฟีดเส้นทางขึ้นมาเพียบเลย แน่นอนผู้คนส่วนมากเลือกที่จะใช้เส้นทางลัด ไม่สนใจหรอกว่าเส้นทางนั้นจะเปลี่ยวหรือลำบากยากแค้นแค่ไหน เรารู้แค่ว่า Shortcut ไม่เสียเวลาชีวิตเราก็จะเลือกไปทางนั้น แม้จะเสี่ยง จะเครียด ไม่มีความสุขกูก็จะมุ่งไป!
แอดมินเองก็เคยตกอยูในวังวนเฉกเช่นเดียวกันคนส่วนใหญ่นี้แหละ วันนี้ขอเลยแชร์เรื่องราวส่วนตัวกับเรื่องการมุ่งสู่เป้าหมายมากเกินไปมาเล่าให้ฟังกันค่ะ
โรคฮิตที่เขาชอบเป็นคือ โรคเครียด วิตกจริต จนนำไปสู่อาการซึมเศร้า แอดก็เคยเข้าข่ายทำนองนี้ ด้วยสภาพแวดล้อมรอบๆ ตัวที่ผลักให้เราเติบโตมาในแบบที่มีความคิดและความเชื่อว่า การที่จะเป็นคนที่สำเร็จในชีวิต แกจะต้องมีเป้าหมาย และไปให้ถึงนะจ๊ะ ไม่กี่ปีก่อนเราจะได้ยินแต่คำว่า Design Your Life กันใช่ป่ะ นั่นแหละหนังสือ How to ที่ขายดิบขายดีเป็นเทน้ำเทท่า แอดก็ซื้อมาศึกษาและออกแบบชีวิตของตัวเอง ไล่มาเลยตั้งแต่เป้าหมายใหญ่ของชีวิต แผนราย 5 ปี 1 ปี แถมด้วยแผนรายเดือน รายวันกันเลยทีเดียว (คิดเองว่าทำแผนแบบรายวันจะต้องดี) โดยในแต่ละวันจะมี Checklist เลยว่าฉันจะทำอะไรบ้าง ทั้งงานประจำและชีวิตส่วนตัวในแต่ละวัน ประหนึ่งเล่นเกมส์แล้วเก็บพ้อยท์ (หลายคงก็น่าจะเป็นแบบเรา)
ทีนี้ความไม่ Balance ก็ได้บังเกิดขึ้น เพราะมันไม่ใช่ทุกวันที่เราจะสามารถทำรายการ Checklist ทั้งหมดให้ลุล่วงได้จริงป่ะ (ทำไมคิดไม่ได้ตั้งแรกแรกที่กูออกแบบชีวิตตัวเองวะ) สะสมจากรายวันพอกพูนเป็นรายเดือน รายไตรมาส แอดรีเช็คตลอดๆ สะสมความเครียดความกดดัน จนนานวันเข้าความเครียดวิตกกังวล ส่งผลต่อสภาพร่างกายคือ นอนไม่หลับต่อเนื่องเกิน 1 สัปดาห์ จิตตก สภาพร่างกายเหมือนซอมบี้ผีดิบโคตรๆ รู้สึกเครียดมากที่เราไม่สามารถทำตามเป้าหมายที่เราวางไว้ได้ เอาจริงๆ ชีวิตคนเราไม่พ้นเรื่อง การงาน การเงิน ความรัก สุขภาพ ของแอดตั้งเป้าความรักคือ อยากมีผัวฝรั่งค่ะ (พวกเธอไม่ต้องหัวเราะ ฉันรู้) แผนคือดิฉันตั้งเป้าหมายว่าเดือนหนึ่งจะต้องหาเพื่อนชายฝรั่งอย่างน้อย 3 คน ไว้พูดคุยเผื่อว่าจะสานสัมพันธ์ต่อเป็นแฟนได้ นี่ยังไม่รวมแผนเรื่องอื่นๆ อีกนับสิบแม่จ๋า!
เมื่อภาพฝันที่วางไว้กลับเบลอไม่ชัด ก็ Fail ดิคับ โทรไปร้องไห้ร้องห่มกับเพื่อน เพื่อนบอกมึงไปพบจิตแพทย์ไป้ เพราะมีอาการนอนไม่หลับต่อเนื่องเกิน 7 วัน สภาพร่างกายมึงต้องได้พักผ่อน และดิฉันก็ไปจริงๆ …
จิตแพทย์จ่ายยามาให้กิน โอ๊ยเซื่องซึมเป็นหมาหงอย ไร้ความรู้สึก 1 เดือน เพราะมันเป็นยาปรับฮอร์โมน กลางคืนเชี่ยไม่หลับไม่นอน พอไปทำงานมันก็ง่วงมากๆ ช่วงเที่ยงคือต้องฝากเพื่อนซื้อข้าวมาให้กินตลอด หัวปักตายคาโต๊ะ ตลอด 1 สัปดาห์แรก เพื่อนที่นั่งข้างๆ ก็สังเวชใจ ซื้อข้าวปลามาให้กินน่าอนาถ
ถัดจากนั้นอีกไม่นานก็ทำเรื่องนัดพบกับนักจิตบำบัด แอดก็ Consult ทุกเรื่องที่เรารู้สึกเครียดและกังวลใจ พี่นักจิตถามคำถามให้เราขบคิดด้วยตัวเอง เหมือนเคาะกะโหลกเปิดมุมมองของเราอีกด้าน เช่นๆ ยกตัวอย่างของแอด พี่นักจิตถามว่าแล้วหนูคิดว่าหนูมีทางเลือกอะไรบ้างกับเรื่องนี้ (แกคงอยากถามตรงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่ผัวฝรั่ง มึงมีผัวไทย หรือมึงอยู่เป็นโสดได้มั๊ย ตูรู้) เป้าหมายที่เราวางไว้ Timeline มันยืดออกไปได้หรือเปล่า หนูเปลี่ยนเป้าได้มั๊ยลูก นิยามของคำว่าความสำเร็จตามที่หนูคิดคืออะไร แล้วหนูต้องรีบ Fast Track ขนาดนั้นเลยหรือ เรารู้สึกยังไงและเราจะจัดการยังไง แถมด้วยว่าอะไรที่เราทำชีวิตมันตึงเกินไปแล้วไม่มีความสุขก็อย่าหาทำ (เออว่ะ ทำไมตูโง่คิดไม่ได้เนี่ย) และแนะนำให้พับเก็บชาร์ตเป้าหมายที่แปะอยู่ข้างฝาบ้านขนาดเท่าแผนที่โลกเก็บไว้ก่อน และลองใช้ชีวิตแบบไม่ต้องคิดอะไร 3 เดือนแล้วมาลองกลับมาคุยกันใหม่
จากเหตุการณ์ในวันนั้นแอดก็เหมือนคนที่ไม่ค่อยปกติ (เอ๊ะยังไง) เรามองเห็นทางเลือกใหม่มากขึ้น (หนุ่มญี่ปุ่น ก็น่าจะเข้าท่า หุหุ) เราได้เปิดโอกาสให้ตัวเองไปลอง Explore เส้นทางใหม่ๆ ในชีวิตบ้าง การตั้งเป้าหมายไว้ย่อมเป็นสิ่งที่ดีอันนี้ยอมรับ แต่แอดจะไม่กดดันตัวเอง ไม่คาดหวัง พร้อมปรับเปลี่ยนเป้าหมายไปเรื่อยๆ
ด้วยเหตุฉะนี้ Buddy Diary ฉบับนี้ชวนคุณผู้อ่านลองฉุกคิดและลองสำรวจเส้นทางใหม่ๆ กันดูบ้าง เส้นทางนั้นมันอาจจะอ้อมไปบ้าง พาเราหลงทางบ้าง แต่เราสามารถแวะคาเฟ่ชิคๆ ข้างทางได้ แวะถ่ายรูปดอกไม้สองข้างบ้าง และดื่มด่ำไปกับมัน ที่สำคัญเราก็ไม่เหนื่อยจนเกินไปและถึงเป้าหมายเหมือนกัน
ที่สำคัญความสุขจากการเดินทางของชีวิตมันไม่ได้เกิดจากการไปถึงเป้าหมายเสมอไป บางทีมันอาจจะไปไม่ถึงเป้าหมายเลยก็เป็นได้ ให้เราลองมองค้นหาความสุขระหว่างทางที่เราสามารถเก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ๆ และได้เรียนรู้เรื่องใหม่ ๆ วันหนึ่งเมื่อเรามองย้อนหลังกลับ เราจะได้ไม่รู้สึกเสียดายที่ว่าเราพลาดโอกาสดีๆ ที่จะมาเติมเต็มความสุขให้กับเรา เลิฟ เลิฟ
เครดิตภาพ: Crossroad from steemit.com
โฆษณา