1 ก.พ. 2022 เวลา 12:44 • การ์ตูน
90 นาที​
90 นาทีคือเวลาที่ผมจดจ่ออยู่บนหน้าจอบอกเวลาของหนังแต่ละเรื่อง เพราะในวันที่ตั้งใจจะไปดูแค่ Summer Ghost ดันมีเวลามากเกินไปจนอยากดูอนิเมะอีกเรื่องขึ้นมา แต่ไม่แน่ใจว่ามันจะจบทัน Summer Ghost ไหม เป็นเวลา 1 ชั่วโมงครึ่งพอดิบพอดีจนทำเอาผมคิดว่า หนังเรื่องนึงมันทำเวลาได้เป๊ะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย จากนั้นความคิดนั้นก็หายไปเพราะคิดว่าไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร อนิเมะเรื่องนั้นคือ “Pompo: The Cinéphile” เป็นอนิเมะที่ผมเกือบมองข้ามไปในตอนแรก แต่พอได้ดูจริง ๆ แล้วก็ต้องอุทาน (ในใจ) ออกมาว่า “เฮ้ย! หนังเรื่องนี้มันเจ๋งว่ะ!”
เรื่องย่อ:
หนังเล่าโดยมีเมืองแห่งภาพยนตร์ "เนียนลีวูด" (ล้อมาจาก Hollywood) ในอเมริกา ผ่านตัวละครพระเอก "จีน ฟีนี่" หนุ่มเนิร์ดสายภาพยนตร์ที่ทำงานผู้จิปาถะให้กับโปรดิวเซอร์ภาพยนตร์สาวน้อยชื่อดัง "คุณปอมโปะ (ปอมโปเน็ตต์)" เจ้าของโปรดักชั่นหนังเกรดบี ผู้มีชื่อเสียงและเส้นสายในวงการมากมาย และเธอเห็นแววในตัวจีน ฟีนี่ ว่าจะเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ที่ดีให้กับงานชิ้นต่อไปของเธอได้
และวันหนึ่ง เธอได้เขียนบทภาพยนตร์แนวดราม่าสุดซึ้งแล้วมอบหมายให้พระเอกที่ไม่เคยมีประสบการณ์เลยเป็นผู้กำกับ ร่วมกับอดีตนักแสดงซุปเปอร์สตาร์รุ่นเดอะ คู่กับนักแสดงสาวหน้าใหม่สุดเปิ่นที่ไม่เคยผ่านงานมาก่อนเลยให้รับบทนางเอก งานนี้จะปังหรือพังกันหนอ?
อนิเมะที่เหมาะสำหรับทุกคน โดยเฉพาะคนทำคอนเทนต์!​
ฉันคิดว่าหนังที่ทำให้คนประทับใจด้วยความบ้าบอได้น่ะ เท่กว่าหนังที่ทำให้คนประทับใจด้วยเรื่องราวโศกเศร้าเหงาซึ้ง โรแมนติกอีกนะ
โจเอล ดาวิโดวิช ปอมโปเนทท์ (ห้ะ?!)
จุดแข็งของ Pompo: The Cinéphile คือมันนำเสนอความเป็น “หนังในหนัง” ได้อย่างมีเอกลักษณ์และไร้ที่ติสุดๆ เพราะเป็นหนังที่เล่าเกี่ยวกับการทำหนังทั้งที ถ้าทำออกมาน่าเบื่อก็เสียชื่อหมดใช่ไหมล่ะครับ?
ภาพรวม​
จะขอไม่พูดถึงภาพรวมมาก เพราะที่อื่นเค้าก็ทำกันไปเยอะแล้ว (ฮา) เรารีบมาเข้าเรื่อง และพูดถึงประเด็นที่น่าสนใจกันดีกว่าครับ
การตัดภาพจากฉากหนึ่งไปอีกฉากหนึ่งของปอมโปะคือไม่มีใครเหมือน เป็น transition ที่สมูทและตัดไปตัดมาได้อย่างคล่องแคล่วแล้วไม่ติดขัดเลย ยกตัวอย่างฉาก flashback หรือเวลาที่จีนคิดถึงเรื่องตัวเองและหนังที่เขาทำ จะมี transition เป็นฟิล์มหนังกรอไปมา หรือตอนที่ข้ามประเทศเพื่อไปถ่ายฉาก ๆ หนึ่ง ก็มี transition เป็นเครื่องบินตัดผ่านกลางจอ (แต่พูดแค่นี้คงจะไม่เห็นภาพ ต้องไปดูเอาเอง)
เพลง ทั้งเพลงบรรเลงและเพลงที่มีเนื้อร้องก็ถือว่ายอดเยี่ยมเลยครับ โดยเฉพาะเพลงที่เปิดในฉากสำคัญ ๆ แต่ละเพลงใส่ได้มาเข้ามาก ๆ ทั้งในบริบทของสถานการณ์ในเรื่อง เอฟเฟกต์ และงานอาร์ตที่มีสไตล์แตกต่างกันไป
เนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าเป็น 90 นาทีที่ไม่รู้สึกว่าเนื้อเรื่องมันดำเนินเร็วไปเลย ทุกอย่างลงตัวสุดๆ เราจะได้เห็นกระบวนการสร้างหนังที่มีเคล้าจากเรื่องจริงมากทีเดียว ตั้งแต่การออดิชั่น เดบิวต์ เขียนบท กำกับ ถ่ายทำ ตัดต่อ ขอทุน แต่ปอมโปะไม่ใช่อนิเมะสอนทำหนัง และไม่ใช่สารคดีแต่อย่างใดนะ เราจะได้เห็นความท้าทาย การตัดสินใจ การต่อสู้กับตัวเอง โดยเฉพาะจีน ฟีนี่ซึ่งเป็นผู้กำกับ และนาตาลี หญิงสาวที่เป็นนักแสดงมือใหม่ เล่าถึงการพิสูจน์ตัวเองมากกว่า
จีน ฟินี่ ผู้กำกับใต้ตาดำ ไร้ประกายในดวงตา ทว่าไม่เหมือนใคร​
ตัดต่อยังไงให้เท่ ต้องมาดูจีน ฟินี่
ภาพยนตร์ที่ชอบ: The Sting, Fight Club, Taxi Driver
จีน ฟินี่ เป็นตัวละครที่ไร้สเน่ห์ที่สุดในครั้งแรกที่ผมได้เห็นโปสเตอร์ของหนังเรื่องนี้ ด้วยคาแรกเตอร์ที่ดูหดหู่ ตาคล้ำเหมือนไม่ได้นอน ไม่มีพลังชีวิต แต่ใครจะรู้ล่ะว่าเขาจะเป็นผู้กำกับที่เทพสุด ๆ ได้ และคำตอบของคาแรกเตอร์ที่ดูน่าเบื่อของจีนก็ถูกเฉลยในหนัง ว่าทำไมปอมโปะถึงเลือกคนอย่างเขามาเป็นผู้ช่วยและผู้กำกับ พอดูหนังจบแล้ว ความคิดผมก็เปลี่ยนไปว่าหมอนี่มันเท่และเป็นตัวของตัวเองสุด ๆ เลยนี่หว่า!
จีนเป็นคนมองข้างหน้าอยู่เสมอ ถึงแม้ว่ารูปลักษณ์ภายนอกจะดูเป็นคนไม่ได้พักผ่อน ในขณะที่ทำหน้าที่เป็นผู้ช่วยในกองถ่ายและรอบฉายหนัง จีนก็เก็บความรู้เข้าสมุดของตัวเองอยู่เกือบตลอดเวลา เขาเป็นคนรักหนัง มีความสามารถในการตัดต่อ และฝันอยากเป็นผู้กำกับ สุดท้ายเพราะดวงตาที่ไร้ประกายนี่แหละ ที่ทำให้ปอมโปะมอบหน้าที่ “ผู้กำกับ” ให้กับเขาโดยที่เจ้าตัวยังไม่ทันตั้งตัวด้วยซ้ำ
ปอมโปะ ตัวละครที่หนังไม่ได้เล่าเรื่องราวของเธอมาก แต่เป็นกุญแจสำคัญของเรื่อง​
เนรมิตบทให้เฉียบคมและเลือกคนยังไงให้ปัง ต้องมาดูคุณปอมโปะ
ภาพยนตร์ที่ชอบ: Whiplash, Death Proof, Frankenweenie
ความจริงจะพูดว่าหนังไม่ได้เล่าเรื่องราวของปอมโปะมากก็กระไรอยู่ เพราะเรื่องที่เป็นประเด็นสำคัญ ปอมโปะก็มีบทบาทอย่างชัดเจน แต่การดำเนินเรื่องส่วนใหญ่ในหนังจะไปโฟกัสกับการสร้างหนัง การต่อสู้ และอดีตของจีนมากกว่า ดังนั้นหลังดูจบเลยทำให้ผมมาคิดว่า อะไรที่ทำให้ปอมโปะสำคัญถึงขนาดเป็นชื่อเรื่องกันนะ?
คำตอบคือ “ปอมโปะ” เป็นคนที่ทำให้ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้น และเป็นทำให้ทุกอย่างจบลงอย่างสวยงาม ปอมโปะเป็นโปรดิวเซอร์มากฝีมือ เธอเป็นคนเขียนบทหนังเรื่อง Meister เพื่อที่จะมอบหน้าที่ให้กับผู้กำกับจีน และเลือกนักแสดงอย่างนาตาลีและคนอื่น ๆ มาแสดง ใช่แล้วครับ... กุญแจสำคัญที่ทำให้ Meister เหมาะกับกองถ่ายนี้มากที่สุด เป็นเพราะการที่บทหนังถูกเขียนเพื่อตัวผู้กำกับและนักแสดงตั้งแต่แรกแล้วนั่นเอง
หน้าที่ของโปรดิวเซอร์คือการควบคุมการผลิตทั้งชิ้นงาน ทั้งก่อนการผลิต การถ่ายทำ และหลังถ่ายทำ ไม่ว่าจะมีอะไรโปรดิวเซอร์จะต้องเป็นคนประสานงาน กำกับดูแล มองภาพรวมของงานอยู่เสมอ ซึ่งปอมโปะสามารถทำหน้าที่ทั้งหมดนี้ได้อย่างยอดเยี่ยม เธอก็เป็นคนรักหนัง (Cinephile) ไม่ต่างกับคนอื่น ดังนั้นการที่จะเนรมิตหนังที่ตัวเองรักขึ้นมาได้ ก็ต้องใช้ใจทำใช่ไหมล่ะครับ? และถึงแม้ตลอดระยะเวลาที่สร้างหนังจะมีปัญหา - อุปสรรคอะไร ปอมโปะก็ไม่เคยหงุดหงิด แต่พร้อมจะซัพพอร์ตจีนเสมอ เพราะเธอเชื่อว่า “เธอมองคนถูกแล้ว” ยังไงล่ะ
Pompo: The Cinéphile มีความเป็น Easter Egg ในตัวเองสูงมาก และยังมีคอนเซปต์น่าสนใจอีกเพียบ​
ถ้าจะให้พูดให้งงน้อยลง คือทั้งตัว Pompo: The Cinéphile และ Meister ต่างมีจุดเชื่อมโยงกันไปมาตลอดทั้งเรื่อง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องผู้กำกับ เจตนารมณ์ในการสร้างหนัง อิทธิพลของหนังที่ชอบต่อหนังที่ทำ ระยะเวลาของหนัง ตัวตนของผู้กำกับในหนัง และอื่น ๆ อีกเต็มไปหมด สามารถพูดว่ามันคือการทำลายกำแพงที่ 4 ได้อย่างแนบเนียนตลอด 90 นาทีเลย
ราวกับว่า... ผู้กำกับ Pompo: The Cinéphile กำลังสื่อสารกับเราผ่านหนังเรื่องนี้และจีนซึ่งเป็นตัวละครที่เหมือนกับเขามากที่สุด และเขาก็ทำสำเร็จจริง ๆ
สิ่งที่ผมชอบเกี่ยวกับหนังเรื่องนี้ที่สุดก็คงจะเป็น...
ไม่สิ พูดไม่ได้ เดี๋ยวจะเป็นสปอยเอาสินะ แต่มันเป็นประโยคที่ผมชอบที่สุดและคิดแบบเดียวกันจริงๆ พอประโยคนี้ขึ้นมาและหนังจบลง ภาพในหัวของผมก็กรอกลับไปเห็นตัวเลขบอกระยะเวลา 90 นาทีของหนัง ตัวเลขที่ผมว่าออกจะเจ๋งเล็กน้อยและมองข้ามมันไปในตอนแรก และได้บรรลุว่า โอ้ว มาย ก้อด! มันเป็นอย่างนี้นี่เอง!! (จินตนาการภาพเป็น transition ในหนังด้วยนะเออ 😂)
สรุป
เป็น 90 นาทีที่ผ่านไปเร็วมากแต่ไม่รู้สึกติดขัดเลยซักนิดเดียว เป็นหนังที่นักทำคอนเทนต์ (รวมถึงทุกคน) สมควรไปดูอย่างยิ่ง ไปตามหาว่าคุณจะหาแรงบันดาลใจในการทำผลงานชิ้นต่อไปยังไง ควรตัดอะไรออกไปบ้าง รวมถึงคุณเคยคิดหรือเปล่าว่าผลงานของคุณมีตัวตนของคุณอยู่ยังไง
มีอีกหลายประเด็นที่ผมอยากพูดถึง แต่ถ้าพูดคงจะเป็นสปอย ตอนนี้เลยคิดว่าถ้าออกโรงจริง ๆ แล้วค่อยมาคุยกันอีกทีละกันครับ
อ้อออ แล้วก็... ใครคิดชื่อไทยหนังเรื่องนี้เนี่ย ผมชอบมาก! เป็นหนึ่งในชื่อไทยที่ชอบที่สุดในรอบหลายปีเลย ขอปรบมือให้เลยครับ “ปอมโปะ ทีมป่วนก๊วนทำหนัง - ตัดฝัน ต่อไฟล์ ให้โลกจึ้ง!!!” จะสร้างหนังต้องไปเป็นทีม ถึงแม้ปอมโปะจะเป็นกุญแจสำคัญ แต่เพราะความมุ่งมั่นของทุกคนจึงทำให้ Meister จบลงอย่างสวยงาม!
“รู้สึกโชคดีที่เปลี่ยนใจไปดูจริง ๆ ครับ”
"ตัดฝัน ต่อไฟล์ ให้โลกจึ้ง!!!"​
- วันที่ 3 กุมภาพันธ์นี้ในโรงภาพยนตร์ที่ร่วมรายการ -
ข้อมูลอนิเมะ : https://hareshi.net/browse/anime/99900
❰❰ © 2020 Shogo Sugitani / KADOKAWA / Pompo: The Cinéphile ❱❱
โฆษณา