5 ก.พ. 2022 เวลา 02:31 • ปรัชญา
3. พระกฤษณะ ..การทำบุญกุศลน้อมถวาย
เมื่อมาแล้วให้ประจักษ์ จิตมนุษย์ที่อยากรู้ ขอเปิดศูนย์รัตนะ หนุนนำกระจายสิ่งที่มาปรากฏในสถานที่นี้
วันนี้ไม่ได้เปิด ก็เต็มแล้ว ผู้ที่มากับองค์พระกฤษณะก็มีมากมายก่ายกอง หาที่นั่งไม่ได้แล้ว อยู่แค่นี้ ทุกองค์ทุกดวงจิตร่วมอนุโมทนาบุญ ในครั้งนี้ และผู้ที่ดวงจิตน้อยๆ ของมนุษย์น้อยๆนี้ น้อมนำถวายสร้างบุญสร้างกุศล ขอให้ทุกดวงจิต ทุกพระองค์ โปรดอนุโมทนาบุญ ที่ถวายผ้าไตรจีวร ต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ให้ประจักษ์นั้น ..
ขอหนุนนำ ขอ กฤติยาโต ท้าวสักกะ ….ขอให้มาเป็นประทานในการสร้างบุญ กุศลในครั้งนี้..
เมื่อทำจิตทำใจกันได้ พอสมควรแล้ว ก็ขอกล่าวคำอนุโมทนาเถิด เพื่อถวายต่อองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า มีเวลาของผู้ที่มารับผลบุญ หรือ ถวายสักการะต่อท่าน ให้เตรียมตัวเตรียมใจ เริ่มกระทำ…(กล่าวถวาย)
เป็นมนุษย์ตัวน้อยๆ จิตน้อยๆ ก็สร้างบุญสร้างกุศล หนุนนำสูงส่ง ไปอยู่ที่สูงได้ ก็นับเป็นเนื้อนาบุญ ที่ระลึกเรื่องราวดีๆให้แก่จิต ก็ร่วมการกระทำนี้ มาโดยตลอด แล้วผู้ที่ เอ่ยชื่อ เอ่ยนาม มาแต่การถวาย ก็เป็นผู้มีคุณธรรมทั้งนั้น เพราะจิตของเราเป็นผู้มีคุณธรรมเกิดขึ้น จึงได้ระลึกถึงแต่ผู้ที่มีคุณธรรมอันประเสริฐ ทั้งได้รับกุศลนี้ ผู้หูทิพย์ตาทิพย์ของท่าน ก็หนุนนำ ท่านก็ยกเงินยกสาธุขึ้นมา ด้วยกล่าวคำขึ้นมา …
…วันทา วะสะเม เต ธะ ภา ระ ธา มา ระ ธา กัล ละ ยะ โต กุต ติ ยา โต โห ตุ..
…แค่นี้ ก็อนุโมทนา ก็ถึงจิตของโยม แปลที่ง่ายๆ คือ
..จิตเป็นผู้มีธรรม..จิตที่สร้างบุญสร้างกุศล ไปตลอดทุกชาติ จนถึงบรรลุธรรมนั้นเอง ..
..ในความสุข เกิดมาแต่ละครั้ง ก็มีจิต ที่มากายที่มีความสุขตลอดไป..
กฤษติยะโต ภา วิ คะ ติ สา ริ สะ เมื่ออนุโมทนาเสร็จแล้ว ท่านก็ไปลาจากกับโยมไป พร้อมทั้งบริวารก็ไปบางส่วน ก็อยู่เป็นบางส่วน เพื่อจะ..ท่านก็ให้ ..เรียกว่า อยากให้ได้รับฟัง ประดับธรรม ที่จะต้องเกิดมาเป็นมนุษย์ มาแก้ไขอีกนั้นเอง
จิต ตา วะ สี วะ ตะ กะ ระ นัง เต จิต ตะ รัต ถะ วะ นัง เต ภา วะ ปะ สัง ขะ โห ปา ริ ยา นิ มิต ตะ วา โร โห ตุ..
จิตที่ล่วงลับไป ก็มากมายก่ายกอง ต้องไปทุกข์เวทนา เรื่องราวต่างๆ เพราะไม่มีบุญ
จิตไม่มีบุญ ก็ต้องมีกรรม จิตแช่..สร้างแต่กรรม เพราะไปสู่เรื่องราวของทุกข์ทรมาน ในสถานที่ต่างๆ เหมือนกับว่า ครั้งหนึ่ง ก็ประจักษ์ให้เห็นแล้วว่า ที่เมื่อกี่ บอกแล้วว่า กายน้อยๆ จิตน้อยๆ ของมนุษย์ ทีมาหนุนนำสูงส่ง เคยครั้งหนึ่ง ได้นำเรื่องราว ของการสร้างบุญสร้างกุศล ถวายต่อ ท้าวเวสสุวัณโณ เหล่าทั้งหลาย ภูตผีปีศาจ หรือ จิตที่ต่ำต้อย ก็ร้องกันระงม ซมซาน ให้ประจักษ์ เพราะว่าจะมา ร้องตามที่เค้าทุกข์ทรมาน ที่มีแต่ดวงจิตนั้น ก็จะสู้ไม่ไหว เสียงลงไปที่วิญญาณหูของแต่ละคน ก็จะระเบิดเถิดเทิงไป ทำให้จิตไม่เป็นปกติ จิตมีการสิ่งอยู่ในสังขารสัตว์ต่างๆ ซึ่งฟังกันไม่ได้ศัพท์ ร้องกันทั่ว มากมายก่ายกอง ถ้าจะนับ ก็เรียกว่าหลายดวงจิต ที่มองไปวันนั้น อีกทีหนึ่งก็ ถ้านับให้ละเอียดมันก็มาก คร่าวๆก็ประมาณพันดวงจิต ที่สิงอยู่ในสัตว์นั้นๆที่ร้องกันเต็มในสถานที่นี้
นั่นก็คือ ให้ประจักษ์ว่า นั่นแหละคือ ..กรรม
แล้วนี่คือ บุญ ที่ส่งไปหา ผู้มีบุญ ที่เกิดขึ้น
การสร้างบุญสร้างกุศลแต่ละครั้ง ผู้ที่มีบุญมาก ผู้ที่อยู่ในธรรม เราก็ประจักษ์ เหมือนกับขณะนี้ ที่ประจักษ์ขึ้นมาขณะนี้ ระหว่างการถวายของ เราก็จะรู้ว่า ผู้ที่มีธรรม ต้องเงียบ เหมือนไม่มีอะไรเลย ..นั่นคือ..ธรรม..คือ..บุญกุศลที่หนุนนำส่ง นี่ก็ให้สังเกตเอาง่ายๆ แต่เรื่องแสงสีต่างๆ เค้าจะได้ปัจจุบัน หรือ จะรับกาลข้างหน้านั่น ก็ไม่ยากเย็นอะไร เพียงแต่ทำจิตเฉย เค้าก็จะไปปรากฏให้เอง ก็บอกมา คร่าวๆให้ฟัง
ก็มาเรื่องราวการประพฤติธรรม หนีกรรมให้ประจักษ์ ก่อนที่จะลาจากสถานที่นี้ไป ไปอยู่ที่อยู่ ที่อยู่อาศัยของแต่ละคน
การเกิดมาเป็นมนุษย์ แสนยากลำบากนักหนา กว่าจะได้ เติบโตใหญ่ขนาดนี้ เริ่มแรกหาวิชาความรู้ เพื่อจะมาอาศัย วิชชาความรู้ มาหล่อเลี้ยงสังขาร แล้วถ้าไม่ระมัดระวัง เรื่องราวต่างๆ ก็อาจจะทำให้กายวาจาใจของเรา มีความก้าวร้าวเกิดขึ้นมากมาย ก็สร้างแต่กรรม กรรมนั้นก็คือ..เกิดจาก..กายวาจาใจของเรา..ไปสู่คำว่าทุกข์นั้นเอง เมื่อจิตออกจากสังขารแล้ว ก็ไม่สามารถระมัดระวังได้
คราวนี้ ถ้าได้กาลเวลาในอดีตชาติ เคยสะสม คำว่า บุญ..เพื่อหนีกรรม ก็ได้ประจักษ์ขึ้น ให้แก่จิตของเรา บางคนได้มาก บางคนได้น้อย บางคนได้นิด ก็จากไปไม่มีวันกลับก็มี มากมายนัก
คราวนี้ มาดูเรื่องราวต่างๆนี่ ของผู้ที่รับบุญ รับกุศล ก็ตั้งอกตั้งใจทำด้วยเรือนกายที่มั่นคง คือ กายนิ่ง จิตเฉย เพิ่มขึ้นๆ แล้วจิตนั้นก็สง่างามเพิ่มขึ้น คือ จิตก็จะกระทบแสงของธรรม แสงของธรรม นั้น อยู่ที่จิตที่นิ่ง กายที่นิ่ง ไม่ใช่แสงธรรม หรือ บุญกุศลจะไปอยู่กับคนที่วุ่นวาย กายวุ่นวาย จิตวุ่นวาย ธรรมเข้าไม่ถึง เพราะไม่เปิดโอกาสให้ เพราะกรรมมันปิดประตู ไม่ให้บุญบารมีเข้าถึงนั้นเอง เพราะฉะนั้นการ ที่มาฝึกหัดปฏิบัติธรรม แต่ละครั้ง จงนึกถึง เรื่องราวของตัวเองให้มากๆว่าเราเกิดมาลำบากขนาดไหน แม้แต่มีเงินมีทอง พ่อแม่เลี้ยงอย่างไร ก็แล้วแต่ แต่การทะเยอทะยาน ที่จะมาถึงขณะนี้ มีความลำบากอย่างไร ให้ไปตรวจสอบ แล้วอยากจะเกิดมาลำบากอีกมั้ย
ถ้าไม่อยากเกิด เราก็เร่ง..ปัญญา เร่ง..บารมี ให้ประจักษ์ให้แก่ตัวเราเอง ก่อนเนินๆ เสียก่อนที่มันจะสาย ก่อนที่จะไม่มีโอกาส ที่จะทำ เพราะโอกาสที่จะทำ เราไม่รู้ว่าเค้าให้โอกาสเราได้สร้างบุญกุศลบารมีเนี่ย ได้มากน้อยได้แค่ไหน เพราะไม่มีใครบอกเราได้ ฉะนั้น เราก็ไม่ประมาท รีบขวนขวายหาเรื่องราวต่างๆ ให้แก่จิตของเราเสียไวๆ แล้วก็รีบเร่ง ..ช้าไม่ได้ เพราะว่าลมหายใจเข้าออก ไว้ใจไม่ได้ทั้งนั้น เกิดลมหายใจเข้าออก เกิดไปหายใจในสถานที่ อันไม่สมควร ก็อาจเกิดโรคภัยไข้เจ็บก็ได้ หรือ มีอันตรายต่างๆ ก็ได้ เมื่อถึงตรงนั้น เราก็หมดโอกาส มีแต่สร้างกรร มแล้วชดใช้กรรม ของตัวเอง เป็นนิจสิน เมื่อมีโอกาส ถ้าไม่สร้างให้จิตของเรา แล้วใครจะสร้างให้แก่เรา เราต้องหมั่นถามตัวเอง แล้วก็บอกตัวเอง ว่าเราต้องแก่ เราต้องเจ็บ เราต้องตายน่ะ
เราต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องกาย แล้วเมื่อตายแล้ว สิ่งที่เราหามาได้ทั้งหมด เราเอาไปไม่ได้น่ะ หมั่นบอกเสมอ แล้วเราจะได้ถอยออกมา ไม่ไปยึดถือมัน ต่อไปก็ไม่ไปยึดถือกาย เพราะตอนนี้เรารู้สึกรักกาย กลัวกายนี้ จะเหน็ดเหนื่อย กลัวกายจะพักผ่อนไม่เต็มที่ จะมานั่งปฏิบัติธรรม ให้ยุงมันกัด ก็สงสารกาย กลัวยุงมันกัด มดมันกัด กลัวหนาวกลัวร้อนอะไรต่างๆ เกิดขึ้น..สงสารกาย ..
..แต่กายนี้เค้าบอกให้..อาศัย ..อาศัย.เมื่อเรารู้ว่าเราอาศัย ..เราก็ใช้ความอาศัยของเรานี้ ทำให้กายมีประโยชน์ให้แก่เราให้มากๆ ไม่ใช่ปล่อยให้…เค้าให้อาศัย ก็ปล่อยให้อาศัยไป บ้านมันจะผุจะพัง ก็ไม่เคยดูแล อย่างงั้นก็ใช้ไม่ได้ อีตอนที่บ้านมันดีๆอยู่เนี่ย รีบทำอะไร ก็ทำเสีย พอบ้านมันผุพัง เราก็ต้องไปซ่อมไปแซมมัน ต้องไปดูแลมัน แล้วเราก็ไม่มีโอกาสจะทำอย่างอื่นอย่างใด ให้แก่จิตของเราได้ หรือ จะหาที่นั่งที่นอนดีๆไม่ได้เลย เพราะมัวแต่ไปซ่อมแซมบ้าน หรือ ไปซ่อมแซมกาย นั่นเอง
.. ก็ให้มองไปไกลๆ อย่าไปมองใกล้ๆ มองไปถึงโน้น คนที่นอนรวยรินก็มี คนที่นอนเจ็บป่วยก็มี ไปมองไปเห็นคนแก่คนเจ็บ แล้วก็ไปเห็นคนพิกลพิการต่างๆ มองเข้าไว้ แล้วการสร้างบุญสร้างทานเนี่ย ขอให้ทำให้เต็มใจทำ จะให้อาหารสัตว์ก็ให้ด้วยความเต็มใจ จะไปเห็นว่า เป็นเรื่องราวให้เค้าประทังสังขาร แม้แต่คนง่อยเปลี้ยเสียขาขี้ทูดกุดถัง.. เราเกิดรังเกียจเค้า เราก็ต้องนึกว่า เราก็เคยเกิดเป็นเช่นนั้นเหมือนกัน เมื่อเราไม่ต้องการ..กรรมพลัดพรากเราไปอยู่ในสถานที่นั้น จะได้พวกนี้ เค้าอาจจะเป็นกายที่ดีเหมือนเรา เค้าจะได้มาหนุนเรา ส่งอาหารการกินให้แก่เราบ้าง เราก็ต้องน้อมกายน้อมจิต ส่งไปให้เค้าด้วยความเต็มใจ นั้นเป็นเนื้อนาบุญ ของจิตของเราที่เกิดขึ้น
แล้วเราก็ค่อยๆทำมา มาสร้างในเรื่องบุญกุศล เพื่อจะนำบุญกุศล หนุนนำให้จิตของเรา มีปัญญาที่จะสร้างบารมีหนีกรรม มันเป็นการถ่ายทอดกันเป็นช่วงๆ ไม่ใช่ว่า..อยู่ๆ ฉันจะมาสร้างโน้น สร้างนี่ได้ทุกครั้ง
โฆษณา