9 ก.พ. 2022 เวลา 01:32 • ไลฟ์สไตล์
“กับดักที่ร้ายกาจที่สุดของวัฏสงสาร”
7
“ …​ เวลาเราเกิดมา วัฏสงสารมอบร่างกายนี้ให้กับเรา
เราก็หลงยึดถือว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา
แล้วก็หมกมุ่นอยู่กับสิ่งต่าง ๆ ในโลก
1
เราไม่รู้ตัวเลยว่า เราน่ะ ติดอยู่ในวังวนของวัฏสงสาร
ตกเป็นทาสของวัฏสงสาร อยู่ร่ำไป
เพราะฉะนั้น วัฏฏะ คือ แรงดึงดูด
โลกนี้คือสิ่งที่ดึงดูด ให้เกิดการหลงยึดติดอยู่
คำว่า การยึดมั่นถือมั่น หรือยึดติด
มันก็คือ แรงดึงดูด
เครื่องมือที่วัฏสงสารใช้ดึงเรา ไว้ให้ติดอยู่ในวัฏสงสาร
ก็คือ ร่างกายนั่นเอง โดยผ่านอายตนะทั้ง ๖​
ทางตา การเห็น
ทางหู การได้ยิน
เวลาได้ยินเสียงเพลง เสียงต่าง ๆ ที่เราชอบ
ไหลไปอีกแล้ว
ทางจมูก การได้กลิ่น
เวลาได้กลิ่นหอมที่ชอบ
ไหลไปแล้ว
1
ทางลิ้น การลิ้มรส
เวลาทานอาหารต่าง ๆ เลิศรสที่เราชอบปุ๊บ
ไหลไปแล้ว
มันไม่ได้ไหลแค่ขณะที่เราลิ้มเท่านั้นนะ
มันจะเกิดการฝังใจ ติดใจอยู่ข้างใน
เปื้อนอยู่ข้างใน หมักหมมอยู่ข้างใน
ตัวนี้แหละ ตัวแสบเลย
1
ทางกาย การสัมผัสทางกายต่าง ๆ
1
แล้วก็ที่ ใจ
ผลจากการที่เราสัมผัส
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสต่าง ๆ ที่น่าใคร่น่าปรารถนา
จะเกิดความติดใจ ถูกการเปื้อนอยู่ในใจ
แล้วมันก็จะส่งผลในเรื่องของมันสมองด้วย
เริ่มเกิดการตรึกนึกขึ้นมา
สังเกตไหม ?​ เดี๋ยวมันก็มีผุดเรื่องราวต่าง ๆ
นึกถึงคนที่เรารัก สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราชัง
แล้วก็เริ่มเกิดกามราคะบ้าง เกิดโทสะบ้าง
2
นึกถึงรูป เสียง กลิ่น รสต่าง ๆ ที่น่าใคร่น่าปรารถนา
เกิดความติดใจ เกิดความเร่าร้อน กระวนกระวาย
เยอะไหมล่ะ ? ที่ผุดจากในหัว เรื่องในหัวที่ผุด
ผลจากการใช้ชีวิตของพวกเรา
แล้วเราจะพบว่า แรงดึงดูดที่มีกำลังมากที่สุด
ก็คือ มันสมอง
มันดึง โดยเฉพาะเรายุคนี้
อะไร ๆ ก็ต้องใช้ความคิด ใช้มันสมองไปหมดเลย
เกิดการตีความเป็นตรรกะ
เป็นการตรึกนึกเรื่องราวต่าง ๆ
แล้วมันก็สร้าง มโนภาพ ขึ้นมาในใจ
เป็นภาพในหัวสมองของเรานั่นเอง
แล้วเราก็ติดอยู่ในโลกของจินตนาการ
ในวังวนของวัฏสงสาร
1
นี่คือ กับดักที่ร้ายกาจที่สุด
มันสมองของมนุษย์นั่นเอง
ตรงนี้เป็นแรงดึงดูดที่มีกำลังมากทีเดียว
เดี๋ยวมันก็ทำให้เราตรึกเรื่องของกามคุณอารมณ์
เกิดกามราคะขึ้นมา เรียกว่า เกิดกามวิตก
มันไม่ได้เกิดเฉพาะเวลาเราเห็น แล้วเราชอบนะ
เวลาเราไม่เห็น แต่มันตรึกขึ้นมาเป็นภาพในหัว ปุ๊บ
เอาแล้ว ไหลแล้ว
1
เดี๋ยวมันก็ผุดสิ่งที่เราอยากกิน เอาแล้ว
ทีนี้ใจเรากระสับกระส่าย ต้องดิ้นไปแสวงหา
ถูกความทุกข์ ถูกตัณหาบีบคั้น
ตกเป็นทาสของวัฏฏะ มันก็จะเป็นแบบนี้
แล้วก็เพิ่มความหนักให้แก่ตนเองยิ่ง ๆ ขึ้นไป
1
เพราะฉะนั้นเครื่องมือที่ร้ายกาจของวัฏฏะ
ก็คือ มันสมองของมนุษย์
ทำให้เราหลงทำกรรม มากทีเดียว
1
การที่เราจะหลุดจากแรงดึงดูดตรงนี้
ก็ต้องเริ่มจากการดึงกลับมาก่อน
จากใจที่หลงเพลินอยู่กับโลกต่าง ๆ
1
แต่การที่เราจะดึงกลับ โดยที่เรายังไปสัมผัสหมกมุ่นอยู่กับโลก
มันยากมากทีเดียว
เพราะว่าโลกนั้นมีแรงดึงดูด
วัฏสงสาร คือ การหมุนวนขนาดมหึมา
จะมีแรงดึงดูด เราไม่มีทางสู้กำลังของวัฏฏะได้เลย
3
เราไม่มีทางพ้นได้เลย
ตราบใดที่ใจเรา ยังชุ่มอยู่กับโลก
เรื่องราวในโลกนั่นเอง
1
เมื่อเราลดการสัมผัสเรื่องราวทางโลกลง
เราจะดึงตัวเองกลับได้ดีขึ้น
สเต็ปแรก ดึงกลับก่อน
ดึงกลับมาอยู่ ตั้งสติไว้กับกาย
อยู่กับปัจจุบันธรรมให้ได้เนือง ๆ
1
ผลจากการที่เราดึงกลับได้ดี
ใหม่ ๆ ดึงกันจนท้อเลยทีเดียว
ไหล เวลาไหลเหมือนน้ำเชี่ยวกราก
มันไปหมดเลย
แต่กว่าจะดึง โอโห ยื้อกันได้แป๊บเดียว
ปุ๊บ ลากไปอีกแล้ว
อย่าได้ท้อเลย
เพราะทางรอด มันมีทางนี้ทางเดียวเท่านั้น
1
ถ้าเราไม่ดึงกลับ แล้ว …
เราก็ต้องจมไปกับวังวนของสังสารวัฏ
ทุกข์ขนาดหนัก ที่รอพวกเราอยู่
3
แต่ผลจากการที่ท่านทั้งหลายเพียรดึงกลับ
ตั้งสติไว้กับกาย อยู่กับปัจจุบันให้ได้เนือง ๆ
ฝึก ๆ ไปถึงจุดหนึ่ง จนทรงตัวได้เป็นปกติ
สติมีความตั้งมั่น อยู่กับกายได้ดี
เกิดความรู้สึกตัวทั่วพร้อมขึ้นมา
ก็จะเริ่มเกิดการแยกตัว แล้วลอยขึ้น
1
สเต็ปแรก ดึงกลับก่อน
พอดึงกลับได้ดี เข้าสู่สเต็ปสอง
ก็คือ การแยกตัว แล้วลอยขึ้น
5
การแยกตัว คือ แยกจากอะไร ?
ก็แยกจากโลก แยกจากกายนี่เอง
แยกจากแรงดึงดูดของกาย
โดยเฉพาะสิ่งที่เรียกว่า มันสมองนี่แหละ
1
มันดึงดูดเรามากไหมล่ะ ?
เรื่องในหัวที่มันเยอะ ๆ ผุด ๆ
1
พอเราปฏิบัติจนเข้าถึงความซาบซ่านทั่วกาย
เข้าถึงความสุขเบาสบาย
มีธรรมอันเอกปรากฏขึ้น เกิดความตื่นรู้ภายใน
นั่นแหละ สภาวะที่จะแยกตัว
แล้วก็เตรียมตัวที่จะลอยขึ้นแล้ว
3
ใครสังเกต ?
พอเข้าถึงธรรมอันเอกปุ๊บ
มันเตรียมที่จะลอยขึ้นแล้ว
5
แรงดึงดูดของกาย มันเริ่มลดลงแล้ว
เพราะว่ามันสมองเนี่ย มันหายไป
จิตตสังขาร มันหายไป
ตัวดึงดูดชั้นดี มันลดกำลังลงไป
7
พอปฏิบัติจนเริ่มแยกตัวตรงนี้ได้
จะรู้สึก โอโห ความทุกข์ในชีวิตน้อยลงมากเลย
1
คนเราในทุกวันนี้ ทุกข์ เพราะจมอยู่กับโลกความคิดปรุงแต่ง
โลกจินตนาการ โลกในหัวนั่นแหละ
พอพ้นจากตรงนี้ มันเริ่มสบายเลย
เข้าถึงสภาวธรรม ระดับทุติยฌาน
1
แล้วทรงตัวอยู่ได้ดี
จะเริ่มเข้าสู่กระบวนการ แยกตัว แล้วลอยขึ้น
1
เมื่ออยู่กับสภาวะได้ดี ถึงจุดหนึ่ง
เริ่มเกิดกระบวนการลอยขึ้น
ความซ่านก็จางคลายไป ปีติจางคลายไป
10
แต่ความรู้สึกเบาสบายของจิตใจ
กลับเด่นขึ้นมาแทน
เกิดความเบากาย เบาใจ
เกิดความโปร่งโล่ง เบาสบาย
1
มันโล่ง เหมือนสมองมันหายไปเลย
กระบวนการลอยขึ้น เข้าสู่ความเบาสบาย
1
ผลจากการที่ท่านทั้งหลาย
เข้าสู่ความสุขเบาสบาย
อานิสงส์ทันตาเลย ได้สัมผัสความสุขที่ลึกซึ้ง
ที่ไม่สามารถหาได้
จากสิ่งใด ๆ ในโลกใบนี้เลย … “
.
ธรรมบรรยาย
โดย พระมหาวรพรต กิตฺติวโร
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา