10 ก.พ. 2022 เวลา 01:30 • ไลฟ์สไตล์
“เข้าใจจิต แล้วจะเข้าใจธรรมทั้งหมด”
“ … เรียนเรื่องจิตใจมันเป็นแก่น สำคัญมากเลย
ครูบาอาจารย์ผู้หลักผู้ใหญ่ท่านก็สอน
“ได้จิตก็ได้ธรรม ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ”
หลวงปู่มั่นท่านสอน
ได้จิตเป็นอย่างไรถึงจะได้ธรรมะ มันก็หลายระดับ
เบื้องต้นเราต้องมีจิตผู้รู้เสียก่อนเพื่อจะได้ธรรมะ
หมายถึงสามารถไปเจริญสติ เจริญปัญญาได้อย่างแท้จริง
ถ้าเราไม่ได้จิต
เรียกว่าเรายังไม่มีเครื่องมือสำคัญไปปฏิบัติ
ปฏิบัติไม่ได้หรอก
ครูบาอาจารย์รุ่นก่อนๆ ที่หลวงพ่อเรียนกับท่าน
ท่านเน้นท่านย้ำเรื่องจิตมากเลย
บางองค์ช่วงท่านอายุยังไม่มาก
ท่านก็สอนพุทโธพิจารณากายอะไรอย่างนี้
หลายองค์ส่วนใหญ่ก็อย่างนั้น
พอท่านภาวนาได้เต็มภูมิของท่านแล้ว
ท่านลงมาที่จิต ตัดตรงมาเลย
คล้ายๆ ช่วงแรกเป็นช่วงแสวงหาเส้นทาง
พอไปถึงจุดหมายปลายทางแล้ว
มองลงมา ย้อนกลับมามอง
ทางลัดมันมี แต่เดินทางอ้อมมา
ได้จิตก็ได้ธรรมะ ไม่ได้จิตก็ไม่ได้ธรรมะ
เพราะจิตเป็นใหญ่ เป็นประธานในธรรมะทั้งปวง
ถ้าเรียนเข้ามาให้ถึงจิตถึงใจตัวเอง
จิตมันเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง จิตมันทำหน้าที่รู้
แต่ในขณะที่ทำหน้าที่รู้ จิตโดยตัวของมันเอง
มันรู้ซื่อๆ
แต่มันจะเป็นจิตที่ดีหรือจิตที่เลว
จิตที่สุขหรือจิตที่ทุกข์
เกิดจากสภาวธรรมอย่างอื่นที่เข้ามาประกอบจิต
สภาวะที่ประกอบจิตเขาเรียกว่า เจตสิก
ทำให้จิตซึ่งเป็นธรรมชาติรู้มีลักษณะแตกต่างกัน
จิตดวงนี้เป็นกุศล จิตดวงนี้เป็นอกุศล
จิตดวงนี้เป็นกุศลที่ประกอบด้วยปัญญา
หรือเป็นกุศลเฉยๆ รู้อยู่เฉยๆ ไม่มีปัญญา
หรือเป็นจิตที่มีความสุข มีความทุกข์
จิตที่เป็นอกุศลมีหลากหลาย
จิตโลภก็ไม่เหมือนจิตโกรธ
จิตโกรธก็ไม่เหมือนจิตหลง ไม่เหมือนจิตโลภ
สิ่งที่เข้ามาประกอบจิต
ทำให้จิตแสดงอาการที่แตกต่างกันออกมา
จิตที่มีความสุข มันก็มีอาการของมัน
จิตที่มีความทุกข์ก็มีอาการของมัน
จิตที่เป็นกุศลก็มีลักษณะ มีอาการของมัน
จิตที่เป็นอกุศลก็มีลักษณะเฉพาะของมัน
อย่างจิตโกรธก็มีลักษณะผลัก
พยายามผลักอารมณ์ทั้งหลายออกไป
จิตโลภก็พยายามดึงอารมณ์ทั้งหลายเข้ามา
ฉะนั้นจิตนั้นอาศัยธรรมะที่มาประกอบกับจิต
ทำให้จิตวิจิตรพิสดารขึ้นมา
เราเรียนไปแล้วมันได้ประโยชน์อะไร
ถ้าเราเรียนเห็นว่า
จิตสุขก็อย่างหนึ่ง จิตทุกข์ก็อย่างหนึ่ง
จิตดีก็อย่างหนึ่ง จิตชั่วก็เป็นอีกอย่างหนึ่ง
ในจิตชั่วก็มีแยกออกไป จิตโลภก็อย่างหนึ่ง
จิตโกรธก็อย่างหนึ่ง จิตหลงก็อย่างหนึ่ง
จิตซึ่งเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์ งานหลักมีอันเดียว
แต่แสดงกิริยาอาการต่างๆ ออกมาได้มากมาย
เพราะธรรมะที่มาประกอบมัน
ทำให้เราเห็นว่าจิตเองไม่เที่ยง
จิตสุขก็ไม่เที่ยง เดี๋ยวก็หายไปแล้ว
กลายเป็นจิตทุกข์ หรือเป็นจิตเฉยๆ
จิตทุกข์ก็ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็กลายเป็นจิตสุข หรือเป็นจิตเฉยๆ
จิตเฉยๆ ก็ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็กลายเป็นจิตสุขหรือจิตทุกข์ขึ้นมาอีก
เพราะฉะนั้นองค์ธรรมที่มาประกอบจิต
มันทำให้จิตมีความต่างกัน แต่ละดวงๆ
ดูจิตผ่านเจตสิกทั้งหลาย
ฉะนั้นการที่เราเห็นจิตดวงหนึ่ง
กับอีกดวงหนึ่งเป็นคนละดวงกันได้
อาศัยว่าจิตดวงนี้มันเกิดร่วมกับสุข
จิตดวงนี้มันเกิดร่วมกับทุกข์
มันไม่เหมือนกัน
จิตดวงนี้ไม่สุขไม่ทุกข์ จิตดวงนี้ดี
ดี ก็มีดีหลายระดับ จิตมีศรัทธาในพระรัตนตรัย
มีศรัทธาเข้ามาประกอบก็อย่างหนึ่ง
จิตมีความเพียรมีวิริยะ มันก็มีอาการอย่างหนึ่ง
อย่างจิตไม่มีความเพียรก็หดหู่ ห่อเหี่ยว เซื่องซึมไป
จิตมีความเพียรก็คึกคัก เข้มแข็งขึ้นมา
จิตมีสติ จิตไม่มีสติ
จิตมีสมาธิที่ดีกับจิตมีสมาธิที่เลว
จิตมีสติกับจิตไม่มีสติต่างกันได้
ส่วนจิตมีสมาธิ จิตทุกดวงมีสมาธิ
แต่สมาธิมันเป็นสมาธิที่ดีหรือสมาธิที่เลว
มันแตกต่างกันอีก
อย่างหัดภาวนาทีแรก
นั่งสมาธิแล้วเคลิ้มๆ ลืมเนื้อลืมตัวอย่างนี้
พอเราฝึกนั่งสมาธิ จิตตั้งมั่นเด่นดวงขึ้นมา
เราจะรู้เลยว่าจิตที่เคลิ้มๆ สงบแบบโง่ๆ
กับจิตที่สงบตั้งมั่น รู้ตื่น เบิกบาน
มันคนละดวงกัน
ฉะนั้นธรรมะที่มาประกอบจิต
ทำให้เห็นว่าจิตมันเป็นดวงๆ แยกต่างหากจากกัน
แล้วมีอาการ ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไป
เป็นอย่างนี้ตลอดเวลา จิตไม่ได้มีดวงเดียว
ถ้าใครเห็นว่าจิตเที่ยง หรือเห็นว่าผู้รู้เที่ยง
ยังไม่เข้าใจ ยังใช้ไม่ได้
ถ้าเราเห็นสภาวะของจิตจริงๆ
เราจะเห็นจิตนี้ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็สุข
เดี๋ยวก็จิตสุขเกิดแล้วก็ดับ เกิดจิตทุกข์
จิตทุกข์เกิดแล้วก็ดับ เกิดจิตเฉยๆ
จิตเฉยๆ เกิดแล้วก็ดับ
จิตที่เป็นกุศลมีศรัทธา เดี๋ยวก็เสื่อมศรัทธา
มีความเพียร ประเดี๋ยวก็ ขี้เกียจอะไรอย่างนี้
ก็จะเห็นว่าจิตนี้เกิดดับๆ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
ตรงนี้เราเห็นจิตเกิดดับผ่านสิ่งที่มาประกอบจิต
เรียกว่าเกิดดับได้
จิตแต่ละอย่างๆ หลากหลายวิจิตรพิสดารมาก
จิตดวงนี้เข้าฌานระดับนี้ๆ
จิตดวงนี้อาศัยช่องว่างอยู่
จิตดวงนี้อาศัยการรู้จิตอยู่
จิตดวงนี้อาศัยการที่จะไม่เกาะเกี่ยวอะไรอยู่
วิจิตรพิสดารมาก จิต
แต่พอเราเฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ ดูเท่าที่ดูได้
ดูคู่เดียวก็พอแล้ว
อย่างถ้าเราขี้โมโหก็เห็นจิตโกรธแล้วก็จิตไม่โกรธ
จิตโกรธแล้วก็จิตไม่โกรธ ดูอย่างนี้
เราก็จะเห็นว่าจิตนั้นมันเกิดดับ
จิตโกรธเกิดแล้วก็ดับ จิตที่ไม่โกรธเกิดแล้วก็ดับ
ฉะนั้นการดูจิตไม่ใช่ไปนั่งดูจิตว่างๆ นิ่งๆ อยู่
อันนั้นดูจิตไม่เป็น คนที่ไม่เป็นก็อย่างหลวงพ่อนี้ล่ะ
หลวงปู่ดูลย์บอกให้หลวงพ่อดูจิต
หลวงพ่อก็ไปดูมัน เห็นจิตมันทำงาน
มันไปปนเปื้อนเข้ากับความรู้สึกนึกคิดทั้งหลาย
ปนเปื้อนกับเจตสิกทั้งหลาย
บางทีก็ปนเปื้อนกับความรู้สึกทั้งหลาย
ปนเปื้อนกับตัวอารมณ์
จิตมันไหลเข้าไปจับตัวอารมณ์
บางทีมันก็ปนเปื้อน มันถูกปรุงแต่งด้วยตัวเจตสิก
สุข ทุกข์ ดี ชั่วทั้งหลาย
นี้เข้าใจผิดว่าดูจิตต้องดูให้ถึงตัวจิตจริงๆ ไม่มีตัวอื่น
ก็ค่อยๆ ดูๆๆ ค่อยๆ แยกๆๆๆ ไป
ในที่สุดจิตก็สงบ ตั้งมั่น รู้ นิ่งๆ อยู่อย่างนั้น
ดูจิตไปก็มีแต่ความนิ่งความว่าง
ดูทีไรก็นิ่งๆ ว่างๆ ทุกทีเลย
ฝึกดูอยู่ 3 เดือน ขึ้นไปกราบหลวงปู่ดูลย์บอก
“หลวงปู่ครับ ผมดูจิตได้แล้ว”
หลวงปู่ถามว่า “จิตเจ้าเป็นอย่างไร จิตเป็นอย่างไร”
บอกท่านว่า “จิตนี้มันวิจิตรพิสดารมาก มันปรุงแต่งได้นานาชนิด แต่ผมรู้ทันมันหมดเลย ผมทิ้งหมดเลย สิ่งที่มาปรุงจิตเข้ามาอยู่ที่จิตอันเดียว มารักษาอยู่ ดูจิตได้แล้ว มีแต่จิตอย่างเดียวเลย ไม่ดูเจตสิก ไม่ดูสุข ทุกข์ ดี ชั่ว ไม่เอาทั้งสิ้นอารมณ์ทั้งหลายก็ไม่สนใจมัน สนใจอยู่ที่ตัวจิตอย่างเดียว”
หลวงปู่บอกว่าทำผิดแล้ว ให้ไปดูจิต ไม่ได้ให้ไปแทรกแซงจิต
จิตมีธรรมชาติคิด นึก ปรุง แต่ง
ไม่ได้ไปฝึกให้มันไม่คิด ไม่นึก ไม่ปรุง ไม่แต่งแล้วอยู่กับความว่าง
ไปดูใหม่ ทำผิดแล้วไปดูใหม่
ฉะนั้นอย่างพวกเราภาวนาผิด ไม่ต้องเสียใจ
ใครๆ ก็ผิดมาก่อน ก่อนจะถูกก็ผิดมาทั้งนั้น
หลวงพ่อก็ทำผิดมาเยอะ ถึงได้มาสอนพวกเราได้
ถ้าประเภททำทีเดียวถูกโพละ ปุ๊บเลย
สอนอะไรใครไม่ได้หรอก
รู้แต่ว่าดูๆ แล้วมันหลุดไปเลย ไม่รู้เหตุรู้ผล
ทำผิด รู้ว่าอย่างนี้ผิดๆ เลยมาดูใหม่
สิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
อันนั้นเป็นภูมิความรู้ของพระโสดาบัน
ฉะนั้นการที่เราเฝ้าดูจิตที่มันเกิดดับ เปลี่ยนแปลงไป
เรากำลังเดินเข้าไปสู่เส้นทางของพระโสดาบัน
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
การดูจิตก็คือจิตเป็นอย่างไร รู้ว่าเป็นอย่างนั้น
จิตมันเป็นอย่างไรบ้าง
จิตมันเดี๋ยวมันก็มีจิตสุขเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เดี๋ยวก็มีจิตทุกข์เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เดี๋ยวก็มีจิตเฉยๆ เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป
เดี๋ยวก็มีจิตที่มีศรัทธาเกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
เกิดจิตไม่ศรัทธา ลังเล สงสัย อันนี้จริงหรือ
พระพุทธเจ้ามีจริงไหมอะไรอย่างนี้
ลังเลสงสัยธรรมะที่ท่านสอนจะช่วยให้เราพ้นทุกข์ได้จริงหรือ
คำว่าลังเลสงสัย ต้องลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย
ถ้าลังเลสงสัยว่าถนนหน้าวัดหลวงพ่อมันวิ่งจากไหนไปไหน
อันนั้นไม่เรียกว่าวิจิกิจฉา
วิจิกิจฉาตัวนี้ต้องลังเลสงสัยในพระรัตนตรัย
การสงสัยทางโลกพระอรหันต์ก็สงสัยได้
อย่างท่านเดินธุดงค์ เดินๆ ไปสงสัยว่า
เอ๊ะ หลงเข้ามาในป่าลึก จะออกมันจะออกทางไหน
ทางไหนมันทิศเหนือ ทิศใต้ ตะวันออก ตะวันตก
อย่างนี้สงสัยได้ สงสัยอย่างนี้ไม่ใช่กิเลส
เป็นความสงสัยธรรมดา
ฉะนั้นจิตเกิดลังเลสงสัยในพระรัตนตรัยก็รู้
จิตมีศรัทธางมงายในพระรัตนตรัยก็รู้
เฝ้ารู้เฝ้าดูลงไป บางทีจิตก็เกิดสติถี่ยิบเลย
อีกวันหนึ่งไม่ยอมเกิดเลย หลงตลอดเลย
จิตมีสติก็รู้ จิตหลงไปก็รู้ เราก็จะเห็นเลย
จิตมันวิจิตรพิสดาร มีหลากหลายเหลือเกิน
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย สารพัดจะเป็น
แล้วหัดรู้หัดดูเรื่อยๆ ต่อไปมันก็จะเข้าใจเลย
จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
จะจิตสุข จิตทุกข์ จิตดี จิตชั่ว
จิตผู้รู้ จิตผู้หลง เกิดแล้วดับทั้งสิ้น เฝ้ารู้อย่างนี้
ปัญญามันถึงจะเกิด มันจะรู้ว่า
จิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเราหรอก
อย่างมันจะสุข เราสั่งมันไม่ได้ว่าจงสุข
มันจะทุกข์ ห้ามมันไม่ได้ว่าอย่าทุกข์
ห้ามมันได้ แต่มันไม่ฟังหรอก
บอกว่าอย่าทุกข์ มันก็จะทุกข์
เหมือนบางคน ผู้หญิงบางคน
แฟนมันหลอกอย่างนู้นอย่างนี้ แล้วจับได้
ต่อไปนี้จะไม่รักมันแล้วล่ะ
ประเดี๋ยวมันมาอ้อนใหม่ก็รักมันใหม่อีก
ใจเราเราสั่งไม่ได้ ตรงที่สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้
อันนั้นมันแสดงคำว่า อนัตตา ให้เห็น
ไม่อยู่ในอำนาจบังคับ
ฉะนั้นการที่เราเห็นจิตเกิดดับร่วมกับเจตสิกธรรมต่างๆ
มันทำให้เห็นว่าจิตแต่ละดวงไม่เหมือนกัน
ดวงหนึ่งเกิดขึ้น ดวงหนึ่งดับไปทั้งวันทั้งคืน เป็นอย่างนี้
เราจะเห็นจิตเกิดทีละดวงแล้วก็ดับ
แล้วไปเกิดแล้วก็ดับอยู่อย่างนี้
ต่อเนื่องกันไปเรื่อยๆ ไม่ขาดสาย
ในที่สุดก็จะเห็นจิตทุกดวงเกิดแล้วดับ
จิตทั้งหลายมันไม่เที่ยง
ต่อไปปัญญามันแก่รอบ
รู้ว่าสิ่งทั้งหลายมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา
อันนั้นเป็นภูมิความรู้ของพระโสดาบัน
ฉะนั้นการที่เราเฝ้าดูจิตที่มันเกิดดับ เปลี่ยนแปลงไป
เรากำลังเดินเข้าไปสู่เส้นทางของพระโสดาบัน
สุดท้ายจิตมันก็ฉลาด จิตมันก็รู้เลย
จิตทุกชนิดเกิดแล้วดับ เฝ้ารู้เฝ้าดูไปเรื่อยๆ
จนกระทั่งเข้าใจความจริง จิตไม่ใช่เรา
บางคนก็เห็นจิตมันไม่เที่ยง คือมันเกิดแล้วดับ
บางคนก็เห็นจิตบังคับไม่ได้ สั่งไม่ได้
สั่งให้ดีไม่ได้ ห้ามชั่วไม่ได้
สั่งให้สุขไม่ได้ ห้ามทุกข์ไม่ได้
รู้เลยว่าจิตนี้ไม่อยู่ในอำนาจบังคับเรียกว่าเห็น อนัตตา
มันไม่ใช่ตัวเรา
ถ้าตัวเรา เราคงสั่งได้ แต่เราสั่งมันไม่ได้
ฉะนั้นมันไม่ใช่ตัวเรา
บางคนก็เลยเห็นจิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา
เพราะว่ามันไม่เที่ยง
บางคนเห็นว่ามันไม่ใช่ตัวเรา
เพราะมันบังคับไม่ได้ มันสั่งไม่ได้ ควบคุมไม่ได้
ถ้าเห็นอย่างนี้ มันก็เข้าใจความจริง จิตไม่ใช่ตัวเรา
เป็นแต่สภาวธรรมที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
สืบเนื่องกันไป แค่นั้นล่ะ
ไม่มีอะไรแปลกประหลาดเลย
ทันทีที่เราเห็นว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา
เจตสิกทั้งหลายก็ไม่ใช่ตัวเรา
กระทั่งตัวจิตยังไม่ใช่เราเลย
ความสุข ความทุกข์ที่จิตไปรู้เข้า มันก็แค่ของถูกรู้
กุศล อกุศลทั้งหลาย มันเป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
ก็แค่ของถูกรู้ถูกดู มันไม่มีเรา
พอจิตไม่เป็นเรา เจตสิกก็พลอยไม่เป็นเราไปด้วย
รูปคือร่างกายนี้ ก็พลอยไม่เป็นเราไปด้วย
ร่างกายก็เป็นของถูกรู้
ฉะนั้นถ้าเข้าใจจิตตัวเดียว
ก็จะเข้าใจเจตสิก เข้าใจรูป เข้าใจไปหมด
ต่อไปก็จะเข้าใจรูปนามภายนอกด้วย
เป็นอันเดียวกันหมดเลย
กระทั่งร่างกายนี้ยังไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
แล้วบ้านมันจะเป็นตัวเราของเราได้อย่างไร
มันจะเห็น ฉะนั้นถ้าเราตัดตรงเข้ามาเห็นความจริงของจิตได้
เวลาที่มันรู้แจ้งแทงตลอดในตัวจิตว่าจิตไม่ใช่ตัวเรา
เจตสิกทั้งหลายก็พลอยไม่ใช่เราด้วย
เป็นแค่ของถูกรู้ถูกดู
รูปทั้งหลายมันก็ไม่ใช่ตัวเรา
มันเป็นแค่ของถูกรู้ถูกดูเท่านั้น
ตัวนี้มันก็ถูกรู้ รูปภายในหรือรูปภายนอก
รูปคนอื่นอะไรอย่างนี้ รูปสัตว์อื่น
มันก็อาการเดียวกัน มีลักษณะอันเดียวกัน
คือมันเป็นวัตถุ เป็นก้อนธาตุ เหมือนๆ กัน
สุดท้าย มันก็ตายก็เน่าไป
กลับไปเป็นธาตุดิน น้ำ ไฟ ลม เหมือนเดิม
เพราะฉะนั้นเข้าใจที่จิตตัวเดียว
จะเข้าใจธรรมทั้งหมด …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
30 มกราคม 2565
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา