Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
12 ก.พ. 2022 เวลา 02:10 • ไลฟ์สไตล์
“ใช้จิตธรรมดา ในการภาวนา”
“… การภาวนา ปฏิบัตินี่ ดูกายดูใจเรา
เบื้องต้นทำสมาธิให้เกิดขึ้นก่อน
จิตที่จะเอาไปเดินปัญญาได้ต้องทรงสมาธิที่ถูกต้อง
สมาธิ 2 อย่าง
อันหนึ่งจิตมันสงบอยู่ในอารมณ์อันเดียว ได้พักผ่อน
คือทำให้จิตมีกำลัง
ถ้าจิตไม่ได้พักผ่อนเลยจิตไม่มีกำลัง
ลำพังจิตมีกำลังอย่างเดียวยังไม่พอ
ต้องมีสมาธิอีกชนิดหนึ่ง
คือความตั้งมั่นของจิต
ที่จะถอนตัวออกจากปรากฏการณ์ทั้งหลาย
ที่จิตไปรู้ไปเห็น จิตก็จะต้องถอยออกมา
ถอนตัวออกมาเป็นผู้รู้ผู้ดู
ฉะนั้นต้องมีทั้งเรี่ยวแรงของจิต
มีความตั้งมั่นถอนตัวออกจากปรากฏการณ์ทั้งหลาย
ทำหน้าที่เป็นผู้รู้ผู้ดูเท่านั้น
วิธีฝึกหลวงพ่อก็พูดอยู่แทบทุกวัน ตั้งแต่ยังไม่บวช
หลวงพ่อก็สอนวิธีที่พวกเราจะฝึกให้ได้สมาธิจริงๆ สังเกตที่จิตเราเอง
มันจะเป็นวิธีลัดให้ได้สมาธิอย่างรวดเร็ว
ถ้าเราทำสมาธิแต่ไม่เคยสังเกตจิตใจตัวเอง ยากมาก
ส่วนใหญ่มันจะกลายเป็นมิจฉาสมาธิเสีย
ไม่เคร่งเครียดก็เซื่องซึม มี 2 อย่าง
อีกอย่างหนึ่งก็ฟุ้งซ่านไป รวมเป็น 3 อย่าง
เครียดไป ฟุ้งซ่านไป พอสงบก็เซื่องซึม
สมาธิพวกนั้นใช้อะไรไม่ได้
ยิ่งฝึกมากๆ ก็ยิ่งพอกพูนกิเลส
ราคะก็จะแรงขึ้น
คือความติดอกติดใจในความสุขความสงบ
พอจิตถอนออกจากสมาธิโทสะก็จะขึ้น หงุดหงิด
หรือเราทำสมาธิด้วยการบังคับตัวเองมากๆ
จิตมันก็มีโทสะ
นั่งสมาธิแล้วก็เคลิบเคลิ้มไป จิตก็มีโมหะ
หรือนั่งสมาธิแล้วจิตก็ฟุ้งเห็นโน่นเห็นนี่ไป
อันนั้นก็เป็นโมหะ
ฉะนั้นถ้าเราไม่สังเกตจิตใจตัวเองให้ดี
ไปลงมือทำสมาธิละเลยจิต
ส่วนใหญ่มันก็จะไปเป็นมิจฉาสมาธิ
เว้นแต่ว่ามีบุญวาสนาบารมีจริงๆ สะสมมามากแล้ว
ไม่ได้สนใจจิต ภาวนาไป หายใจไป พุทโธไปปุ๊บ
ผู้รู้มันโดดเด่นขึ้นมา
อันนั้นสำหรับคนซึ่งเขาสะสมมานานแล้ว
คนส่วนใหญ่มันจะไปเป็นมิจฉาสมาธิเกือบทั้งหมด
หลวงพ่อเห็นมาตอนหลวงพ่อเรียนกับหลวงปู่ดูลย์แล้ว
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกหลวงพ่อพอจะพึ่งตัวเองได้แล้ว
พึ่งตัวเองได้ หลวงพ่อก็ออกไปดูนักปฏิบัติสำนักต่างๆ
ก็รู้เลยว่ามันไปยาก เขาไม่รู้เท่าทันจิตตนเอง
สมาธิที่เกิดมันออกไปทางมิจฉาสมาธิ
บางคนนั่งสมาธิแล้วก็ซึมเคลิ้มๆ ซึมๆ ลืมเนื้อลืมตัว
อันนั้นโมหะมันครอบ
บางทีนั่งสมาธิแล้วเห็นโน้นเห็นนี้ไป
แล้วใจก็ฟุ้งซ่าน ฟุ้งซ่านก็ตระกูลโมหะ
นั่งแล้วก็เพลินมีความสุข ยิ้มหวาน เพลินไปเรื่อยๆ
ติดอกติดใจในรสชาติของสมาธิ
อันนั้นราคะมันก็แทรก
นั่งสมาธิ เดินจงกรมแล้วกดข่มบังคับจิตใจตนเอง
หรือบังคับร่างกายตัวเอง
จะเดินจงกรมก็บังคับตัวเองมากเลย
นั่งสมาธิก็บังคับตัวเอง หายใจก็บังคับลมหายใจ
พวกนี้โทสะมันจะแทรก
ไปดูแล้วคนทำสมาธิเกือบร้อยละร้อยมันทำไม่ถูกหรอก
ไม่ได้ปรามาสล่วงเกินเขาแต่เห็นอย่างนั้นจริงๆ
ก็นึกว่า โอ้ อย่างนี้ร้อยคนพันคน
มันจะหลุดออกมามีสมาธิที่ถูกต้องสักกี่คน ยากมาก
ฉะนั้นเราสังเกตจิตใจของเราเองไป
เวลาเราจะทำสมาธิ อันแรกเราต้องรู้หลัก
ทำอย่างไรจิตจะสงบ ทำอย่างไรจิตจะตั้งมั่น
2 อันนี้ไม่เหมือนกัน
อยากให้จิตสงบก็รู้จักเลือกอารมณ์ที่มีความสุข
แล้วใช้จิตที่มีความสุขไปรู้อารมณ์ที่มีความสุขนั่นล่ะ
รู้ไปสบายๆ แต่ตรงสบายๆ ก็ไม่ใช่แกล้งสบาย
ทำใจเคลิ้มๆ อะไรอย่างนั้น
อันนั้นไม่ได้เรื่องหรอกสติอ่อนเกินไป
สะกดจิตตัวเองให้มีความสุข นั้นใช้ไม่ได้
จิตที่มีความสุขนั้นคือจิตธรรมดานี่ล่ะ
นี้คนในโลกมันไม่รู้จักจิตธรรมดา
เพราะว่ามีแต่จิตที่ไม่ธรรมดา
จิตธรรมดา
คนในโลกจิตของเขาไม่เคยธรรมดาเลย
มันถูกกิเลสแทรกอยู่ตลอดเวลา
ดวงนี้มีราคะ ดวงนี้มีโทสะ
ทุกๆ ดวงมีโมหะ
เวลามีราคะมันก็ต้องมีโมหะด้วย
มีโทสะก็ต้องมีโมหะด้วย
ฉะนั้นบางเวลาก็มีราคะ บางเวลาก็มีโทสะ
แต่ตลอดเวลามีโมหะ มันใช้ไม่ได้
ถ้าสังเกตจิตใจตัวเอง จิตใจมันไม่ธรรมดา
คนส่วนใหญ่มันชอบคิดว่าผู้ปฏิบัติเป็นพวกไม่ธรรมดา
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอกว่า
“ผู้ปฏิบัติที่ปฏิบัติดี ธรรมดาที่สุดเลย”
ส่วนคนส่วนใหญ่ไม่ธรรมดา
จิตถูกราคะ โทสะ โมหะแทรกอยู่ตลอดเวลา
จิตไม่ธรรมดา คือจิตเป็นทาส
เราใช้จิตธรรมดาๆ ไปภาวนา
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธก็ได้ นี่เป็นตัวอย่าง
จะใช้กรรมฐานอะไรก็ได้ในเบื้องต้น
เพื่อความสงบ เอาที่ถนัด
ยกตัวอย่างเช่นหายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
ตอนที่ลงมือหายใจ ลงมือทำอานาปานสติ
อย่าบังคับจิต
จิตใจของเราตอนนี้เป็นอย่างไร ใช้จิตอย่างนั้นล่ะ
ภาวนาไปเรื่อยๆ
บางคนมันเครียดมาก จิตเครียดมากๆ
หลวงพ่อก็เคยบอกอุบายให้อันหนึ่ง
ยิ้มไว้ก่อน ลองยิ้มสิ พวกเราลองยิ้มสิ ยิ้มหวานๆ
ยิ้มเหมือนมีสาวมาบอกรักเรา ยิ้มหวานๆ
สังเกตไหมตอนที่เรายิ้มใจเราคลายออก รู้สึกไหม
ตอนที่จริงจังอย่างนี้ ใจมันรวบเข้ามาแน่นๆ
ฉะนั้นครูบาอาจารย์ท่านก็มีอุบาย
อย่างก่อนจะนั่งสมาธิ
ท่านบอกให้ไหว้พระสวดมนต์ก่อน
ไหว้พระ สวดมนต์ใจจะได้สบายแค่นั้นล่ะ
บางคนนึกว่าเพื่อจะขอพร ไม่ใช่
เราไหว้พระสวดมนต์ให้สบายใจ
แต่บางคนไหว้พระสวดมนต์แล้วไม่สบายใจ
มันก็ไม่ได้ประโยชน์อะไร
วิธีขี้โกงแบบรวบรัดเลย
ยิ้ม ยิ้มหวานๆ ยิ้มด้วยหัวใจ
ถ้าใจเรายิ้มหน้าเราก็ยิ้มเอง
ถ้าหน้ายิ้มแต่ใจเครียด เรียกว่ายิ้มไม่ออก
ยิ้มแบบหุบๆ เอาไว้
หายใจสบาย หายใจยาวๆ อย่างนี้นะ
ถ้าตอนนั้นมันเครียดมากๆ หายใจเข้าไปลึกๆ
อย่าไปอยากหายเครียด หายใจลึกๆ
แล้วก็พ่นลมออกไป
ธรรมชาติมันสอนเราอยู่แล้ววิธีนี้
เวลาที่คนเครียด
สังเกตไหมเวลาคนมีความทุกข์มากๆ
มีความเครียดมากๆ ชอบถอนใจ
ถอนใจแล้วมันผ่อนคลาย
เบื้องต้นก็มีอุบายให้ใจมันผ่อนคลาย
ให้ใจมันเป็นธรรมดา
แต่ไม่ใช่แกล้งทำเป็นมีความสุข ทำใจ
อย่างนี้ใช้ไม่ได้ เหลวไหล ใจไม่ธรรมดา
อย่างนั้นใจดัดจริต
ใช้ใจ ธรรมดาๆ แล้วใจมันเครียดถอนใจมันเสียทีหนึ่ง
สติมันยังไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ยิ้มหวานๆ ยิ้ม
เห็นร่างกายมันยิ้มใจเป็นคนรู้สึก ใจมันผ่อนคลาย
พอใจเราผ่อนคลายแล้ว ทำกรรมฐานไป
หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ รู้ไป
ด้วยใจที่ผ่อนคลาย
ไม่ใช่หายใจไปก็เครียดเมื่อไรจะสงบๆ ไม่มีวันสงบเลย
ใจที่เครียดไม่สงบหรอก
ใจที่ผ่อนคลาย ใจที่มีความสุข
มันสงบโดยตัวของมันเองอยู่แล้ว
สังเกตไหมบางทีเราไปนั่ง สมมติไปนั่งริมทะเล
หรือบางคนชอบภูเขาไปอยู่บนภูเขา
ไม่ได้ทำอะไรวุ่นวาย ไม่ได้จงใจให้จิตสงบ
จิตมันมีความสุข มันมีความสงบในตัวของมันเอง …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา
ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา คือเราเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา เห็นธรรมดา ใจยอมรับธรรมดาอันนี้
Photo by : Unsplash
4 บันทึก
16
4
6
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
4
16
4
6
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย