Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
12 ก.พ. 2022 เวลา 08:53 • ไลฟ์สไตล์
“ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา”
“ … ถ้าเรารู้ทันจิตใจของเราแล้ว
จิตเราหลุดออกจากโลกของความคิด ตัวรู้มันก็เกิด
ถ้าเราหลงอยู่ในโลกของความคิด
ตัวรู้ก็ไม่มีเพราะมันมีแต่ตัวคิด
จิตผู้รู้มันก็อันหนึ่ง จิตผู้คิดมันก็อันหนึ่ง
จิตผู้เพ่งมันก็เป็นอีกอันหนึ่ง
จิตผู้โลภก็อันหนึ่ง จิตผู้โกรธ จิตผู้หลง
จิตฟุ้งซ่าน จิตหดหู่ จิตผู้สุข ผู้ทุกข์
คนละตัวกันหมด
1
แต่ดูที่ง่ายๆ ความคิดเรามีทั้งวัน
พอเห็นกระแสความคิดไหลวืดขึ้นมา จิตเป็นคนรู้
รู้เลยว่าความคิดกับจิตคนละตัว
จิตมันดีดตัวออกมาเป็นคนดูแล้ว
ไม่หลงไปอยู่ในโลกของความคิด
1
พอจิตมันตั้งมั่นแล้วคราวนี้เราเดินปัญญาได้แล้ว
ก็จะเห็นจิตคิดมันก็คิดของมันได้เอง
ความคิดมันผุดขึ้นมาได้เองไม่ใช่เราจงใจคิด
ไม่ต้องจงใจคิดหรอก
1
2
ลองทดสอบสิ ลองตั้งใจว่าเราต่อไปนี้เราจะไม่คิด
ลองดูสิทำได้ไหม
เห็นหรือยังว่าทำไม่ได้
มันคิดได้เอง ดูออกหรือยัง
ตรงที่ว่ามันคิดได้เอง นี่คือเห็นอะไร เห็น”อนัตตา”
เห็นไหมภาวนาไม่ใช่เรื่องลึกลับยากเย็นแสนเข็ญอะไรเลย ง่ายๆ แค่นี้ล่ะ หลวงพ่อเห็นจิตมันทำงานได้เอง มันคิดได้เอง มันสุขได้เอง มันทุกข์ได้เอง มันดีได้เอง มันชั่วได้เอง
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปมันชั่วได้เองด้วย มันชั่วเอง
เช่น อยู่ๆ สัญญามันนึกภาพคนนี้ขึ้นมา โทสะเราก็พุ่งเลย สัญญามันนึกภาพคนนี้ขึ้นมา ราคะมันก็พุ่งขึ้นมาเลย
โทสะเราไม่ได้คิดจะให้มันเกิด มันก็เกิดได้เอง
ราคะเราไม่ได้คิดให้เกิด มันก็เกิดเอง
เหมือนตัวความคิดเราไม่ได้เจตนาจะคิดมันก็คิดได้เอง
ตรงที่มันเป็นเอง มันทำได้เอง
แสดงว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก
ตรงนั้นเราเห็นอนัตตาอย่างง่ายๆ เลย
1
เพราะฉะนั้นเราภาวนา เราค่อยๆ ฝึก
พอจิตเราตั้งมั่นเป็นคนดูได้
มันจะเห็นไตรลักษณ์อย่างง่ายๆ เลย
ไม่ลึกลับอีกต่อไปแล้ว
ยากไปไหม สมาธิจะให้สงบสอนแล้วนะ
ใช้ใจที่ธรรมดาไปรู้อารมณ์ที่เราถนัด
รู้แล้วมีความสุข รู้อย่างธรรมดาๆ
ไม่เข้าไปแทรกแซงอารมณ์ ไม่เข้าไปแทรกแซงจิต
แทรกแซงอารมณ์ เช่น แทรกแซงการหายใจ
เราใช้ลมหายใจเป็นวิหารธรรม แทรกแซง
หายใจไม่กี่ทีก็เหนื่อยแล้ว
หายใจมาตั้งแต่เกิดไม่เหนื่อย
กำหนดลมหายใจทีเดียว เหนื่อย
เพราะว่าแทรกแซงลมหายใจ แทรกแซงการหายใจ
หรือจิตเราปกติมันก็เคลื่อนไหวไปมา ไปแทรกแซงมัน
ต้องนิ่ง บังคับให้มันนิ่ง มันเครียด
อย่างนี้แทรกแซง ไม่สงบหรอก
ฉะนั้นใช้จิตใจที่ธรรมดาไปรู้อารมณ์ที่รู้แล้วมีความสุข
รู้ไปอย่างธรรมดาๆ ไม่แทรกแซงอารมณ์ ไม่แทรกแซงจิต
จะสงบในเวลาอันสั้น แล้วมีสติกำกับตลอดเวลา
ตรงนี้เคลิ้มไปแล้ว ตรงนี้เข้าไปแทรกแซงแล้ว มีสติกำกับจิตไว้
1
2
หลวงพ่อถึงบอกถ้าเราไม่รู้เท่าทันจิตตัวเอง ทำสมถะยังยากเลย
อย่าว่าแต่จะทำวิปัสสนาเลย
เพราะว่าจิตใจมันจะไม่ปกติ ไม่ธรรมดา
ฉะนั้นเราสังเกตจิตเรา ค่อยๆ สังเกตไป
พอจิตใจเราธรรมดาๆ
จะทำสมถะก็ใช้จิตใจธรรมดานี่ล่ะ
ไปรู้อารมณ์รู้อย่างธรรมดาๆ
ไม่แทรกแซงอารมณ์ ไม่แทรกแซงจิต
สงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
วางใจว่าสงบก็ช่าง ไม่สงบก็ช่าง
นี่สงบทันทีเลย
แต่ถ้าวางใจว่าต้องสงบๆ ไม่สงบหรอก
ถ้าจะฝึกให้ได้จิตตั้งมั่นเป็นผู้รู้
ก็สังเกตไปจิตกับปรากฏการณ์ทั้งหลายมันคนละอันกัน
ตัวง่ายๆ คือตัวคิด เพราะตัวคิดมีทั้งวัน คิดทั้งวัน
จิตมันคิดขึ้นมาเรารู้ทันว่าตอนนี้จิตคิด ตัวรู้มันเป็นคนดู
เห็นกระแสความคิดอยู่ต่างหาก
จิตที่เป็นคนรู้ว่าคิดอยู่ต่างหาก แยกกัน
หรือดูตรงนี้ไม่เห็น ดูกายก็ได้
นั่งขยับไปขยับเล่นๆ
ไม่ใช่ขยับต้องมีกระบวนท่ามากมาย
ยิ่งเครียดหนักเข้าไปอีก ยิ่งคิดหนักเข้าไปอีก
ว่าท่านี้แล้วจะไปต่อท่าไหน ไม่ต้องมีกระบวนท่า
กระบวนท่านั้นครูบาอาจารย์บางท่าน
ท่านคิดขึ้นมาเป็นอุบายเพื่อจะมัดใจไม่ให้มันดิ้น
ทีแรกจิตใจมันคะนองมาก
เหมือนควายดุๆ เหมือนกระทิงเปลี่ยว
ก็คิดอุบายมากมายวิธีกระดุกกระดิก
ทำอย่างนั้นอย่างนี้ เหมือนเชือกมัดควายเท่านั้นล่ะ
ถ้าเราไม่ได้เป็นควายก็ไม่ต้องยุ่งขนาดนั้น
ทำกรรมฐานสบายๆ นี่ล่ะ แล้วสังเกตเอา
อย่างเรานั่งอยู่อย่างนี้ เห็นไหมร่างกายมันนั่ง
ถามจริงๆ ตอนนี้ใครไม่รู้ว่ากำลังนั่งอยู่บ้างมีไหม
ส่วนใหญ่ก็นั่ง รู้สึกไหมร่างกายมันนั่งอยู่
มันยากไหมที่จะรู้ว่าตอนนี้กำลังนั่ง
ไม่เห็นยากตรงไหนเลย
ถ้านั่งอยู่แล้ว เอ๊ะ สงสัยตอนนี้นั่งหรือนอน
นี่โรคจิตแล้วไม่ใช่คนปกติแล้ว
อย่างตอนนี้นั่งอยู่ หรือตอนนี้ยิ้มอยู่
ร่างกายมันยิ้มรู้ไหม
ไม่เห็นว่ามันจะยากตรงไหนเลยที่มันจะรู้
ถ้าเราคอยรู้สึก ร่างกายมันเป็นอย่างนั้นเป็นอย่างนี้ รู้สึกๆ
แป๊บเดียวจิตมันจะขึ้นมาเป็นผู้รู้เอง ผู้รู้มันจะเกิดเอง
ผู้รู้มันเกิดได้เมื่อมันเห็นว่าอันนี้ถูกรู้
ทันทีที่เห็นว่าอันนี้ถูกรู้ มันก็มีผู้รู้ขึ้นมาอัตโนมัติ
อย่างเราเห็นลมหายใจถูกรู้ ผู้รู้มันก็เกิด
เห็นร่างกายมันนั่ง ผู้รู้มันก็เกิด
เห็นจิตมันคิด ผู้รู้มันก็เกิด
ฉะนั้นอย่างถ้าเราดูจิตได้ เราก็ดูไปเลย
ความคิดกับจิตมันคนละอันกัน
ความสุข ความทุกข์ ความดี ความชั่วกับจิต มันคนละอันกัน
ดูอย่างนี้ก็ได้
ถ้าดูนามธรรมไม่เป็น
ดูรูปธรรมร่างกายเราอย่างนี้
ร่างกายนั่งก็รู้สึกไปร่างกายมันนั่ง
เออ มันถูกรู้จริงๆ ใครจะไม่รู้ว่านั่งอยู่ก็เพี้ยนแล้ว
ร่างกายมันหายใจ
ลองนึกสิตอนนี้ร่างกายหายใจออกรู้สึกไป
ร่างกายหายใจเข้า แค่รู้สึกๆ
รู้สึกได้ไหมว่าร่างกายหายใจออก
หรือร่างกายหายใจเข้า
2
ถ้าตรงนี้รู้สึกไม่ได้ไปปรึกษาจิตแพทย์เลย
เพี้ยนอย่างหนักแล้ว
หายใจออกหรือหายใจเข้ายังไม่รู้เลย
ผิดปกติมนุษย์แล้ว
เรื่องธรรมดาที่ยิ่งใหญ่
กรรมฐานนี่ ไม่ใช่เรื่องประหลาดลึกลับพิสดารอะไรทั้งสิ้น
เป็นเรื่องธรรมดาๆ นี่ล่ะ ธรรมดาที่ยิ่งใหญ่
ธรรมะเป็นธรรมดาที่ยิ่งใหญ่
อย่างตอนนี้นั่งอยู่ ตอนนี้ยิ้มอยู่ รู้สึกร่างกายไป
จะขยับซ้ายขยับขวารู้สึกไป
อันนี้อยู่ในสติปัฏฐานเรียกว่าสัมปชัญญบรรพ
อยู่ในสัมปชัญญบรรพ
ร่างกายขยับอะไรรู้สึก
แต่ถ้าหยาบขึ้นมาร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้สึก
หรือร่างกายหายใจออก ร่างกายหายใจเข้า รู้สึก
ถนัดอันไหนเอาอันนั้น
ในร่างกายที่ดูง่ายๆ ก็มี 3 อันนี้
จะดูการหายใจ ร่างกายหายใจก็ได้
ดูร่างกายยืน เดิน นั่ง นอนก็ได้
ดูร่างกายเคลื่อนไหว ร่างกายหยุดนิ่งก็ได้
ดู 3 อย่างนี้เลือกเอาสักอย่างหนึ่งก็ได้
ไม่ต้องเอาทั้งหมดหรอก
นั่งอยู่รู้สึกร่างกายมันนั่ง
ไม่ต้องหาว่าตัวผู้รู้อยู่ที่ไหน
นี่เป็นเคล็ดลับอีกตัวหนึ่ง
ถ้าไปหาว่าตัวผู้รู้อยู่ที่ไหนแล้วก็
ชาตินี้ก็ไม่เจอ ชาติหน้าก็ไม่เจอ
เพราะหลวงปู่ดูลย์ท่านเคยบอก
“ใช้จิตแสวงหาจิต อีกกัปหนึ่งก็ไม่เจอ”
กัปหนึ่งนี่หลายชาติเลย
“ใช้จิตไปแสวงหาจิต อีกกัปหนึ่งก็ไม่เจอ”
ฉะนั้นเราไม่ต้องไปแสวงหาตัวผู้รู้
เราแค่เห็นว่าร่างกายนั่งอยู่ นี่มันถูกรู้
ร่างกายหายใจนี่มันถูกรู้
ถ้ามันมีสิ่งที่ถูกรู้เมื่อไร มันก็มีผู้รู้เมื่อนั้น
มันเกิดขึ้นอย่างอัตโนมัติเลยง่ายๆ
บอกแล้วว่าง่าย ไม่ได้มีอะไรลึกลับหรอก
สิ่งที่หลวงพ่อสอนเรื่องธรรมดาทั้งหมด
เพียงแต่มนุษย์ทั้งหลายมันไม่ธรรมดา
เพราะว่าจิตมันถูกโลภ โกรธ หลง ครอบงำเอาไว้
ก็เลยรู้สึกว่าธรรมะนี้ยาก
จริงๆ ธรรมดาที่สุด ค่อยๆ ฝึกตัวเองไป
เราก็จะมีจิตที่เป็นคนรู้คนดูได้
มีผู้รู้กับสิ่งที่ถูกรู้ จะเกิดขึ้นคู่กัน
เมื่อไรมีจิต เมื่อนั้นมีอารมณ์
เมื่อไรมีอารมณ์ เมื่อนั้นมีจิต
อย่างขณะที่เกิดอริยมรรค เกิดอริยผล
มีอารมณ์ไหม มีอารมณ์นิพพาน
มีอารมณ์นิพพานแล้วต้องมีจิตไหม ต้องมีจิต
เพราะกฎก็คือเมื่อใดมีจิต เมื่อนั้นต้องมีอารมณ์
เมื่อใดมีอารมณ์ ต้องมีจิต
ถึงจะใช้นิพพานเป็นอารมณ์ก็ต้องมีจิตที่รู้อารมณ์นิพพาน
เรียกว่ามรรคจิต ผลจิตตัวนั้น ฉะนั้นมีจิตตลอด
ฉะนั้นจะมาบอกว่านิพพานไม่มีจิต
นิพพานไม่มีจิตแล้ว นิพพานจะปรากฏขึ้นได้อย่างไร
มันก็ไม่ปรากฏ
จักรวาลนี้ โลกนี้ปรากฏขึ้นได้เพราะมีจิต
ถ้าไม่มีจิตเสียอย่างเดียว เราก็เหมือนก้อนหินก้อนหนึ่ง
อะไรจะเกิดในจักรวาลในโลกเราไม่รู้อะไรสักอย่าง
จะว่าไปถ้าเราภาวนาเรื่อยๆ เราจะเห็นเลย
จิตมันเป็นศูนย์กลางของโลก
เป็นศูนย์กลางของจักรวาล
เป็นศูนย์กลางของชีวิต
เข้ามาที่จิตได้เข้าถึงจุดใจกลางของมันแล้ว
เราจะเห็นทุกสิ่งที่แวดล้อมอยู่มันเคลื่อนไหวไป
ตัวจิตเองก็เกิดดับเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไป
ใครเรียนวิทยาศาสตร์ลองนึกถึงภาพจักรวาล
ดวงอาทิตย์อยู่ตรงกลางใช่ไหม
ดาวเคลื่อนไหวอยู่รอบๆ ดวงอาทิตย์
ดวงอาทิตย์เหมือนกับจิต
สิ่งที่เคลื่อนอยู่รอบๆ ก็คือสิ่งที่ถูกรู้
คืออารมณ์เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย
จิตเป็นคนดูอยู่เฉยๆ
แต่ถามว่าแล้วดวงอาทิตย์เคลื่อนที่ไหม
ดวงอาทิตย์ก็เคลื่อนที่
เพราะฉะนั้นจิตเองก็เกิดดับ
เคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงตลอด
ไม่มีอะไรที่คงที่เสียอย่างเดียว
ไม่ว่าจะเป็นจิตหรือจะเป็นอารมณ์
ทุกสิ่งเกิดแล้วดับทั้งสิ้น
เฝ้ารู้เฝ้าดูไปจนถึงวันหนึ่งจิตมันก็ปิ๊งขึ้นมา
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดมีความดับเป็นธรรมดา”
ตรงนี้เราเข้าใจคำว่าธรรมดาแล้วเห็นไหม
ธรรมดาคืออะไร
ธรรมดาของสิ่งที่เกิดขึ้นก็คือต้องดับทั้งหมด
เรียกว่าเรามีดวงตาเห็นธรรมแล้ว
เห็นธรรมะอะไรไหม ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา
คือเราเห็นว่า
“สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา”
เห็นธรรมดา ใจยอมรับธรรมดาอันนี้
ใจจะค่อยๆ คลายออกจากทุกข์
คลายออกจากโลก คลายออกจากวัฏสงสาร
ฉะนั้นเราฝึกตัวเองทุกวัน
สิ่งที่สอนให้วันนี้ไปฟังซ้ำหลายๆ ทีก็ได้
ฟังทีเดียวเข้าใจยากหรอก ฟังหลายๆ ที
เรามี จิตที่เป็นคนดูแล้ว
การเดินปัญญาจะไม่ใช่เรื่องยุ่งยากอีกต่อไปแล้ว
ก็จะเห็นสิ่งใดเกิด สิ่งนั้นก็ดับ
สิ่งทั้งหลายทั้งปวงบังคับไม่ได้
สั่งไม่ได้ บังคับไม่ได้
จะต้องไปเห็นด้วยตัวเอง ไม่ใช่คิดเอา
ต้องเห็นเอา ฝึกไปเรื่อยเดี๋ยวก็เห็น. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
5 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา
ธรรมะเป็นเรื่องธรรมดา คือเราเห็นว่า สิ่งใดสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งหมดดับเป็นธรรมดา เห็นธรรมดา ใจยอมรับธรรมดาอันนี้
Photo by : Unsplash
9 บันทึก
20
17
11
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
9
20
17
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย