Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
14 ก.พ. 2022 เวลา 00:57 • ไลฟ์สไตล์
“อยู่กับโลกให้เป็น”
“ … เราค่อยๆ เรียนจากของหยาบที่สุดคือรูปใช่ไหม
มาเวทนา สัญญา สังขาร
เราก็ค่อยแยกๆๆๆ ไปจนถึงตัวจิต
จิตเป็นคนรู้ จิต ตัวรู้ ผ่องใส
สว่าง ผ่องใส สงบ มีความสุข แต่ไม่ฉลาด
ตัวจิตรู้หรือตัววิญญาณชั้นเลิศมันมีอวิชชาซ่อนอยู่ข้างใน
หัวหน้าโจรที่พาเราเวียนว่ายอยู่ในวัฏสงสาร
ซ่อนอยู่ที่จิตนี้เอง
เราไม่สามารถรู้ได้ว่าจิตนี้ก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ที่ผ่านมาเราไม่เคยเห็น เราเห็นว่าจิตเที่ยง
จิตของเราวันนี้กับจิตเมื่อปีกลายก็คนเดิม
จิตเราเดี๋ยวนี้กับจิตเมื่อชาติก่อนก็คนเดิม
เรามาภาวนาต่อไปอีก
เราค่อยๆ ดูตัวจิตผู้รู้ มันเที่ยงไหม
ตรงนี้ที่ท่านใช้คำว่า วิญญาณ
วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
วิญญาณคือจิตที่เกิดทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
บางทีจิตก็ไปดูรูป จิตก็ไปฟังเสียง
จิตไปดมกลิ่น ลิ้มรส ไปรู้สัมผัสทางกาย
บางทีจิตก็ไปรู้ธรรมารมณ์ทางใจ
หรือบางทีจิตก็ไปรู้รูปได้ รูปธรรมบางอย่างก็รู้ด้วยจิต
นามธรรมทุกอย่างก็รู้ด้วยจิต
นิพพานรู้ด้วยจิต
สมมติบัญญัติทั้งหลาย รู้ด้วยจิต
ฉะนั้นจิตนั้นทำหน้าที่กว้างขวางมากเลย
อย่างตานี่ทำหน้าที่อย่างเดียว เห็นรูปอย่างเดียว
หูได้ยินเสียงอย่างเดียว
เอาหูไปดมกลิ่นก็ไม่ได้
มันทำงานได้อย่างเดียว
แต่จิตสารพัดเลย มันวิจิตรจริงๆ
ค่อยๆ รู้ ค่อยๆ ดูมันไป
เราจะเห็นว่าจิตผู้รู้ก็ไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็หลงไปดูรูป เดี๋ยวก็ไปฟังเสียง
เดี๋ยวก็ไปดมกลิ่น เดี๋ยวก็ไปลิ้มรส
เดี๋ยวก็ไปรู้สัมผัสทางกาย
เดี๋ยวก็ไปหลงอยู่ในความคิดทางใจ
เดี๋ยวก็ไปหลงเพ่งอารมณ์กรรมฐานทางใจ
ดูลงไป วิญญาณทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา
พอเราเห็นอย่างนี้ ต่อไปปัญญามันค่อยแทงตลอดลงไป
ตัวจิตเองก็ไม่เที่ยงหรอก
เดี๋ยวก็เป็นจิตรู้ เดี๋ยวก็เป็นจิตคิด
เดี๋ยวก็เป็นจิตเพ่ง เดี๋ยวก็เป็นจิตไปดูรูป
เป็นจิตไปฟังเสียง เป็นจิตไปดมกลิ่น
เป็นจิตไปลิ้มรส เป็นจิตไปรู้สัมผัสทางกาย
อย่างลมพัดมา จิตก็ไปรู้
มีลมกระทบผิวกาย แล้วสัญญาก็ไปแปล
อันนี้หนาว พอหนาวมากเกินไป
สังขารก็เริ่มปรุง โอ๊ย น่ากลัว หนาวจัดๆ
เดี๋ยวเป็นไข้อะไรอย่างนี้ สังขารปรุง
จิตมันไปรู้ตรงนี้ปุ๊บ มันมาทำงานต่อที่ใจ
ตรงนี้เห็นไหม จิตทีแรกมันไปรู้ที่กาย
แล้วก็กลับมารู้เรื่องราวทางใจ
บางทีจิตมันตีความสัญญา สังขารมันทำงาน
ตัวจิตมันก็เกิดดับทางทวารทั้ง 6
หมุนไปเรื่อยๆ เฝ้ารู้เฝ้าดูไป
ก็จะเห็นจิตเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ไม่มีปฏิกูลอสุภะ ไม่เหมือนรูป มีแค่ไตรลักษณ์
พอรู้ๆ ลงไป สุดท้ายจิตก็ปล่อยวางจิตได้
บางท่านปล่อยวางจิต เพราะเห็นว่าจิตนี้ไม่เที่ยง
เกิดดับสืบเนื่องกันตลอดเวลา
บางท่านเห็นอนัตตา เราบังคับไม่ได้
จิตจะเกิดดับทางทวารไหนเราก็เลือกไม่ได้
จิตเป็นของจิตเอง
บางท่านเห็นทุกข์ จิตนี้คือตัวทุกข์
พวกที่จะเห็นจิตเป็นตัวทุกข์
ส่วนใหญ่จะเป็นพวกที่ทรงฌาน ทรงสมาธิ
จิตที่ทรงสมาธิอยู่ มันมีความสุขอยู่
มันสุขมหาศาลเลย จิตที่ทรงสมาธิ ทรงฌานอยู่
ถ้าเราเฝ้ารู้เฝ้าดู
ความเปลี่ยนแปลงของธาตุของขันธ์เรื่อยไป
สังเกตความเปลี่ยนแปลงของจิต
จิตที่ทรงฌานบางทีก็เป็นฌานที่ละเอียด
บางทีก็เป็นฌานที่ตื้นๆ ขึ้นมา
บางทีก็หลุดออกมาจากฌาน
จิตที่ทรงฌานก็ไม่คงที่เหมือนกัน
ไม่เที่ยงเหมือนกัน
แต่ว่าพอฝึกชำนิชำนาญ จิตมันทรงฌานอยู่ได้นาน
ถ้าทรงฌานอย่างพวกพรหม
ก็ทรงฌานทีหนึ่งได้เป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่นกัป
อยู่ได้นาน จักรวาลแตกแล้วก็ยังทรงสมาธิ
มีความสุขอยู่อย่างนั้น มีความสงบอยู่อย่างนั้น
ดูอย่างไรๆ จิตก็เป็นตัวสุข
ไม่เห็นจิตมันจะเป็นตัวทุกข์ตรงไหนเลย
แล้วยิ่งภาวนาเก่งๆ ชำนาญในฌาน
เหมือนเที่ยงเลย มันทรงฌานอยู่อย่างนั้น
เหมือนกับว่าการเข้าฌานมันเที่ยง
ฉะนั้นพวกฤๅษีไปเป็นพรหม
เขาจะรู้สึกเลยว่าจิตของเขาเที่ยง
เห็นไหมจิตเป็น อัตตา แล้ว
มันคงที่ มันเป็นอัตตา บังคับได้ ควบคุมได้
จิตนี้มีความสุข นี่เขาก้าวไม่ถึงอีกขั้นสุดท้าย เขาไปไม่ถึง
เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบสก้าวมาถึงจุดสุดท้ายแล้ว
มาถึงจุดที่เห็นว่าจิตนี้เที่ยง เป็นสุข เป็นอัตตา
พระพุทธเจ้าท่านรู้ คนนี้บุญบารมีสูง
ท่านก็จะไปโปรด เผอิญตายเสียก่อน
แล้วไปเป็นอรูปพรหม สอนไม่ได้แล้ว
ไม่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย
ที่จะมารับรู้ธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้าได้
เรียกว่าหายนะไปแล้ว
1
แต่ถ้าบุญบารมีมากพอ
เคยได้ยิน ได้ฟังธรรมของพระพุทธเจ้าว่า
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่เที่ยง
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นทุกข์
รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอนัตตา
เคยรู้เคยสังเกตอยู่ เวลาที่จิตมันทรงสมาธิอยู่
ถึงจุดที่อินทรีย์มันแก่กล้าแล้ว มันสุกงอมแล้ว
จิตมันจะพลิกตัวนิดหนึ่ง มันไหวตัว
จากจิตที่บรมสุขกลายเป็นจิตที่บรมทุกข์ทันทีเลย
มันทุกข์โดยที่ไม่มีอะไรมากระทบ
มันทุกข์เพราะว่ามันเป็นจิต
เห็นไหมฟังยากไหม มันทุกข์เพราะมันเป็นจิต
มันไม่ใช่ทุกข์เพราะว่ามันกระทบอารมณ์ที่ไม่ดี
มันไม่ได้กระทบอะไรหรอก มันทรงตัวอยู่
กระทบอารมณ์คือฌานสมาบัติอยู่อย่างนั้น
อยู่ๆ มันไหวตัว มันพลิกตัวนิดเดียว
มันกลายเป็นตัวทุกข์ไปหมดแล้ว
ดูลงไปความทุกข์ก็ไม่ดับ
มีแต่ความทุกข์มากขึ้นๆๆ จนจิตมันจะระเบิด
ก็ดูต่อไป ระเบิดก็ระเบิดตายก็ตาย
สุดท้ายมันก็พลิกตัวเองถล่มทลายลงไป
วัฏฏะที่หมุนอยู่กลางอกเรามันถล่มลงไป
ธาตุรู้ที่บริสุทธิ์มันก็ปรากฏขึ้นมา
วิญญาณนั้น จิตปล่อยวางวิญญาณไป
เหมือนที่ปล่อยวางรูป เวทนา สัญญา สังขารมาแล้ว
แล้วมันก็ปล่อยวางวิญญาณเป็นตัวสุดท้าย
หลังจากนั้นยังมีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไหม มี
เพียงแต่จิตมันปล่อย
ไม่ยึดถือในรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
มันรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเกิดขึ้นแล้ว ต่อไปก็ดับ
จิตไม่ได้ยึดถือ ค่อยภาวนามันจะเห็น
ตรงนี้อวิชชาถูกทำลายไป
พร้อมๆ กับที่วัฏสงสารถล่มตัวลงไป
จิตก็พ้นจากทุกข์ คือพ้นจากขันธ์
แต่ยังไม่ตาย ขันธ์ก็ยังมีอยู่
ขันธ์ก็ยังทำงานอยู่ แต่มันเข้าไม่ถึงจิต
ค่อยๆ ฝึก สุดท้ายมันก็วางขันธ์
พอวางขันธ์มันก็คือจิตมันวางกองทุกข์ลงไปแล้ว
มันพ้นทุกข์
ดำรงชีวิตไปถึงวันหนึ่ง ขันธ์แตกขันธ์ดับ
ธาตุรู้มันไม่มีขันธ์ ตัวนี้ไม่มีขันธ์ มันเหนือขันธ์
ค่อยๆ ฝึกไป แล้วจะเห็นด้วยตัวเอง
หลวงพ่อเทศน์ให้ฟังล่วงหน้าไว้
วันหนึ่งข้างหน้าพวกเราจะได้เอาไปใช้
เหมือนหลวงปู่ดูลย์ท่านสอนอย่างนี้
สอนล่วงหน้าไว้ แต่ท่านสอนประโยคเดียว
แต่หลวงพ่อมากระจายธรรมะออกมาให้พวกเราฟังเป็นชั่วโมงๆ เลย
ท่านสอนประโยคเดียว
“พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต
จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”
ท่านสอนอย่างนี้
วันนี้วันที่ 6 กุมภาพันธ์
เมื่อ 40 ปีก่อน วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ปี 2525
หลวงพ่อเข้าไปกราบหลวงปู่ดูลย์เป็นครั้งแรก
แต่ท่านก็ยังไม่ได้สอนเรื่องทำลายผู้รู้ ท่านสอนว่า
“อ่านหนังสือมามากแล้ว ต่อไปนี้อ่านจิตตนเอง”
สอนเท่านี้ หลวงพ่อก็มาอ่านสังเกตไป
ธรรมะก็ค่อยคลี่คลายตัวเองออกมาให้เราเห็น
ค่อยเรียนค่อยรู้ไป 36 วันก่อนท่านจะมรณภาพเดือนกันยายน
ประมาณวันที่ 24 กระมัง ปี 2526
ก็ไปกราบท่านครั้งสุดท้าย ท่านถึงสอน
“พบผู้รู้ให้ทำลายผู้รู้ พบจิตให้ทำลายจิต
จึงจะถึงความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง”
สอนอย่างนี้
ท่านถาม “เข้าใจไหม”
: “ไม่เข้าใจครับ”
: “เชื่อไหม”
: “ผมยังไม่เห็น ผมจะจำไว้”
ท่านบอก “เออ จำไว้นะ” ให้จำเอาไว้
ฉะนั้นพวกเราฟังที่หลวงพ่อพูด
ก็เดี๋ยววันหนึ่งภาวนาไปเรื่อยๆ ก็ได้ใช้จนได้ล่ะ
ถ้าไม่ภาวนา หรือภาวนาผิดก็ไม่ได้ใช้หรอก
ภาวนาจะดีได้ต้องถือศีล 5
ต้องเสียสละความสุขโลกๆ อย่าไปหลงกับมันมาก
โลกนี้เป็นที่อาศัยชั่วคราวเท่านั้น
ไม่นานเราก็ต้องทิ้งมันไป
ทรัพย์สมบัติ ชื่อเสียง เกียรติยศ
พ่อแม่ ลูกเมีย สามีภรรยาอะไร เหมือนกันหมด
ทรัพย์สมบัติทั้งหมด มันของโลก
ถึงวันหนึ่งก็ต้องทิ้งมันไปหมด
ฉะนั้นอยู่กับโลกก็อยู่ให้เป็น อย่าโง่
ถ้าโง่ก็คือไปแบกโลกเอาไว้
ที่จริงมันแค่เครื่องอาศัยไม่กี่ปีหรอก
บางคนก็อาศัย 1 – 2 ปีก็ไม่ได้อาศัยแล้ว ตายแล้ว
บางคนก็อายุยืนหน่อย
แต่สุดท้ายก็ต้องทิ้งทุกๆ สิ่งทุกอย่างไป
อย่าไปยุ่งกับโลกเกินความจำเป็น ยุ่งเท่าที่จำเป็น
เอาเวลามาถือศีล มาฝึกจิตฝึกใจ ให้สงบ ให้ตั้งมั่น
มาพัฒนาจิตใจให้ฉลาด ค่อยๆ ฝึกไป
อันนี้เป็นของดีของวิเศษ
ถึงเราตายไป จิตมันสะสมกุศลอันนี้ไว้
ชาติต่อไป มันภาวนาง่าย
ถ้าชาตินี้ยากก็ภาวนา ชาติต่อไปก็ง่ายขึ้นๆ
ถ้าชาตินี้ยากแล้วยังขี้เกียจภาวนา
หรือทำชั่วให้มากขึ้นอีก ชาติหน้ายิ่งยากกว่านี้อีก
เพราะฉะนั้นเอาเวลามาทำสิ่งที่มีสาระแก่นสารในชีวิตจริงๆ
ค่อยๆ ภาวนาไป
แล้วไม่ใช่ว่าต้องภาวนาจนบรรลุมรรคผลนิพพานแล้ว
ถึงจะมีความสุข ไม่ใช่
แค่ถือศีลได้ เราก็มีความสุขแล้ว
แค่จิตสงบได้เราก็มีความสุขแล้ว
แค่เจริญปัญญาเห็นความจริงของโลก
มันก็ทุกข์น้อยลงไปเยอะแล้ว
ยิ่งเห็นทุกข์ ยิ่งมีความสุข ประหลาดอันนี้
ถ้าเราภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะรู้สึกเลย
โอ้ เราเห็นทุกข์เยอะแยะเลย
อันโน้นก็ทุกข์ อันนี้ก็ทุกข์
แต่ย้อนมาที่จิตที่ใจทำไมมันสุขมากขึ้นๆ
เพราะมันพ้นความเสียดแทงได้เยอะขึ้นๆ
ค่อยๆ ฝึกตัวเอง เรามีความสุขตั้งแต่ปัจจุบัน
แล้วถ้าตายไปก็มีความสุขในอนาคต
คือชาติต่อไปก็ภาวนาง่ายกว่านี้อีก
มีความสุข จิตใจสบาย
หรือถ้าบุญกุศลเรามากพอ
เราก็ได้รับความสุขที่ยิ่งใหญ่ตั้งแต่ในชาตินี้เลย
ถึงพระนิพพานในชาตินี้เลย
เพราะฉะนั้นการภาวนา
เราจะได้ความสุขอันมหาศาลมากขึ้นๆ
ความสุขสูงสุดคือพระนิพพาน
นิพพานมีลักษณะอย่างไร
นิพพานสงบ มีลักษณะสงบ สงบจากอะไร
สงบจากกิเลส สงบจากความปรุงแต่ง
สงบจากความยึดถือ จิตเป็นอิสระ
คนเป็นอิสระกับคนเป็นทาสรู้สึกไม่เหมือนกันหรอก
พวกเราตอนนี้เป็นทาส ให้รู้ตัวไว้ก่อนว่าเป็นทาส
ทาสของตัณหา รู้ไว้ก่อน
ถ้าเรารู้ว่าตัณหามันจิกหัวใช้เราทั้งวัน
เดี๋ยวสั่งให้ทำโน่นทำนี่
ใจมันจะเริ่มเป็นกบฏ มันจะยอมไม่ได้แล้ว
เรื่องอะไรมันต้องเป็นทาสตลอด
ใจมันก็จะมีกำลัง ห้าวหาญ ไม่ทอดทิ้งการปฏิบัติ
ค่อยๆ ฝึกตัวเองไป รักษาศีลให้ดี
ทำในรูปแบบ ให้ได้สมาธิสงบ ให้ได้สมาธิตั้งมั่น
เจริญปัญญาไป เห็นความจริงของธาตุของขันธ์ ของรูปของนาม
อย่างตอนที่เทศน์ช่วงแรกๆ มันเรื่องการฝึกให้เกิดปัญญา
เห็นรูปเห็นนามเป็นไตรลักษณ์นั่นล่ะ
แล้วก็วางเป็นลำดับๆ ไป มันวางรูปได้ก่อน
ตรงที่เห็นรูปไม่ใช่เรายังเป็นปุถุชนอยู่
ตรงที่เห็นรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณไม่ใช่เรา
นั่นล่ะเป็นพระโสดาบัน
ตรงที่เห็นความจริงว่ารูปไม่ควรยึดถือ
เพราะมันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
นั้นล่ะได้พระอนาคามี
ตรงที่วางจิตได้ หมดความยึดถือจิต
มันก็เห็นจิตเองก็ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ตรงนั้นล่ะเป็นพระอรหันต์
วางขันธ์ 5 ได้สิ้นเชิง
ค่อยๆ ฝึก. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
วางขันธ์ 5 เป็นลำดับไป
การเรียงลำดับของพระพุทธเจ้านี้มีขั้นมีตอน เราค่อยๆ เรียนจากของหยาบที่สุดคือรูป มาเวทนา สัญญา สังขาร จนถึงตัวจิต แล้วก็วางเป็นลำดับๆ ไป
Photo by : Unsplash
4 บันทึก
17
6
7
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
4
17
6
7
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย