Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
14 ก.พ. 2022 เวลา 05:34 • ไลฟ์สไตล์
”วางขันธ์ 5 เป็นลำดับไป”
“ … บางคนเวลาส่งการบ้านแล้วหลวงพ่อบอกว่าดี
ก็งง มันดีอย่างไรหนอ สงสัย
สงสัยก็พยายามดูตรงไหนมันดี มันไม่มีให้ดูแล้ว
ตรงที่สงสัยแล้วไม่รู้ว่าสงสัย
ตรงที่ดีมันก็หายไปแล้ว
เพราะสติมันไม่มีเสียแล้ว
ภาวนาที่หลวงพ่อว่าดีๆ
เป็นสภาวะที่สติ สมาธิ ปัญญา มันอัตโนมัติ
ก่อนที่มันจะอัตโนมัติได้ก็ต้องฝึก
ฝึกพัฒนาสติด้วยการเจริญสติปัฏฐาน มีเครื่องอยู่
คือวิหารธรรมอันใดอันหนึ่ง เหมือนมีบ้าน
มีบ้านให้จิตอยู่ แล้วเราก็คอยรู้ คอยระลึก
หลวงพ่อพุธท่านใช้คำหนึ่งว่า
มีเครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ
ฉะนั้นเรามีวิหารธรรมไว้สักอย่างหนึ่ง
เป็นสิ่งที่จิตไปรู้เข้า
แล้วเวลามันมีอะไรเปลี่ยนแปลง
แปลกปลอมขึ้นในวิหารธรรม มีสติรู้ทันมัน
1
ฉะนั้นจิตต้องมีเครื่องอยู่
เครื่องรู้ของจิต เครื่องระลึกของสติ
หลวงพ่อพุธพูดเรื่อยๆ
หลวงพ่อพุธ
ท่านเป็นพระค่อนข้างออกมาทางปัญญาชนหน่อย
จะแตกต่างกับครูบาอาจารย์สายวัดป่าอื่นๆ
คือท่านสอนคนในเมืองได้ สอนพวกปัญญาชนได้
ภาษาท่านไม่เหมือนภาษาครูบาอาจารย์รุ่นเก่า
ฉะนั้นพวกเราก็ต้องมีอารมณ์อันใดอันหนึ่ง
เป็นเครื่องอยู่ประจำของจิต
ให้อยู่กับลมหายใจ อยู่กับพุทโธอะไรก็ได้
แล้วเวลาจิตมันหนีไปจากอารมณ์อันนั้น
หนีไปจากเครื่องอยู่
เราก็มีสติรู้ทันว่าตอนนี้จิตมันทิ้งเครื่องอยู่ไปแล้ว
หนีไปเที่ยวแล้ว
ถ้าฝึกอย่างนี้บ่อยๆ สติจะเกิดเอง
ไม่ได้เจตนาที่จะระลึก
ว่าตอนนี้มีอะไรเกิดขึ้นในกายในใจ มันระลึกได้เอง
ไม่ได้เจตนาจะให้จิตตั้งมั่น มันตั้งมั่นได้เอง
ฉะนั้นเวลาที่เราเจริญสติปัฏฐาน มีเครื่องอยู่ไป
เช่น หายใจไป หายใจออก รู้สึก หายใจเข้า รู้สึก
พอจิตมันหนีไป รู้ทัน สติเป็นตัวรู้
หนีปุ๊บก็รู้ๆ ต่อไปสติจะเร็วขึ้นเรื่อยๆ
แล้วทันทีที่สติมันรู้ว่าจิตมันหนีไปจากเครื่องอยู่
จิตมันก็กลับมารู้เนื้อรู้ตัวได้ รู้เครื่องอยู่ของเราต่อไป
ตรงที่จิตมันสงบอยู่ในเครื่องอยู่ของมัน อยู่ในบ้าน
ตรงนั้นเราได้สมาธิชนิดสงบ
ตรงที่จิตมันหนีไปแล้วสติระลึกรู้ จิตจะตั้งมั่นขึ้นมา
หลุดออกจากโลกของความหลง
มาอยู่ในโลกของความรู้สึกตัว
ตรงนี้จิตผู้รู้มันจะเกิด
ฉะนั้นอยู่กับเครื่องอยู่เรื่อยๆ ไป
อย่างต่ำที่สุดจะได้สมาธิชนิดสงบ
แล้วพอจิตหนีแล้วรู้ๆ ต่อไปก็จะหนีปุ๊บรู้ปั๊บ
สติอัตโนมัติมันเกิด แล้วตรงสติอัตโนมัติเกิด
สมาธิชนิดตั้งมั่นมันก็จะเกิดขึ้นโดยอัตโนมัติ
ค่อยๆ ฝึกจนสติ สมาธิ ปัญญา มันเป็นอัตโนมัติไปหมด
ถึงตรงนี้ไม่ได้มีความจงใจที่จะปฏิบัติ
ไม่มีโลภเจตนา ไม่ใช่เจตนาธรรมดาหรอก
เจตนาที่อยาก อยากดี
ลงมือปฏิบัติก็อยากดี อยากสงบ อยากสุข
อยากได้มรรคผลนิพพาน
อยากตัวนี้ มันเป็นโลภเจตนา
โลภเจตนาเป็นการทำงานทางใจ
มันจะทำให้จิตเกิดการทำงานขึ้นมา
พอเราจงใจจะปฏิบัติ จิตก็เกิดการทำงานขึ้นมา
ในตำราเขาสอนถูกตรงนี้ เขาสอนได้ถูก
โลภเจตนานั้นเป็นเจตนาทางใจ
ที่จะหมายรู้อารมณ์ทางใจ
เขาเรียก มโนสัญเจตนา
มโนสัญเจตนาเป็นปัจจัยให้เกิดการกระทำกรรม
การกระทำกรรมก็คือการที่จิตมันปรุงแต่งดิ้นรนไป
เราฝึกจนสติ สมาธิ ปัญญาอัตโนมัติ
ไม่ได้เจตนาปฏิบัติ
ตรงนั้นการปฏิบัติยังเจตนาอยู่
ยังไม่ค่อยได้ประโยชน์เท่าไหร่
ก็มีประโยชน์เหมือนกัน
แต่ประโยชน์ยังไม่มาก
อย่างเราอยากให้จิตสงบๆ
เราก็เจตนาบังคับจิต ไม่สงบหรอก
ถ้าเรามีสติเรื่อยๆ ไม่ได้เจตนา สงบเอง
ต้องฝึกทุกวันๆ
เริ่มต้นก็มีเจตนาที่จะปฏิบัติไปก่อน
แล้วต่อมาก็รู้ทันจิตมันมีเจตนา เจตนามันก็ดับ
จิตมันก็ทำงานอัตโนมัติ
ตรงนี้ล่ะที่มันจะก้าวหน้า
แต่สภาวะนี้เกิดยาก
ตรงที่สติ สมาธิ ปัญญา อัตโนมัติมียาก
อาศัยการสั่งสมของเรายาวนาน ทำสติปัฏฐานไป
ถนัดใช้กายเป็นวิหารธรรม
ใช้กายเป็นเครื่องอยู่ก็เอากาย
ถนัดใช้เวทนาก็เอาเวทนา
ถนัดใช้จิตตสังขารก็เอาจิตตสังขารไป
เอาสิ่งที่เราถนัด ที่เราทำได้จริง
3
เวลาภาวนา
อารมณ์กรรมฐานที่จะทำวิปัสสนาเป็นอารมณ์รูปนาม
รูปนามก็แยกออกไปได้เป็นขันธ์ 5 ก็ได้
อายตนะ 6 ก็ได้ ธาตุ 18 ก็ได้ อินทรีย์ 22 ก็ได้
แล้วแต่จะแยก แยกละเอียด แยกหยาบ
แยกเบสิกเลย แยกเป็นขันธ์ 5
ขันธ์ 5 เหมาะกับพวกดูจิต
เหมาะกับพวกดูนามธรรม
ถ้าแยกเป็นอายตนะ 6
ตา หู จมูก ลิ้น กาย เป็นรูปธรรม ใจเป็นนามธรรม
อันนี้เหมาะกับพวกถนัดดูรูปธรรม
ธรรมะมีหลากหลาย
บางคนต้องการความรู้เยอะๆ
ก็แบ่งรูปนามออกไปเป็นธาตุ 18
มีรูปจำนวนมาก มีนามจำนวนมาก
หรืออินทรีย์ 22
อินทรีย์ 22 ส่วนใหญ่มันจะเป็นนามธรรม
เราภาวนาไปเรื่อยๆ เราจะเห็น เห็นเองล่ะ
ไม่ต้องไปห่วงมันหรอก
เบื้องต้นเราดูขันธ์ 5 ก่อน
ส่วนที่เป็นรูป รูปขันธ์คือร่างกายนี้ล่ะ
ร่างกายนี้ประกอบด้วยก้อนธาตุ
มีธาตุไหลเข้า มีธาตุไหลออก
แล้วจิตอาศัยเครื่องมือคือร่างกายนี้
เป็นเครื่องไปเชื่อมต่อกับโลกภายนอก
ตรงตัวที่เชื่อมต่อเรียกว่าอายตนะ
คือตา หู จมูก ลิ้น กายเป็นเครื่องเชื่อมต่อ
ไปรู้รูปธรรม ใจเป็นเครื่องเชื่อมต่อไปรู้นามธรรม
จิตมันอาศัยเครื่องมือเหล่านี้ไปรู้โลกข้างนอก
รูป เรารู้ด้วยตา ตาก็เป็นรูปธรรม
เสียง รู้ด้วยหู หูเป็นรูปธรรม เสียงก็เป็นรูปธรรม
ภาวนาไปเรื่อยๆ
วันหนึ่งจิตมันก็เห็นความจริงของรูป
รูปนี้มันไม่ใช่ตัวเรา
การเห็นรูปว่าไม่ใช่ตัวเราเป็นของง่าย ง่ายมาก
พระพุทธเจ้าท่านบอก
ปุถุชนที่ไม่ได้สดับ คือคนที่ไม่ใช่ชาวพุทธ
ไม่เคยเรียนธรรมะของพระพุทธเจ้าเลย
สามารถเห็นได้ว่ารูปธรรมไม่ใช่ตัวเราที่แท้จริง
เพราะมันเห็นคนโน้นก็แก่ คนนี้ก็เจ็บ คนนี้ก็ตาย
เราก็แก่ เราก็เจ็บ อีกหน่อยเราก็ตาย
เราก็รู้ความจริงของรูปว่ามันไม่ใช่ตัวเราหรอก
ตัวนี้เห็นง่าย
แต่เห็นตรงนี้มันยังไม่เป็นพระโสดาบันหรอก
มันต้องเห็นขันธ์ 5 ทั้งหมด เป็นพระโสดาบันได้
ตัวที่เห็นยากก็คือตัวนามธรรม
โดยเฉพาะตัวจิตใจ หรือตัววิญญาณนั่นเอง เห็นยาก
ทำอย่างไรเราจะสามารถเห็นว่าตัวขันธ์ตัวที่ 5
คือตัววิญญาณ หรือตัวจิต จิต วิญญาณ
กับใจนี้อันเดียวกัน เรียกหลายภาษา
ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกจิต ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าใจ
ทำหน้าที่อย่างนี้เรียกว่าวิญญาณ
การที่เราจะเห็นความจริงของตัววิญญาณ
จนกระทั่งปล่อยวางมันได้ก็ยากหน่อย
ตัวรูปเห็นได้ง่ายว่าไม่ใช่ตัวเรา
ตัวจิตใจเห็นได้ยากว่าไม่ใช่ตัวเรา
พระพุทธเจ้าบอกว่าต้องเป็นสาวก
เป็นพระสาวกของท่าน
จริงๆ ก็คือต้องเป็นพระอริยสาวก
ถึงจะเห็นว่าจิตนี้ไม่ใช่ตัวเรา
เราจะภาวนา บางคนภาวนาเข้ามาที่จิตเลยไม่ทัน
เข้ามาไม่ไหว ไม่ใช่ไม่ทัน เข้ามาไม่ได้
ก็ดูกายไปก่อน ร่างกายที่หายใจออกไม่ใช่เรา
ร่างกายที่หายใจเข้าไม่ใช่เรา
ร่างกายที่ยืน ที่เดิน ที่นั่ง ที่นอนไม่ใช่เรา
ร่างกายที่เคลื่อนไหว ร่างกายที่หยุดนิ่งไม่ใช่ตัวเรา
ร่างกายเป็นอะไร เป็นแค่วัตถุ เป็นก้อนธาตุ
มีธาตุไหลเข้าไป มีธาตุไหลออกมา
ไหลเข้าทางจมูก หายใจเอาลมเข้าไป
เดี๋ยวก็หายใจออกมา
กินอาหารเข้าไป ดื่มน้ำเข้าไป
เดี๋ยวก็ขับถ่ายออกมา
ร่างกายเป็นแค่วัตถุ เป็นแค่ก้อนธาตุ
เป็นสมบัติของโลก ธาตุทั้งหมดเป็นของโลก
มันเห็นง่าย
การที่จะมาดูนามธรรมให้เห็นว่าจิตไม่ใช่เรา
กายไม่ใช่เราดูง่ายอย่างที่ว่า ดูไปเรื่อยๆ อย่างที่ว่า
หายใจออกไม่ใช่เรา หายใจเข้าไม่ใช่เราอะไรอย่างนี้
ดูไปเรื่อยๆ เดี๋ยวก็เห็น
คนนอกศาสนาพุทธเขาก็เห็นได้
จะมาเห็นว่าจิตไม่ใช่เราทำอย่างไรดี
ในขันธ์ 5 มีนามขันธ์ในส่วนที่เป็นนามธรรมอยู่ 4 ขันธ์
ในขันธ์ 5 เป็นรูปขันธ์เสียหนึ่ง และเป็นนามเสียสี่
เริ่มจากเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ
ที่พระพุทธเจ้าท่านเรียงลำดับไว้ ไม่ได้เรียงแบบมั่วๆ
ถ้าเราภาวนาเป็น เราจะรู้เลย
การเรียงลำดับของพระพุทธเจ้านี้มีขั้นมีตอน เป็นขั้นเป็นตอน
อย่างเรียงขันธ์ 5 อย่างนี้
ของที่หยาบที่สุดคือรูปแล้วก็ถึงนามธรรม
นามธรรมก็มีส่วนที่หยาบ ส่วนที่ละเอียด
เวทนาหยาบที่สุดเลย ดูง่าย ในนามธรรมทั้งหลาย
อย่างเราจะหัดดู ก่อนที่เราจะมาเห็นว่าจิตไม่ใช่เรา
หรือวิญญาณไม่ใช่เรา มาดูเวทนาก่อน
เวทนาทางใจ เกิดตลอดเวลา
มีจิตเมื่อไหร่ต้องมีเวทนา เกิดด้วยกันทุกที
ต้องมีเวทนาอันใดอันหนึ่ง
เวทนาทางใจมันก็มี 3 แบบ
มีความรู้สึกเป็นสุข ความรู้สึกเป็นทุกข์
ความรู้สึกเฉยๆ ไม่สุขไม่ทุกข์
ฉะนั้นเราจะหัดดูจิตดูใจ เบื้องต้นง่ายที่สุด ดู 3 ตัวนี้ล่ะ
ขณะนี้ใจเราเป็นสุข รู้ทัน
ขณะนี้ใจเราเป็นทุกข์ รู้ทัน
ขณะนี้มันไม่สุขมันไม่ทุกข์ รู้ทัน
หัดรู้มันไปเรื่อยๆ มันจะไปยากอะไร
ตอนนี้จิตใจนี้มันสุขหรือมันทุกข์ รู้ไหม
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
เหมือนเมื่อวานสอนเรื่องร่างกาย
รู้ร่างกายมันยากนักหรือ
ร่างกายหายใจออก รู้ได้ไหม
ร่างกายหายใจเข้า รู้ได้ไหม
ร่างกายยืน เดิน นั่ง นอน รู้ได้ไหม
ไม่เห็นจะยากตรงไหนเลย
เวทนาในใจก็ไม่ใช่เรื่องยาก
ขณะนี้สุขหรือทุกข์ รู้ไหม หรือว่าเฉยๆ
มี 3 อันเท่านั้นเอง
หัดรู้ไปเรื่อยๆ รู้ไปๆ
เราก็จะเริ่มเห็นเวทนามันเกิดจากอะไร
มีผัสสะแล้วเวทนามันก็เกิดขึ้น
พอใจมันกระทบอารมณ์
มันก็เกิดเวทนาในใจของเราขึ้นมา
อย่างใจเราไปคิดในอารมณ์บัญญัติ
ใจเราไปคิดถึงสาวงามสักคนหนึ่ง เกิดความสุข
นึกถึงหน้าเขา แหม มันมีความสุขขึ้นมา
หรืออยู่ๆ มีหน้าของคนที่เราเกลียด ความทุกข์มันก็เกิด
ค่อยๆ สังเกตไป ดูไปเรื่อยๆ
ความสุขเกิดขึ้นก็รู้ มันเกิดจากผัสสะนั่นล่ะ
มีผัสสะถึงจะมีเวทนา มีตัณหา มีอุปาทาน
มีภพ มีชาติ มีทุกข์ได้
เริ่มมาจากการกระทบอารมณ์
ทางตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ
กระทบแล้วใจมันก็กระเทือนขึ้นมา
เป็นความสุขบ้าง เป็นความทุกข์บ้าง
คอยรู้ไปเรื่อยๆ สุขก็รู้ ทุกข์ก็รู้ เฉยๆ ก็รู้
เดี๋ยวเราก็เห็นความสุขก็ไม่เที่ยง
ความทุกข์ก็ไม่เที่ยง
ความเฉยๆ ก็ไม่เที่ยง
ความสุขก็บังคับมันไม่ได้ มันเป็นอนัตตา
สั่งให้สุขก็ไม่ได้ ความทุกข์ก็เป็นอนัตตา
ห้ามทุกข์ก็ไม่ได้ สั่งใจว่าจงเฉยๆ ตลอด ก็เฉยไม่ได้
เราก็จะเห็นว่าเราบังคับเวทนาไม่ได้จริงหรอก
ฉะนั้นเวทนาเองก็ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์
ค่อยๆ ดูไปเรื่อย เราเริ่มเห็นนามธรรม
ตัวที่หนึ่งคือตัวเวทนา ตกอยู่ใต้ไตรลักษณ์แล้ว
พอตัวนี้เราแจ่มแจ้ง เวทนามาหลอกลวงเราอย่างไร
สังเกตต่อไปอีก เวลาเวทนามันทำงานขึ้นมา
สัญญามันทำงานไปด้วย
ที่จริงมันเกิดพร้อมกัน
แต่มันแสดงบทบาทคนละเสต็ปกัน
บทบาทเด่น ผลัดกันเป็นพระเอก
อย่างเวลามีความสุขเกิดขึ้น
จิตมันก็ไปสำคัญมั่นหมาย มันไปหมายรู้ จำได้หมายรู้
ตัวสัญญาคือตัวจำได้กับหมายรู้มี 2 อัน
จำได้ เช่น จำได้ว่านี่สีเขียว สีแดง คนนี้ชื่อนี้ นี่จำได้
บางทีก็รู้ลงไปอีกชั้นหนึ่ง
จำสิ่งที่เป็นสัญลักษณ์ได้
อย่างตรงนี้สีเขียว ตรงนี้สีแดง มันชั้นเดียว
มันมีหมายรู้ 2 ชั้นอีก
สีเขียวแปลว่าให้ขับรถไปได้
สีแดงแปลว่าให้หยุด มีความหมาย
นี่เป็นเรื่องของความจำได้ แล้วก็หมายรู้
หมายรู้มันเป็นการตีความ
สิ่งที่เรากำลังประจักษ์อยู่ แล้วเราไม่รู้จักมัน
เราก็เทียบเคียงกับข้อมูลเดิม
ก็จะหมายรู้ว่านี่น่าจะเป็นอย่างนี้
อย่างเราเห็นแมว เราเลี้ยงแมว
แมวอยู่ตรงไหนก็มี เต็มบ้านเต็มเมือง
เลี้ยงแมวไปเรื่อยๆ ก็รู้นิสัยแมว
แมวบางทีมันดื้อ บางทีมันก็ดุ
กับเจ้าของบางทีมันยังข่วนเลย
นิสัยไว้ใจไม่ค่อยจะได้หรอก เอาแต่ใจ
วันหนึ่งไปเจอแมวยักษ์ตัวใหญ่มาก
เรารู้ว่าแมวตัวเล็กมันกัดสัตว์เล็กกว่า
แมวยักษ์หรือเสือมันก็น่าจะกัดเราได้เหมือนกัน
เริ่มประเมิน เริ่มให้ค่าตีความ
หมายรู้ลงไปว่าตัวนี้น่ากลัว
พอหมายรู้ลงไปอย่างนี้ ใจก็กลัวขึ้นมา
ตรงกลัวขึ้นมาเป็นตัวสังขาร
มีสัญญาทำงานแล้วก็ส่งทอด
มาเกิดปรุงแต่งสังขารขึ้นมา
เฝ้ารู้ลงไป อย่างตาเรามองเห็น
เห็นรูปอย่างหนึ่ง ถ้าจิตยังไม่เข้าไปสำคัญมั่นหมาย
สัญญายังไม่เข้าไปแปลว่ารูปอะไร มันก็เฉยๆ
ไม่มีความรู้สึกอะไร ไม่ปรุงอะไรขึ้นมา
แต่พอตาเห็นรูปแล้ว สัญญาไปแปล
สัญญามันไปแปลว่า อุ๊ย นี่นางงามจักรวาล สวย
ดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้
สังขารก็ปรุงเลย
โห อยากได้มาเป็นแฟนเราอะไรอย่างนี้
ราคะมันเกิด มันทำงานเชื่อมต่อกัน
เวทนา สัญญา สังขารทำงานต่อเนื่องกัน
พอเราภาวนามาถึงตัวสังขาร
สังขารคือความปรุงดีปรุงชั่ว
ปรุงดีปรุงชั่ว เช่น ปรุงโลภ โกรธ หลง นี่ปรุงชั่ว
ปรุงดี เช่น ศรัทธา วิริยะ สติ ปัญญา
นี่เป็นความปรุงดี เป็นสิ่งที่ดี
ฉะนั้นสังขาร บางทีก็ปรุงดี บางทีก็ปรุงชั่ว
ก็แล้วแต่การตีความ ตีความอารมณ์ตัวนั้น
อารมณ์นั้นตีความแล้วถูกใจ
สังขารก็ปรุงเป็นราคะขึ้นมา
ตีความแล้วไม่ถูกใจ สังขารก็ปรุงโทสะขึ้นมา
ถ้าสัญญามันดี มันตีความดี
เช่น เห็น นางงามจักรวาลมา
สัญญามันตีความเลย นี่ก็ไม่เที่ยง อีกหน่อยก็แก่
สังขารก็ปรุงกุศลขึ้นมา
รู้สึกว่าไม่ควรยึดถืออะไรอย่างนี้
เพราะฉะนั้นสัญญาเวลามันตีความมันทำงาน
มันมีทั้งสัญญาที่ดีกับสัญญาที่ไม่ดี
สัญญาที่ไม่ดีมี 4 อย่าง
คือหมายรู้ของที่ไม่สวยไม่งาม
เป็นอสุภะว่าเป็นของสวยของงาม
อย่างนางงามจักรวาลที่จริงไม่ได้สวยอะไรหรอก
มันสวยที่ผิวเท่านั้นเอง
จับมันมาถอนขน ถอนผม จับมาลอกหนัง ถอนฟัน
ดูไม่ได้แล้ว น่าเกลียดที่สุดเลย
มันดูดีอยู่ที่ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเท่านั้นเอง มันหลอกตา
หนังจริงๆ ก็ไม่สวย หาอะไรไปพอกให้ดูสวยอีก
ผมก็ไม่ได้สวย จริงๆ สกปรก โสโครก เหม็นสาบ
ก็เอาไปสระผม ไปเซ็ทผม ซอยผมอะไร ทำให้ดูดี
ถ้าสัญญาหมายรู้ผิด
ก็จะไปเห็นของไม่สวยไม่งาม
ของสกปรกว่าเป็นของสวยของงาม ของดีของสะอาด
นี่สัญญา
ระหว่างหมายรู้ถูกกับหมายรู้ผิด
หมายรู้ผิดก็คือเห็นของไม่สวยไม่งามเป็นของสวยของงาม
เห็นของไม่เที่ยงเป็นของเที่ยง
เห็นของเป็นทุกข์ว่าเป็นสุข
เห็นของเป็นอนัตตาว่าเป็นสิ่งที่เราบังคับได้
เขาเรียกว่าสัญญาวิปลาส
ถ้าจิตใจเราเคยอบรมสติ อบรมปัญญามา
มันเริ่มมีสัญญาที่ดีขึ้นมา
เห็นสาวสวยว่ามองปุ๊บ มันสวยแต่ผิวเท่านั้นเอง
ผม ขน เล็บ ฟัน หนังเท่านั้นที่สวย
นางงามฟันหลอ น่ารักไหม
แค่นางงามฟันหักอยู่ข้างหน้า 2 ซี่ก็น่าเกลียดแล้ว
เห็นไหม ความงามเป็นของที่ผุพังง่ายที่สุดเลย ไม่สวย
ถ้าสัญญามันปรุงไปทางดี มันแต่งไปทางดี
ชี้นำไปทางดี เห็นความไม่สวยไม่งาม อสุภะ
เห็นความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
นี่คือสัญญาที่ดี
แต่ถ้ามันเห็นแต่ว่ามันสวย มันงาม
มันเที่ยง มันสุข มันบังคับได้ เป็นตัวเราของเรา
นี่เป็นสัญญาเพี้ยน เรียกว่าสัญญาวิปลาส
สัญญาดีมันก็ทำจิตให้เกิดกุศล ค่อยฉลาดขึ้นๆ
ตาเห็นรูป รูปนั้นสวยงาม จิตใจพอใจ
พอสัญญาไปแปลเข้าไปอีกที
รูปนี้ไม่เที่ยง รูปนี้ไม่ได้สวยจริง
ใจเกิดความสลดสังเวช คลายความยึดถือ
สังขารมันปรุงไป
มันปรุงไปใต้อาณัติของสัญญาและเวทนา
เวทนาทำงาน สัญญาทำงาน
แล้วเกิดการปรุงสังขารขึ้นมา
ฉะนั้นตัวสัญญากับเวทนา 2 ตัวนี้
เขาเลยเรียกว่าเป็นตัวจิตตสังขาร
เป็นตัวที่ปรุงแต่งสังขาร ปรุงแต่งจิต
พอเราภาวนา เราจะเห็นมันจากหยาบๆ
เวทนา สัญญาเข้าไปตีความ สังขารปรุง
สังขารนั้นวิจิตรพิสดาร ดีก็มี ชั่วก็มี
หยาบก็มี ละเอียดก็มี
ค่อยๆ หัดรู้ ค่อยๆ หัดดูไปเป็นลำดับ
ดูของที่มีบ่อยๆ ขี้โกรธก็ดู จิตโกรธก็รู้ จิตไม่โกรธก็รู้
ทีแรกก็เห็นว่าจิตมันโกรธ แล้วจิตมันหายโกรธ
จิตมันโลภ แล้วจิตมันหายโลภ
จิตมันหลง แล้วจิตมันหายหลง
ต่อมาพอภาวนาได้ชำนิชำนาญขึ้น
เราแยกลงไปได้อีก
ความโกรธที่เกิดขึ้นไม่ใช่จิตหรอก
จิตเป็นคนรู้ว่าโกรธ
ตรงนี้ความโกรธไม่ครอบงำจิตแล้ว
ถ้ายังภาวนาไม่เก่ง กุศลอกุศลยังครอบงำจิตได้
แต่ถ้าภาวนาดีๆ แล้ว เราจะเห็นเลย
โลภ โกรธ หลงไม่ใช่จิตหรอก
เป็นความปรุงแต่งอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นแล้ว
ถ้ารู้ไม่ทันมันเข้ามาครอบงำจิต
เราก็เลยรู้สึกว่า เราโลภ เราโกรธ เราหลงขึ้นมา
สามารถแยกได้ระหว่างสังขารกับจิต
หรือสังขารกับวิญญาณ 2 ขันธ์นี้แยกออกจากกัน
พอเรารู้จักตัววิญญาณแล้ว
วิญญาณเป็นตัวรู้ สังขารนี้ตัวถูกรู้
เป็นสิ่งที่เข้ามาครอบงำปรุงแต่งจิต
ทีแรกจิตมันปรุงสังขารขึ้นมา
โดยอาศัยสัญญา เวทนา สังขารก็ปรุงขึ้นมา
พอมีสังขารขึ้นมาแล้ว สังขารมันมาครอบงำจิต
มันมาปรุงแต่งจิตอีก
เฝ้ารู้เฝ้าดูเราก็จะเห็น
สังขารมันปรุงแต่งจิตบ้าง
จิตมันปรุงแต่งสังขารบ้าง
เฝ้าดูเรื่อยๆ ไป ก็จะเห็นสังขารอะไรหาสาระไม่ได้
เวทนาก็ไม่มีสาระ
เป็นของไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
สัญญามันก็ทำงานไปอย่างนั้น
ดีบ้างชั่วบ้าง ไม่ใช่ดีบ้างชั่วบ้าง
สัญญาทำงานถูกบ้าง ผิดบ้าง
หมายรู้ถูกบ้าง ผิดบ้าง
ส่วนสังขาร ตัวสังขาร ก็ดีบ้างชั่วบ้าง
ล้วนแต่ของไม่เที่ยง
ล้วนแต่ของเป็นทุกข์
ล้วนแต่ของบังคับไม่ได้
ทั้งหมดเป็นสิ่งที่ถูกรู้ ตัวจิตเป็นคนรู้ …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
6 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
วางขันธ์ 5 เป็นลำดับไป
การเรียงลำดับของพระพุทธเจ้านี้มีขั้นมีตอน เราค่อยๆ เรียนจากของหยาบที่สุดคือรูป มาเวทนา สัญญา สังขาร จนถึงตัวจิต แล้วก็วางเป็นลำดับๆ ไป
Photo by : Unsplash
4 บันทึก
19
12
11
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
4
19
12
11
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย