18 ก.พ. 2022 เวลา 11:24 • ไลฟ์สไตล์
“ถ้ารู้สึกว่ากูเป็นพระอริยะ ปลอมแน่นอน
พระอริยะไม่รู้สึกว่าตัวเป็นพระอริยะหรอก
แต่รู้สึกว่าธรรมดาเท่านั้นล่ะ ธรรมดาที่สุดเลย”
หมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์
“ … ถ้าเรามีสติ มีจิตใจอยู่กับเนื้อกับตัว
คือทรงสมาธิที่ถูกต้องแล้ว ต้องหมายรู้
สติระลึกรู้กายก็หมายรู้กาย
ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไป
หมายรู้จิตก็ด้วยความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตาไป
หมายรู้ไปเรื่อยๆ อย่างนี้
การหมายรู้ถูกก็จะทำให้เกิดการคิดถูก
คิดถูกก็จะทำให้เกิดความเห็นถูก
ความเห็นถูกนั่นล่ะตัวสัมมาทิฏฐิ
ฉะนั้นเราหมายรู้ให้ถูกไป
ตัวนี้ที่เคลื่อนไหวรู้สึกไป นี่มันไม่ใช่เรา รู้สึก
ทีแรกอาจจะเจือการคิดนำ
ร่างกายนี้มันไม่ใช่เราหรอก
มันเป็นวัตถุเป็นก้อนธาตุนี่หว่า
ทีแรกอาจจะช่วยมันคิดนิดหนึ่ง
จิตมันไม่เคยหมายรู้ความเป็นไตรลักษณ์
ทีแรกอาจจะช่วยมันคิดนิดหนึ่ง
แต่ถ้ามันเคยหมายรู้มาแต่ชาติก่อนๆ
ไม่ต้องช่วยเลย มันจะหมายรู้อัตโนมัติเลย
แต่ถ้ามันไม่เคยเจริญปัญญามาแต่ชาติก่อนๆ
พอรู้ตัวชัดขึ้นมาแล้วช่วยมันนิดหนึ่ง
หมายรู้ลงไปในกายนี้
กายนี้ไม่สวยไม่งาม ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
หมายรู้ หัดหมายรู้ แล้วต่อไปจิตมันหมายรู้ได้เอง
พอขยับมันรู้สึกขึ้นมา นี่มันไม่ใช่เรานี่หว่า ไม่ใช่เรา
หรือดูจิตดูใจเหมือนกัน
ถ้าเราดูจิตแล้วสว่างว่างนิ่งเฉยอยู่
อย่ามัวภูมิใจว่าภาวนาดี อันนั้นติดสมาธิ
ต้องหมายรู้ลงไปให้ได้ว่า จิตที่สว่างนี่คงที่ไม่คงที่
เดี๋ยวก็สว่างมาก เดี๋ยวก็สว่างน้อย
เดี๋ยวก็มืดลงไป มันไม่เที่ยงนี่
หรือจิตใจมีความสุข
รู้ลงไปจิตใจมีความสุข มันก็ไม่คงที่
มันสุขประเดี๋ยวหนึ่ง
เดี๋ยวความสุขก็ค่อยลดลงๆ แล้วก็หายไป
หัดหมายรู้ลงไปในกาย หัดหมายรู้ลงไปในใจ
ให้มันเห็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าหมายรู้จิต ไม่มีอสุภะ
เพราะจิตไม่มีร่างกายที่จะเปื่อยเน่า
ก็มีแค่อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
ถ้าหมายรู้กาย ก็จะเห็นเลยเป็นอสุภะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
การหมายรู้ถูกทำให้เกิดการคิดที่ถูก
เวลาคิดเราก็คิด เออมันไม่ใช่ตัวเรา
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
ความคิดถูกจะนำไปสู่ความเห็นถูก
ฉะนั้นทีแรกมีสัญญามีการหมายรู้ถูก
จะเกิดความคิดถูก จะเกิดความเห็นถูก
1
ที่เราภาวนาแทบเป็นแทบตาย
ไม่ได้อะไรมา ไม่เสียอะไรไป
ยกเว้นได้ความเห็นถูกมา เสียความเห็นผิดไป
แต่เดิมเรามีความเห็นผิด มีความคิดผิด
มีความเห็นผิดว่านี่คือตัวเราอย่างแท้จริง
พอจิตเราตั้งมั่นแล้วเราก็มีสัญญาหมายรู้ลงไป
ความเป็นไตรลักษณ์ของกายของใจเรื่อยๆ ไป
สุดท้ายมันก็เวลาคิดขึ้นมาร่างกาย
เวลาคิดถึงร่างกายไม่ใช่เรา
คิดถึงจิตใจก็เห็นมันไม่ใช่เรา
มันเป็นธาตุรู้อันหนึ่งเท่านั้นเอง
ทำหน้าที่รู้ไปเรื่อยๆ
แล้วก็ไม่คงที่ ไม่เที่ยง
เดี๋ยวสุข เดี๋ยวทุกข์ เดี๋ยวดี เดี๋ยวร้าย
เห็นซ้ำๆๆๆๆๆ ลงไป
สุดท้ายความเห็นถูกที่แท้จริงก็จะเกิดขึ้น
สัมมาทิฏฐิก็จะเกิดขึ้น
นี่คือเส้นทางที่เราจะภาวนา
ฉะนั้นอย่างเราเริ่มต้นด้วยการรู้อิริยาบถ
อิริยาบถย่อย ขยับ ขยับไปตามธรรมชาติ
ไม่ต้องแกล้งช้าๆๆ ช้าๆ
กว่าจะขยับยกมือขึ้นมาตรงนี้
กิเลสเกิดไป 500 รอบแล้วยังไม่เห็นเลย
กริ๊กๆๆ ทุกกริ๊กนี้กิเลสเกิดไปตลอดเวลาแล้ว
ไม่เคยเห็นเลย อันนั้นล้มเหลวในการปฏิบัติ
ถ้าขยับอย่างนี้แล้วเฮ้ยเมื่อกี้หลงนี่ รู้ว่าเมื่อกี้หลง ใช้ได้แล้ว
บางคนบอกหลวงพ่อปราโมทย์สอนอย่างนี้ไม่ถูกหรอก
รู้ว่าเมื่อกี้หลงไม่เป็นปัจจุบัน ต้องเป็นปัจจุบัน
ถามหน่อยขณะที่หลงมีสติได้ไหม
ในขณะที่หลงไม่มีสติหรอก เพราะจิตเป็นอกุศล
การรู้กาย รู้ลงปัจจุบันขณะได้
ขณะนี้กำลังกำมือแบมือ ขณะนี้
อันนี้เรียกว่าปัจจุบันขณะ
แต่การดูจิตดูใจเขาเรียกปัจจุบันสันตติ
สืบเนื่องในปัจจุบัน
เช่น โกรธขึ้นมาแล้วรู้ว่าโกรธ
ไม่ใช่วันนี้โกรธพรุ่งนี้รู้ อันนั้นไม่เป็นปัจจุบันสันตติ
สันตติมันต่อทันทีเลย
โกรธปุ๊บรู้ปั๊บ โลภปุ๊บรู้ปั๊บ หลงปุ๊บรู้ปั๊บ
หัดรู้อย่างนี้
การดูนามธรรมไม่ใช่ดูเป็นปัจจุบันขณะ
แยกตัวนี้ให้ออก ไม่เหมือนกัน
ดูกายนี่กายที่กำลังเคลื่อนไหวอยู่ไม่ใช่เรา
หมายรู้ลงไปเรื่อยๆ ไม่ใช่เรา
แต่ไม่ใช่คิดจนเครียด
แค่หมายรู้ไม่ใช่คิด ต่างกัน
ถ้าวันหนึ่งก็นั่งคิดไอ้นี่ไม่ใช่เรา
ไอ้นี่ก็ไม่ใช่เรา คิดฟุ้งซ่าน
ความคิดจะทำให้จิตตกจากสมาธิ
แค่รู้สึกไปๆ แล้วก็หมายรู้ พูดง่าย
แต่ว่าตรงไหนหมายรู้ต้องไปสังเกตเอาเอง
แค่ไหนมันหมายรู้กับตรงไหนคิด ไม่เหมือนกันหรอก
แต่ภาษามนุษย์มันสื่อไม่ได้แล้ว มันได้แค่นี้
ฉะนั้นเราไปสังเกตตัวเอง
ถ้าเคลื่อนไหวแล้วเราหมายรู้ลงไป
นี่ไม่ใช่เรา เป็นวัตถุเท่านั้น
ใจจะไม่มีน้ำหนักขึ้นมา
ตรงถ้าเรามันขมวดเข้าไปในความคิดเมื่อไร
มันจะหนักๆ ขึ้นมาเลย
ใจหลงไปอยู่ในโลกความคิดเมื่อไร มันจะหนักเลย
แต่ถ้ามันหมายรู้เฉยๆ ใจไม่หนัก
ทำไมหมายรู้ไม่หนัก
หมายรู้เป็นตัวสัญญา ที่มันหนักขึ้นมาเพราะตัวสังขาร
อย่างโลภ โกรธ หลงเกิด กุศลเกิด หนักนะ
แต่การหมายรู้ไม่มีน้ำหนักเกิดขึ้นในใจหรอก
มันมีดีกรี ค่อยๆ สังเกตเอาก็แล้วกัน
ถ้าอยู่ต่อหน้าเราก็บอกได้
นี่อยู่กันทีเยอะแยะเป็นพันเป็นหมื่นอะไรอย่างนี้
ไม่รู้จะชี้อย่างไร
สรุป
ถ้าเราใช้อิริยาบถย่อย เคลื่อนไหวตามธรรมชาติ
เห็นร่างกายมันเคลื่อนไหวไป ใจเราเป็นคนดูสบายๆ
ใจไม่จมลงไป ไม่ไปเพ่งในอิริยาบถย่อย
แล้วก็ไม่หลงลืมอิริยาบถย่อย รู้สึกไปเรื่อยๆ
ถ้ามันรู้สึกดีแล้วสังเกตต่อไปอีก
ตัวที่เคลื่อนไหวอยู่นี่มันไม่ใช่ตัวเรา ไม่ใช่ของเรา
รู้สึกๆ ไป แล้วต่อไปเราไม่ได้เจตนารู้สึกมันจะรู้สึกเอง
ตรงที่มันรู้สึกได้เองจิตมันมีสัญญาที่ถูกต้องแล้ว
มันเดินสัญญาที่ถูกต้องได้เองแล้ว
แล้วสุดท้ายมันจะเห็น เกิดความเห็นถูก
ร่างกายนี้ไม่ใช่ตัวเรา
จิตที่เป็นคนไปรู้ร่างกายนี้ก็ไม่ใช่ตัวเรา ตัวเราไม่มี
มีแต่สภาวะที่เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป
ใจก็เข้าถึงธรรมะ
เข้าใจความจริงแล้ว ตัวเราไม่มีหรอก
วันนี้พูดถึงอิริยาบถย่อยเยอะหน่อย
เพราะเมื่อเช้าเจอพวกที่มาช่วยงานไลฟ์สด เห็นเขาภาวนาดี
เขามีวิหารธรรม ใช้อิริยาบถย่อย
ก็เลยฉวยโอกาสสอนต่อเลยว่า
จากอิริยาบถย่อยจะเดินต่อไปอย่างไร
แต่อย่าฟุ้งซ่าน อย่าใจร้อน ค่อยๆ ทำไป
ถ้าใจร้อนปุ๊บๆ ขั้นนี้แล้วขั้นนี้ๆ ฟุ้งซ่าน
สมาธิแตกหมดเลย ใช้ไม่ได้ ใจเย็นๆ
แล้วความจริงถ้าเราไม่ได้ใช้อิริยาบถย่อย
เราใช้กรรมฐานอื่น ใช้วิหารธรรมอย่างอื่น
ก็ใช้หลักอันเดียวกันนั่นล่ะ
อย่างเราจะดูจิตดูใจ ไม่ได้ทำจิตให้นิ่งให้ว่าง
จิตมันเป็นอย่างไรรู้ว่าเป็นอย่างนั้น
เหมือนร่างกายมันเคลื่อนไหวอย่างไร ก็รู้มันไปอย่างนั้น
ไม่ต้องมารยาทำเป็นเรียบร้อย
จิตนี้เหมือนกัน ถ้าเราจะดูจิตเป็นวิหารธรรม
จิตมันสุข จิตมันทุกข์ จิตมันดี จิตมันชั่ว รู้มันไป
จิตมันเกิดที่ตารู้ เกิดที่หู ที่จมูก ที่ลิ้น ที่กาย ที่ใจ รู้
รู้อย่างที่มันเป็น
ไม่ต้องมารยาทำเป็นเรียบร้อย แหม จิตสำรวมนิ่งๆ
1
หลวงพ่อได้ยินบางที่เขาไปภาวนา
7 วัน ออกใบรับรองเลยได้โสดาบัน
ไปเรียนครั้งที่สอง 7 วันได้สกทาคามี
อีก 7 วันได้อนาคามี
อีก 7 วันเป็นพระอรหันต์
อีก 7 วันตกนรกอีกแล้ว
ฉะนั้นเวลาไปภาวนาอย่ามัวแต่บ้า certificate
ไม่ต้องหาให้ใครเขามารับรองเราหรอก
ดูกิเลสตัวเองให้ออก
ไม่ใช่ บางที่เขาใช้วิธีนี้ล่ะ ใช้วิธีแต่งตั้งให้เราเป็นพระอริยะ
เราไปเรียนกับเขาไม่กี่วันเลย เขาตั้งเป็นพระโสดาบัน
เราก็ดีใจ เราปลื้มเลื่อมใสศรัทธา
ที่นี่สอนดีจังเลยอะไรอย่างนี้
ไม่รู้หรอกว่าโดนเขาหลอกแล้ว
เหมือนเมื่อก่อนตอนหลวงพ่อยังไม่บวช มีเพลง
รู้เขาหลอกแต่เต็มใจให้หลอก
มันเต็มใจจริงๆ เพราะเขาตั้งให้เป็นพระอริยะ
อย่าบ้าพระอริยะ
มันไม่ได้เยอะ มันไม่ได้ง่ายขนาดนั้นหรอก
กิเลสเราหนากว่าภูเขากว่าแผ่นดินเสียอีก
กว่าจะขุดดินทะลุลงไปเจอน้ำบาดาลไม่ได้ตื้นๆ ขุดกันนาน
ฉะนั้นกว่าจะขุดสันดอน คือสันดานของเราได้
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ หรอก
ฉะนั้นประเภท 3 วัน 7 วัน เขารับรองแล้ว
อาจจะมี 1 คนเขาได้จริงๆ เพราะบารมีมันเต็มแล้ว
คนที่สองมา 3 วันก็ได้เหมือนกันอีกแล้ว
คนที่สามมาก็เหมือนกันอีกแล้ว ต้องเฉลียวใจเลย อย่าโง่
เขากำลังเอาเหยื่อมาหลอกเรา
เอาความเป็นพระอริยะมาหลอกเรา
จะเป็นหรือไม่เป็นไม่สำคัญ
ที่สำคัญก็คือจิตใจเราพ้นจากกิเลสได้แค่ไหน
บางทีภาวนาทำจิตให้นิ่ง ให้ว่าง ให้สว่าง
เข้าไปอยู่อย่างนี้แล้วบอกไม่มีกิเลส มันจะมีอะไร
เพราะจิตมันไปทรงสมาธิขึ้นมา กิเลสหยาบๆ มันก็ไม่มี
แต่ถามว่าอยู่ตรงนี้แล้วมีกิเลสละเอียดไหม มี
จิตติดในรูปราคะ ในอรูปราคะได้อีก
แล้วถอยออกมาก็มีมานะ
กูเก่งกว่าคนอื่น กูเป็นพระอริยะ
ถ้ารู้สึกว่ากูเป็นพระอริยะ ปลอมแน่นอน
พระอริยะไม่รู้สึกว่าตัวเป็นพระอริยะหรอก
แต่รู้สึกว่าธรรมดาเท่านั้นล่ะ ธรรมดาที่สุดเลย
ฉะนั้นภาวนา ทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่งคือมีวิหารธรรม
มีสติระลึกไปเรื่อยๆ ระลึกไป
มีเป้าหมายที่ชัดเจน
เพื่อลดละอกุศล เพื่อเจริญกุศล
ถ้าภาวนาแล้วอกุศลงอกงาม กูเก่ง กูใหญ่
กูดีอย่างโน้นอย่างนี้ อันนี้ผิดแล้วล่ะ
กูเป็นพระอริยะ
โอ๊ย ถ้ากูเป็นพระอริยะได้
ถ้ารู้สึกกูเป็นพระอริยะ มึงก็พระอริยะเหมือนกัน
มีกูมันก็มีมึง มันก็มีเรา มันก็มีเขา
พระอริยะไม่รู้สึกอย่างนั้นหรอก
มันไม่มีเราเสียอย่างเดียวมันก็ไม่มีเขา
ถ้ามีเราก็มีเขา คือโง่เป็นควายมีเขา ยังมีเราอยู่
ฉะนั้นหัดรู้หัดดู ทำกรรมฐานต้องมีเครื่องอยู่
อยู่ไปแบบไม่สนองกิเลส ลดละกิเลสไป
สำรวจตัวเอง รู้เท่าทันตัวเอง
ควรทำความสงบก็ทำ ควรเจริญปัญญาก็เจริญ
วิธีเจริญปัญญาก็คือหมายรู้ให้ถูก
รู้สึกในรูปก็หมายรู้รูปอย่างถูกต้อง
รูปนี้ไม่สวยไม่งาม เป็นปฏิกูล อสุภะ
ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
หมายรู้จิตก็หมายให้ถูกต้อง
จิตนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
จิตไม่มีอสุภะ จิตไม่มีรูป หมายรู้ไปเรื่อยๆ
สุดท้ายก็เกิดสัมมาทิฏฐิ
เกิดความรู้ถูก เกิดความเห็นถูก
เวลาเกิดสัมมาทิฏฐินั้นเกิดในขณะจิตเดียว
ถ้าค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ เข้าใจยังไม่ใช่
เวลาเกิดสัมมาทิฏฐิตัวจริงเกิดในอริยมรรค
ชั่วขณะจิตเท่านั้นเอง แวบเดียวเข้าใจแล้ว
มันปิ๊งขึ้นมาเลยเข้าใจแล้ว
ค่อยสะสมทีละเล็กทีละน้อย
อันนี้เป็นการสะสมปัญญาในเบื้องต้น
เรียกว่าบุพพภาคมรรค เป็นเบื้องต้นแห่งมรรค
ตอนที่อริยมรรคเกิดนั้น
เกิดชั่วขณะจิตเดียวเท่านั้นเอง. …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
12 กุมภาพันธ์ 2565
Photo by : Unsplash

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา