26 ก.พ. 2022 เวลา 08:00 • วิทยาศาสตร์ & เทคโนโลยี
10 คำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่าทำไม “เราจึงเห็นผี”
5
ระยะเวลาที่ใช้ในการอ่านโดยประมาณ :10 นาที
หลายๆคนคงเคยได้ยินเรื่องราวของการเห็นผี จากเรื่องเล่าบ้าง จากรายการต่างๆ บ้าง ซึ่งก็มีทั้งที่น่าเชื้อถือบ้างและไม่น่าเชื้อถือบ้าว และในวันนี้นายจอมโม้จะพาพูดถึง 10 อธิบายทางวิทยาศาสตร์ว่า “ทำไมเราถึงเห็นผี
1. Sleep Paralysis (ผีอำ)
ปรากกการณ์นี้ทางการแพทย์เรียกอาการผีอำว่า Sleep Paralysis ซึ่งเป็นอาการที่เรานั้นยังรู้สึกตัว แต่ไม่สามารถขยับร่างกายหรือทำอะไรได้ คล้ายกับการเป็นอัมพาต โดย 75% ของอาการนี้จะเกิดขึ้นในช่วงใกล้ตื่น และอีก 25% เกิดในช่วงเวลาใกล้หลับ โดยสาเหตุนั้นส่วนใหญ่จะมาจากการนอนที่ไม่มีคุณภาพ อย่างเช่นการนอนหลับไม่พอ หรือการเปลี่ยนแปลงเวลานอนบ่อยๆ หรือในบางกรณีมันก็อาจเกี่ยวกับสุขภาพจิต อย่างเช่นภาวะเครียด หรือไบโพลา อีกทั้งยังอาจเป็นของยารักษาโรค เช่นยานอนหลับ และยาโรคสมาธิสั้น หรือยาเสพติด ก็ทำให้เกิดอาการแบบนี้ได้เช่นเดียวกัน
2. ร่างกายตอบสนองต่อความเชื่อ
1
หลายคนอาจเคยมีประสบการณ์ในทำนองว่า เมื่อมีคนมาบอกเราว่าข้อสอบวิชานี้มันยากจริงๆ เราก็จะเชื่อว่ามันยาก แล้วเมื่อเราเข้าไปทำข้อสอบ เราก็จะรู้สึกว่ามันยากจริงๆ หรือในสมัยเด็กๆ เราอาจเคยได้ยินว่าคุณลุงคนนู้น คุณป้าคนนี้ดุมากๆ แล้วมันก็ทำให้เราเชื่อและกลัวคนเหล่านั้นจริงๆทั้งๆที่เราไม่เคยคุยกับพวกเขาเลย นั้นคือการที่ร่างกาย พฏติกรรมและแนวคิดของเราตอบสนองต่อความเชื่อที่เรามี ดังนั้นเมื่อหลายคนเคยได้ยินว่าผี หรือสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆนั้นมีอยู่จริง ร่เราก็จะตอบสนองต่อความเชื่อเรื่องนี้ โดยมันอาจแสดงออกมาเป็นการกลัวความมืด การเห็นเงาหรือวัดถุต่างๆ แล้วเชื่อว่านั่นคือผี หรือการเกิดอาการตัวสั่น ขนลุก เมื่อไปอยู่ในที่วังเวง และในทาวตรงกันข้าม คนที่ไม่มีความเชื่อต่อเรื่องผี หรือสิ่งเหนือะรรมชาติ ก็จะตอบสนองต่อสิ่งเหล่านี้น้อยกว่ามาก
4
3. สิ่งแวดล้อมรอบตัว
การที่บางคนกล่าวว่าพวกเขาสามารถเห็นผี หรือวิญญาณได้จริง ทางวิทยาศาสตร์ได้พบว่าแท้จริงแล้วปรากฏการณ์นี้มักมีสาเหตุจากสิ่งแวดล้อมรอบตัว ยกตัวอย่างเช่นในสมัยกรีกโบราณเลยมีเรื่องเล่าว่า หญิงสาวคนหนึ่งชื่อว่า Delphi สามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ โดยเมื่อใดตามที่เธอเดินเข้าวิหาร เธอก็จะสามารถสื่อสารกับเทพเจ้าได้ แต่ในปัจจุบัน นักวิทยาศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าในวิหารแห่งนั้น มีการรั่วไหลของแก็สธรรมชาติ และสารต่างๆไม่ว่าจะเป้นไฮโดรคาร์บอน มีเทน อิเทน และเอททิลีน ซึ่งสารเหล่านี้ส่งผลต่อการรับรู้ของสมอง ทำให้ความรับรุ้ของ Delphi นั้นผิดเพี้ยนไปจนทำให้เกิดความเข้าใจผิดว่าตัวเธอนั้นกำลังสื่อสารกับเทพเจ้า
2
4. Inattentional Blindness
เพราะคนเรานั้นมีความสามารถที่จำกัด เราจึงไม่สามารถรับรู้ข้อมูลทุกอย่างได้ในคราวเดียว นี้จึงทำให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า Inattentional Blindness หรือก็คือการที่เรามุ่งความสนใจไปที่สิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นพิเศษ จนทำให้เสียการรับรู้สิ่งอื่นๆที่อยู่รอบตัว ซึ่งนักวิทยาศาสตร์ก็ได้นำสิ่งนี้มาปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ ยกตัวอย่างเช่น เมื่อเราอยุ่ในบ้านตามลำพังในค่ำคืนที่มืดมิด แล้วอยู่ดีๆรูปที่แขวนอยู่บนผนังก็ตกลงมา นั้นทำให้เราคิดว่าเป็นฝีมือของผีแน่ๆ แต่แท้จริงแล้วในช่วงเวลาดังกล่าว สมองของเราโฟกัสไปที่เหตุการณ์รูปตกเพียงอย่างเดียว จนทำให้เรามองข้ามสาเหตุหรือเหตุการณ์อื่นๆไป เช่นที่จริงแล้วการที่รูปตกลงมาอาจเป็นแค่หน้าต่างที่ถูกเปิดทิ้งไว้แล้วมีลมพัดเข้ามา หรืออาจเป็นเพราะรูปดังกล่าวเก่ามากแล้ว และชำรุดเสียหาย
1
5. Pareidolia
คนเรานั้นจะสามารถจดจำข้อมูลบางอย่างได้อย่างแม่นยำ และทำให้เกิด Pareidolia ที่สมองของเราจะนำข้อมูลที่ว่านี้มาเชื่อมโยงเข้ากับสิ่งต่างๆ และผสานเข้ากับจินตนาการ ยกตัวอย่างเช่น เรามองเห็นก้อนเมฆเป็นรูปแมว เห็นหินเป็นรูปหน้าคน ซึ่งปรากฏการณ์ที่ว่านี้ไม่ได้จำกัดอยู่ที่การมองเห็นเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงการได้ยินเสียงแว่วๆ ก็เป็นไปตามหลักการนี้เช่นเดีวกัน ดังนั้นคนที่บอกว่าเคยเห็นผี หรือได้ยินเสียงกระซิบจากผี นักวิทยาศาสตร์ได้อธิบายไว้ว่ามันเป็นอาการที่มาจาก Pareidolia ทั้งนั้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากข้อมูลไหนที่สำคัญมากเป็นพิเศษ เช่นใบหน้า หรือเสียงของผู้เสียชีวิตที่เรารักมาก ก็จะยิ่งเพิ่มโอกาสให้เกิดปรากฏการณ์ดังกล่าวได้ง่ายขึ้น
2
6. คลื่นแห่งความกลัว
เรื่องราวนี้ต้องย้อนกลับไปที่ทศวรรษ 1980 มีวิศวกรคนหนึ่งที่มีชื่อว่า Vic Tandy กำลังทำงานอยู่ในห้องแล็ป แล้วทันใดนั้นเขาก็รู้สึกเย็นยะเยือก วังเวง และเห็นหมอกสีขาวอยู่ในมุมมืด และด้วยความอยากรู้อยากเห็น เขาจึงได้ทำการวิจัยเรื่องนี้อย่างจริงจัง แล้วผลก็ปรากฏว่าภายให้ห้องแล็ปนั้นมีพัดลมที่ส่งเสียงด้วยความถี่ 18.9Hz ซึ่งเป็นความถี่ที่มนุษย์แทบจะไม่รับรู้ถึงมัน แต่ร่างกายจองเรานั้นจะตอบสนองต่อความถี่นี้ ยกตัวอย่างเช่นดวงตา จะมีการสั่นไหวที่ใกล้เคียงกัน และทำให้เรามองเห็นสิ่งต่างๆผิดเพี้ยนไป และในทำนองเดียวกันอวัยวะภายในก็สามรถสั่นไหวในลักษณธเดียวกัน นั้นทำให้เรารู้สึกไม่สบายตัว หรืออึดอัด และเมื่อภาวะเช่นนี้เกิดขึ้นมาพร้อมๆกัน มันจึงอาจทำให้เรารู้สึกว่าเรากำลังเห็นผี โดยงานวิจัยนี้ก็ได้ตีพิมพ์อย่าเป็นทางการในปี 1998 และยังมีการเรียกความถี่ที่ต่ำกว่า 20Hz ว่า frequency of fear
3
7. เชื้อราและสารพิษ
นี่เป็นทฤษฏีสมัยใหม่ที่ถูกนำมาใช้อธิบายการเห็นผีในสถานที่ๆน่ากลัว เช่นตึกร้าง หรือป่าช้า โดยทฤษฏีนี้ได้กล่าวไว้ว่าในสถานที่เหล่านั้นมักมีบางสิ่งที่เหมือนๆกัน นั้นก็คือมีความเก่า ความสกปรก เป็นแหล่งสระสมของเชื้อราและสารพิษต่างๆ จากนั้นเมื่อเราเข้าไปในสถานที่ดังกล่าว ร่างกายของเราก็จะตอบสนองต่อสารพิษเหล่านี้ โดยมันอาจทำให้เรารู้สึก อึดอัด หายใจไม่ออก ไม่สบายตัว และอาจถึงขั้นประสาทหลอนได้ เนื่องจากกงานวิจัยสมัยใหม่พบว่ามีเชื้อราและเชื้อโรคมากมายที่ทำให้เราเกิดอาการประสาทหลอน และซึมเศร้าได้จริง ดังนั้นเมื่อเราเข้าไปยังสถานที่ดังกล่าว รวมถึงหากถ้าเราเป็นคนที่มีความเชื่อเรื่องอยู่แล้ว มันก็อาจทำให้เราได้สัมผัสกัยปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติได้
8. การปลดปล่อยหลังงาน
มีคนจำนวนไม่น้อยเชื่อว่าเมื่อเราเสียชีวิตไปแล้ว วิญญาณของเราจะคงอยู่ในรูปของพลังงาน แต่วิจัยอย่างนาย John Kachuba นั้นไม่เหตุด้วยโดยเขาให้เหตุผลว่า หากเราอ้างอิงจากทฤษฏีของไอน์สไตน์ ที่กล่าวว่าพลังงานทั้งหมดในจักวาลเป็นสิ่งที่ทำลายไม่ได้ สร้างใหม่ไม่ได้ โดยมันทำได้เพียงแค่ถ่ายโอน หรือเปลี่ยนรุปแบบได้ ดังนั้นหากยึดตามทฏษฏีนี้ เมื่อเราเสียชีวิตลง ร่างกายของเราก็จะปลอดปล่อยพลังงานกลับสุ่ธรรมชาติ เช่นปล่อยพลังงานความร้อนออกสู่อากาศ หรือหากเรานอนเน่าเปื่อยอยู่บนพื้นดิน พวกนอนแมลงก็จะมากินเราเป็นอาหาร ร่างกายของเราก็จะถูกเปลี่ยนไปเป็นพลังงานของมัน ดังนั้นในมุมมองของนาย John Kachuba วิญญาณคือกลุ่มก้อนพลังงานจึงไม่เป็นความจริง แต่เป็นปรากฏการธรรมชาติที่ร่างกายของเราจะปลดปล่อยพลังงานออกมาเมื่อเสียชีวิตลง
1
9. อาการบาดเจ็บทางสมอง
ในข้อนี้จะแย่งออกเป็น 2 แบบ แบบแรกคือได้รับบาดเจ็บอย่างเฉียบพลัน อย่างเช่นการเกิดอุบัติเหตุ และแบบที่สองคืออาการบาดเจ็บต่อเนื่องมาอย่างยาวนาน อย่างเช่นการถูกทำร้ายร่างกายเป็นประจำ โดยจากการศึกษาพว่าเมื่ออาหารบาดเจ็บผสานเข้ากับจิตใจที่บอบช้ำ อาจทำให้สมองประมวลผลผิดเพี้ยนไป ยกตัวอย่างเช่นการประมวลผลภาพบางอย่าง ทำให้เห็นภาพ หรือได้ยินเสียงที่ไม่มีอยู่จริง หรือพูดง่ายๆว่าพวกเขาเกิดอาการประสาทหลอน แล้วคิดว่าตัวเองเห็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง
10. เพราะเราต้องการที่จะเชื่อ
มีนักจิตวิทยามากมายที่ลงความเห็นว่า การเห็นผีหรือสิ่งเหนือธรรมชาติต่างๆ ล้วนมีพื้นฐานมาจากความเชื่อส่วนบุคคล ที่คนเหล่านี้เชื่อว่ามันมีอยุ่จริง ถึงแม้ว่าในหลายๆเหตุการณ์จะมีเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์มาโต้แย้ง แต่หลายๆคนก็ยังเลือกที่จะมองข้ามเหตุผลเหล่านี้ไป และในทางตรงกันข้ามคนที่ยึดมั่นในหลักการทางวิทยาศตร์ก็มีแนวโน้มที่จะเห็นปรากฏการเหนือธรรมชาติน้อยกว่ามาก
1
เรียบเรียงโดย
นายจอมโม้
25 กุมภาพันธ์ 2022
โฆษณา