14 ก.พ. 2022 เวลา 11:00 • หุ้น & เศรษฐกิจ
​ส่องแนวโน้มเศรษฐกิจโลกท่ามกลางความท้าทาย
1
ในช่วงกลางเดือนมกราคมที่ผ่านมานี้ ธนาคารโลกได้เผยแพร่คาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจโลกผ่านรายงานแนวโน้มเศรษฐกิจโลก โดยมองว่าเศรษฐกิจโลกจะเติบโตแผ่วลงเมื่อเทียบกับการประเมินในเดือนมิถุนายนปีก่อน บางขุนพรหมชวนคิดในวันนี้จึงขอเล่าประเด็นที่น่าสนใจที่มีการกล่าวถึงในรายงานฉบับนี้ให้กับท่านผู้อ่านค่ะ
เศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มเติบโตแผ่วลงจากปี 2564 โดยปรับลดตัวเลขคาดการณ์เติบโตของเศรษฐกิจโลก (จีดีพี) จากเดิมที่จะขยายตัว 4.3% มาอยู่ที่ 4.1% หลังหลายประเทศทั่วโลกยังเผชิญกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด 19 ระลอกใหม่ ปัญหาเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้น และความไม่แน่นอนของทั้งนโยบายการคลังและการเงินที่อาจก่อให้เกิดภาวะตึงตัวทางการเงินทั่วโลก
นอกจากนี้ การชะลอตัวจะเกิดขึ้นพร้อมกับการเติบโตที่แตกต่างกันมากระหว่างประเทศพัฒนาแล้วและประเทศกำลังพัฒนา ธนาคารโลกประเมินว่า เศรษฐกิจของประเทศพัฒนาแล้วจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่ภายในปี 2566 ขณะที่เศรษฐกิจประเทศกำลังพัฒนาจะยังต่ำกว่าระดับก่อนการระบาดของโควิด 19 และได้วิเคราะห์ 3 อุปสรรคต่อการฟื้นตัวอย่างยั่งยืนในประเทศกำลังพัฒนา
1
ประเด็นแรกคือ ภาระหนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น การระบาดของโควิด-19 ยิ่งซ้ำเติมให้หนี้ทั่วโลกเพิ่มสูงขึ้นจนอยู่ในระดับสูงสุดในหลายทศวรรษ ในเวทีโลก เช่น การประชุม G20 แม้จะมีการริเริ่มหาข้อตกลงร่วมกันเพื่อจัดการกับปัญหาหนี้ในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา เช่น การลดหนี้ การพักชำระหนี้ โดยมีจุดประสงค์เพื่อให้ประเทศเหล่านี้สามารถพัฒนาและฟื้นฟูจากวิกฤติโควิด-19 ได้
1
รวมทั้งยกระดับเศรษฐกิจให้พร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในอนาคตทั้งเศรษฐกิจที่เน้นคาร์บอนต่ำ และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การจัดการหนี้ตามข้อตกลงร่วมกันไม่ค่อยมีความคืบหน้า และในระยะต่อไปจะยิ่งเผชิญกับความท้าทายจากทิศทางอัตราดอกเบี้ยทั่วโลกที่กลับมาเป็นขาขึ้น โดยเฉพาะประเทศที่มีหนี้ต่างประเทศสูง และประเทศที่มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อในประเทศและเงินทุนจากต่างประเทศที่ไม่เพิ่มขึ้น ทำให้หลายประเทศ อาทิ บราซิล รัสเซีย และแอฟริกาใต้ ได้เริ่มขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีก่อนแล้ว
ถัดมาคือ ผลกระทบของโควิด-19 ที่ส่งผลให้ความเหลื่อมล้ำด้านรายได้ทั่วโลกเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในประเทศกำลังพัฒนา การระบาดของโควิด-19 ทำให้ความเหลื่อมล้ำที่ลดลงในช่วงสองทศวรรษก่อนกลับมาเพิ่มสูงขึ้น โดยอาจกลับไปสู่ระดับในช่วงสิบปีก่อน นอกจากนี้ โควิด-19 ยังทำให้ความเหลื่อมล้ำด้านอื่น ๆ สูงขึ้นตาม ทั้งการเข้าถึงและความพร้อมของวัคซีน การเข้าถึงการศึกษาและระบบสาธารณสุข การสูญเสียงานหรือรายได้โดยเฉพาะในกลุ่มแรงงานที่มีทักษะต่ำหรือแรงงานนอกระบบ ซึ่งแนวโน้มนี้หากยืดเยื้อออกไปจะสร้างรอยแผลเป็นทางเศรษฐกิจในระยะยาวจากการสูญเสียการพัฒนาทุนมนุษย์จากการเข้าถึงการศึกษาที่หยุดชะงัก รวมถึงทำให้การยุติความยากจนขั้นรุนแรง ที่กว่า 2 ใน 3 กระจุกอยู่ในประเทศกำลังพัฒนาทำได้ยากขึ้น
2
ประเด็นสุดท้าย คือ ผลของวัฏจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันเชื้อเพลิง แร่ธาตุวัตถุดิบ พืชพันธุ์ธัญญาหาร ต่อประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งส่วนใหญ่ต้องพึ่งพาการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ และในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาราคาสินค้าโภคภัณฑ์ผันผวนเป็นอย่างมาก โดยราคาสินค้าโภคภัณฑ์ลดลงมากจากการโควิด-19 จากนั้นปรับสูงขึ้นจนแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ในบางช่วงตามทิศทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น และในระยะต่อไปวัฎจักรราคาสินค้าโภคภัณฑ์จะผันผวนรุนแรงขึ้นจากผลของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศและกระแสการใช้พลังงานโดยเฉพาะจากเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เปลี่ยนแปลงไป ซึ่งจะส่งผลอย่างมากต่อประเทศกำลังพัฒนาที่กว่า 2 ใน 3 เป็นผู้ส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์
3
ปีนี้เศรษฐกิจโลกยังเผชิญกับปัจจัยท้าทายต่าง ๆ ไทยเองแม้ปีนี้จะเป็นปีแรกที่จะออกจากวิกฤตโควิด 19 อย่างเต็มตัว แต่ทุกภาคส่วนต้องจับตาการฟื้นตัวเศรษฐกิจโลกที่แผ่วลงและระมัดระวังไม่ให้ส่งผลจนทำให้การฟื้นตัวของไทยสะดุดลงค่ะ
บทความนี้เป็นข้อคิดเห็นส่วนบุคคล ซึ่งไม่จำเป็นต้องสอดคล้องกับข้อคิดเห็นของธนาคารแห่งประเทศไทย
ผู้เขียน :
ธนันธร มหาพรประจักษ์
โฆษณา