20 ก.พ. 2022 เวลา 10:00 • อาหาร
“ขนมดอกโสนในกะลามะพร้าว: คนสมัยก่อนมองกะลาเป็นของต่ำแต่คนสมัยนี้มองกะลาเป็นเครื่องมือสร้างมูลค่าเพิ่ม”
ในเชิงการใช้สอย ‘กะลา’ เป็นของอรรถประโยชน์ แต่เนื่องจากหาได้มาก เกลื่อนกลาด และเป็นของธรรมดาสามัญสำหรับไพร่ประชาชนคนธรรมดาทั่วไป กะลาเลยถูกให้ความหมายในเชิงเหยียดนิด ๆ เช่น การเปรียบกะลาเป็นสัญลักษณ์ของการสิ้นไร้ไม้ตอก เป็นอุปกรณ์ของขอทาน หรือการเอาคำว่า ‘กะโหลก+กะลา’ ก็จะได้ความหมายใหม่ หมายถึง ‘ไม่มีค่า’
Voice Online : ประวัติศาสตร์
ขนมดอกโสนของคนบ้านสวนเมื่อ 30-40 ปีก่อนไม่ได้เริ่มจากหยิบไอโฟนเดินเข้าร้านขนมไทย ชี้ไปที่ถุงขนมแล้วเปิดแอพในมือถือสแกนจ่ายตังค์ แต่ขนมดอกโสนบ้านสวนต้องวางแผนล่วงหน้าอย่างน้อยวันหนึ่ง เอาข้าวสารแช่น้ำเตรียมตำแป้ง สอยมะพร้าวในสวนหลังบ้าน และต้องรอ ๆ ๆ ให้ดอกโสนริมคลองหน้าบ้านบานเสียก่อน ซึ่งมันจะบานตอนเย็น ๆ ไม่ใช่ “แม่ดอกโสนบานเช้า พ่อดอกสะเดาบานตอนเย็น…” เพราะเพลงเขาแต่งให้มันตรงข้าม สำหรับชายหนุ่มหญิงสาวค่อนอีกฝ่ายว่าทำตัวเปรี้ยว…ก็หาเรื่องจีบกันไง
ซ้ายมือเป็นขนมดอกโสนสมัยใหม่ในชามแก้ว กินกับน้ำตาลทราย ส่วนขวามือเป็นขนมดอกโสนสมัยเก่าในกะลามะพร้าว กินกับน้ำตาลปี๊บ
กว่าคนบ้านสวนจะได้กินขนมดอกโสนต้องใช้เวลาทั้งวัน รวมทั้งกะเกณฑ์กำลังแรงงาน เพราะหากใครลงมือทำตามลำพังก็จะต้องถึงกับหอบ เริ่มตั้งแต่เช้าหลังกินข้าวเสร็จแล้วนึกอยากกินขนมดอกโสนก็ตวงข้าวสารจากตุ่มในครัวแช่น้ำไว้สักพัก เอาลงครกไม้ใบใหญ่ สากไม้ตำจนละเอียด โกยใส่กระด้งฝัด คัดเอาแค่ที่เป็นฝุ่นแป้ง เลือกที่ยังคงสภาพเป็นเม็ดข้าวลงครกตำต่อ
ระหว่างนั้นก็ต้องมีใครสักคนไปเก็บมะพร้าว ไอ้ที่ลูกสีน้ำตาลแห้งร่วงอยู่โคนต้นนั้นแก่เกิน (ต้องแกง) ออกแรงปีนหรือเอาตะขอเลือกสอยเอาลูกเหมาะ ๆ จากคอมะพร้าว ลูกที่เปลือกยังเขียว เนื้อในยังพอนิ่ม เคี้ยวมัน เพราะอยู่ในวัยกำลัง “ห้าว”
แค่ตำแป้งกับสอย-ปอก-ผ่า-ขูดมะพร้าวก็เลยเวลาข้าวกลางวัน แต่ยังต้องรอจนบ่ายแก่ ๆ ดอกโสนจึงถึงเวลาบาน มองไปทางชายคลอง กอโสนกิ่งก้านแบบบางโดนลมโยกคลอนแต่ก็ไม่เคยหักโค่น เพราะอยู่เป็น ใบสีเขียวเล็กละเอียด ทำให้มองเห็นดอกโสนสีเหลืองเข้มเต็มต้น ฉากหลังเป็นท้องฟ้าสีฟ้า บางทีก็สีน้ำเงิน เงาสะท้อนน้ำในคลองจึงฉาบไล้สีเหลืองทองทั้งบนฟ้าและเหนือผิวน้ำ
โสนเล็กจิ๋วออกดอกเป็นช่อ หากขี้เกียจเด็ด เอามาทั้งช่อพอถึงครัวก็ต้องโดนแม่เอ็ดและเสียเวลารูดดอกออกจากก้านช่ออยู่ดี ทางที่ดีขอร้องพี่ชายหรือหลอกเพื่อนมาเที่ยวบ้านให้มันช่วยเด็ดดีที่สุด โดยสัญญาว่าจะเลี้ยงขนม แต่อย่าให้มันรู้ว่าเป็นขนมดอกโสน ไม่งั้นมันคงไม่มา ก็บ้านไหน ๆ ก็มีต้นโสนขึ้นรอบบ้าน อย่าว่าแต่ขนมดอกโสน แกงส้ม ผัดน้ำมัน ชุบไข่ทอด หรือดอกโสนดองจิ้มน้ำพริกหรือปลาร้า ชาวสวนริมคลองก็กินกันจนลำไส้เป็นสีเหลือง
แม่บอกว่าสำรับกับข้าวหรือขนมอะไรก็แล้วแต่ถ้าต้องนึ่งให้ใช้หวดดินจึงจะหอมชวนกิน อย่าไปใช้ซึ้งอลูมิเนียม “เหม็นเหล็ก” แต่เดี๋ยวนี้ถึงแม้จะยังนึ่งขนมหรือกับข้าวกันบ้างก็ไม่มีลูกของแม่คนไหนมือเบาพอจะหยิบจับหวดดินใช้งานได้นานเท่าคนรุ่นแม่อีกแล้ว
ได้ดอกโสนมาแล้วล้างน้ำ เอาเศษฝุ่นผงออก ปล่อยแห้งพอหมาด ๆ กะพอให้แป้งที่ตำไว้ลงคลุกเคล้าแล้วติดทั่วดอกโสนพอดี (บางครั้งก็เปลี่ยนบรรยากาศด้วยการใช้ข้าวเหนียวเม็ดก็มี) จากนั้นเอาดอกโสนที่คลุกแป้งแล้วลงหวด อาจใส่ใบตองรองก้นหวด เพราะรูหวดใหญ่ ไม่งั้นดอกโสนและแป้งอาจร่วงลงหม้อน้ำข้างล่าง กลายเป็นโจ๊กดอกโสน
คดดอกโสนนึ่งสุกจากหวดลงถาด คลุกรวมกับมะพร้าวห้าวขูดฝอย ระหว่างคลุกให้คอยพรมน้ำเกลือให้ทั่ว (แม่ทำที่พรมน้ำเกลือจากใบตองฉีกและมัดโคนใบให้จับถนัด แม่ว่าน้ำเกลือกระจายทั่ว ดีกว่าใช้ช้อนหรือมือพรม) เพื่อให้เนื้อดอกโสนและแป้งนุ่ม ออกรสเค็มปะแล่ม
จากที่วางแผนกันว่าจะทำขนมดอกโสนตั้งแต่ระหว่างกินข้าวมื้อเช้า กว่าจะได้กินก็กลายเป็นขนมล้างปากหลังข้าวมื้อเย็น ด้วยกรรมวิธีที่ต้องเริ่มตั้งแต่ออกล่าวัตถุดิบแต่ละชนิด แปรรูป และประกอบสร้างเข้าด้วยกันจนรวมร่างเป็น “ขนมดอกโสน”
ขนมดอกโสนนึ่งคลุกมะพร้าวห้าวขูดฝอย รสมัน หวานอ่อน ๆ พรมน้ำเกลือเค็มปะแล่ม กินคู่กับน้ำตาลมะพร้าวสีเหลืองหอมในกะลามะพร้าวที่ขูดเอาเนื้อออกจนเกลี้ยง
หลังขูดเนื้อมะพร้าวหมดเกลี้ยง จะเหลือกะลา 2 ใบ แม่มักจะตักขนมดอกโสนใส่กะลาสำหรับตัวเองใบหนึ่ง อีกใบสำหรับผม แม่จะเอากะลากระแทกพื้นและทำเสียง “โม่ ๆ ๆ” เพราะมันไม่ใช่ภาชนะสำหรับคน มีแต่หมากับแมวเท่านั้นที่กินอาหารในกะลา แต่ผมในวัยที่เข้าเกณฑ์ว่าโตพอที่จะล้างชามข้าวด้วยตนเองแล้วชอบมาก เพราะกินเสร็จแล้วไม่ต้องล้าง โยนเข้ากองไฟที่พ่อสุมไว้ไล่ยุงได้เลย
ทางร้านจะใช้กะลาแทนถ้วยเพื่อเป็นการอนุรักษ์ธรรมชาติ และเพื่อความเป็นไทยตามกระแสในปัจจุบัน ซึ่งผลตอบรับจากลูกค้าดีมากๆ…
ก๋วยเตี๋ยวเรือกะลา สงขลา
เมื่อก่อนก็ไม่ได้เสิร์ฟในกะลาหรอกครับ แต่ที่นครนายกนี้เขามีกระบวยตักน้ำ เราก็เลยคิดได้ว่า ถ้าใช้กะลาเนี่ยมาแทนชามปกติที่เราใช้เสิร์ฟ น่าจะมีเอกลักษณ์ดี เป็นภูมิปัญญาชาวบ้านด้วยครับ
ก๋วยเตี๋ยวเรือกะลาลุงเผ่า นครนายก
เดิมเปิดเป็นร้านขายก๋วยเตี๋ยวเหมือนร้านทั่วไป ซึ่งไม่ได้รับความนิยมมากเท่าที่ควร ตนจึงคิดไอเดียใหม่ ๆ ขึ้นมา โดยใช้กะลามะพร้าวขัดมันนำมาทำเป็นภาชนะใส่ก๋วยเตี๋ยวแทนถ้วยชามกระเบื้อง
เตี๋ยวกะลาเมืองเพชร เพชรบุรี
หลังจากที่ได้ปรึกษาแม่และพี่สาวแล้ว จึงได้เปิดร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระกะลาขึ้นมา ใช้กะลามะพร้าวซึ่งเป็นวัสดุธรรมชาติมาใส่ก๋วยเตี๋ยว และใส่เครื่องปรุงต่าง ๆ แทนชามและจาน รวมไปถึงตะเกียบก็ทำจากต้นมะพร้าวด้วย
ร้านก๋วยเตี๋ยวไก่มะระกะลา อุดรธานี
การกินขนมในกะลาเป็นการภายในครอบครัวของคนบ้านสวนไม่ใช่เรื่องแปลก แต่คนซึ่งทำการค้าเลือกสร้างจุดขาย ใส่มูลค่าเพิ่มโดยใช้กะลาเป็นภาชนะใส่อาหาร เครื่องดื่ม เช่น น้ำผลไม้ ก๋วยเตี๋ยว ผมออกแปลกใจ ไม่แปลกที่สังคมโพสต์โมเดิร์นในปัจจุบันข้ามผ่านเรื่อง “ความต่ำ” ของกะลาไปแล้ว แต่แปลกใจจุดขายว่า ในระยะยาว กะลาจะได้รับการล้างทำความสะอาดโดยปราศจากเชื้อรา ผู้บริโภคจะได้รับสุขลักษณะที่ดีเพียงพอหรือเปล่า?
โฆษณา