20 ก.พ. 2022 เวลา 12:15 • คริปโทเคอร์เรนซี
เบิกเนตร จักรวาลบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี่ EP 2 - What is Cryptocurrency and Bitcoin ?
ต่อจากบทความที่แล้ว ใน EP.2 นี้ เรามาทำความรู้จักกับคริปโตฯและบล็อกเชนเพิ่มขึ้นอีกซักหน่อย ก่อนจะเข้าสู่เนื้อหาการทวีคูณรายได้ในแบบฉบับของนักลงทุนคริปโตฯ มันสำคัญมากที่เราจะต้องรู้ว่าเรากำลังทำอะไร หรือเรากำลังเล่นกับอะไรอยู่ เพราะยิ่งเรารู้มากเท่าไหร่ เราจะยิ่งเข้าในความเสี่ยงมากเท่านั้น และที่แอดจะมาเล่าสู่กันฟังกับทุกคนในวันนี้ แอดคงจะอธิบายได้แค่เนื้อหาคร่าวๆที่นักลงทุนควรคริปโตฯทุกคนควรรู้เท่านั้น หวังว่าผู้อ่านทุกท่านที่ยังจับต้นชนปลายอะไรไม่ถูก จะสามารถนำเนื้อหา หรือ Keyword อะไรบางอย่างจากบทความนี้ไปหาความรู้เพิ่มเติมได้
อย่างแรก เราจะต้องรู้ก่อนว่า Blockchain คืออะไร
Blockchain คือระบบคอมพิวเตอร์รูปแบบหนึ่งที่มีลักษณะเป็น Block ร้อยเรียงกันเป็น Chain ที่ในแต่ละ Block สามารถบรรจุ Data อะไรก็ได้
ตัวอย่างแบบอย่างง่าย ให้เราลองนึกภาพว่า นาย A ต้องการส่งข้อมูลคำว่า “Hello World” ไปหานาย B สิ่งที่นาย A จะทำก็คือการเขียนคำว่า “Hello World” ยัดลงใน Block ติดจ่าหน้า Block ถึงนาย B แล้วโยนลงแม่น้ำ ปล่อยให้มันลอยไปถึงนาย B เมื่อนาย B เปิดกล่องออกมาก็จะเห็น Text เป็นคำว่า “Hello World”
จากตัวอย่างที่กล่าวมา แม่น้ำที่ว่าก็คือระบบ Blockchain นั่นเอง
1. แล้วมันเกี่ยวกับการเงิน Digital อย่างไร ?
ตอบ ระบบ Blockchain ถูกนำมาประยุกต์ใช้กับการทำธุรกรรมออนไลน์ (แน่นอนว่าไม่ใช่สิ่งเดียวที่ Blockchain สามารถทำได้) โดยการทำธุรกรรมออนไลน์บนระบบ Blockchain จะไม่จำเป็นต้องใช้ตัวกลางในการทำธุรกรรม จึงขึ้นชื่อเรื่อง Trustless & Decentralization (การไม่ต้องเชื่อถือ และ ความไร้ซึ่งตัวกลาง) ช่วยให้เราไม่จำเป็นต้องเชื่อถือใครให้มาเป็นตัวกลางในการทำธุรกรรม ลดต้นทุนที่ต้องเสียให้แก่ตัวกลาง และช่วยสร้างความเท่าเทียมในการทำธุรกรรมระหว่างผู้ส่งและผู้รับโดยไม่สนพื้นเพว่าเขาจะเป็นใคร มาจากไหน มีเงินอยู่เท่าไหร่ หรือทำงานอะไรอยู่
2. จากตัวอย่าง มันดูเหมือนว่า ถ้าเราเป็นโจรหละ มันคงง่ายที่เราจะเข้าไปดักเก็บ Block กลางแม่น้ำไม่ใช่หรือ ?
ตอบ ข้อนี้ต้องแบ่งคำตอบออกเป็น 2 กรณี
2.1 ถ้าคุณเป็นโจร คุณอยากจะขโมยอะไรจากใน Block หละ ทั้งหมดที่อยู่ด้านในมีแต่ชุดข้อมูล คุณทำได้เพียงเปิดกล่องดูว่ามีการส่งเงินดิจิตอลให้กันเป็นจำนวนเท่าไหร่เท่านั้น สิ่งที่โจรจะต้องทำคือการเปลี่ยนจ่าหน้า Block ให้ส่งไปหาโจรแทนตะหาก
2.2 แต่ที่มันซับซ้อนกว่านั้น คือทุก Block จะมีการสรุปชุดข้อมูลภายในรวมถึงรายละเอียดการจ่าหน้า Block กลายเป็นรหัส (Cryptographic Hash) แนบไปกับ Block ด้วย ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงข้อมูลภายใน Block แม้แต่นิดเดียว ตัวรหัสจะเปลี่ยนทั้งหมด และปลายทางจะตรวจเช็คได้ว่ามีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรือไม่เมื่อเทียบกับตอนส่ง หมายความว่าสิ่งที่โจร หรือแม้แต่คนธรรมดาอย่างพวกเราทำได้ก็คือ การตรวจเช็คว่าข้อมูลธุรกรรมนั้นส่งไปหาใครหรือส่งเท่าไหร่
ปล. สำหรับใครที่อยากรู้เพิ่มเติม จะมีเว็ปไซต์ในการตรวจสอบ Block ของแต่ละเชนอยู่ ตัวอย่างของเชน ETH : etherscan.io
ปล2. ในความเป็นจริงมันจะมีหลาย Block ร้อยเรียงต่อกัน และจะมีการตรวจสอบ Block ปัจจุบันที่สร้างขึ้นมาใหม่เทียบกับ Block ก่อนหน้าอยู่ เมื่อมีอะไรไม่ชอบมาพากล ระบบจะตรวจสอบได้ทันทีและส่งเงินดิจิตอลนั้นกลับไปหาผู้ส่ง หรือทำการตรวจสอบ Block นั้นใหม่
ปล3. แต่ถ้าเราส่งไปผิด Address มันก็จะส่งไปเลย เรียกคืนกลับมาไม่ได้
แล้วคริปโตฯและบิตคอยน์คืออะไร?
เมื่อเราพูดถึง Cryptocurrency เรามักจะหมายความถึงสกุลเงินดิจิทัลทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น Bitcoin(BTC), Ethereum(ETH), Ripple(XRP), Cardano(ADA), Solana(SOL), Luna(LUNA), Fantom(FTM), Cosmos(ATOM), Polygon(MATIC) และอื่นๆอีกมากกว่า 1,000 ประเภท
ซึ่งคริปโตฯแต่ละประเภทจะมีกลไกเฉพาะตัว และเหรียญส่วนใหญ่มักถูกใช้เพื่อเป็นตัวกลางในการแลกเปลี่ยนสิ่งต่างๆ บน Ecosystem ที่รองรับ เสมือนเป็นสกุลเงินของประเทศหนึ่งหรือจังหวัดหนึ่ง และ Application ต่างๆที่เกิดขึ้นบน Ecosystem ก็เปรียบเสมือนร้านค้าต่างๆในจังหวัดหรือประเทศนั้นๆ โดย Application ที่เกิดขึ้นบน Ecosystem ของแต่ละเชนนี่แหละที่จะเป็นสิ่งที่ดึงดูนักลงทุนคริปโตฯด้วยผมตอบแทนที่หอมหวาน
โดยแอดอยากจะแยก BTC ออกจากคริปโตฯทั้งหมด เพราะ BTC มีความแตกต่างจากคริปโตฯประเภทอื่นค่อนข้างมาก ทั้งมุมมองในการลงทุน เม็ดเงินที่ไหนเข้าไปลงทุน กลไกเฉพาะตัวของมัน และอำนาจของราคาที่ส่งผลต่อราคาคริปโตฯตัวอื่นๆทั้งตลาดเสมือนมีแรงดึงดูดขนาดใหญ่ ดังนั้น เมื่อแอดกล่าวถึงคริปโตฯในบทความหลังจากนี้ ให้จำไว้เสมอว่าแอดหมายถึง Alternative Coin ไม่ใช่ BTC นะ
ก่อนจะเริ่มเข้าสู่เนื้อหาถัดไป แอดอยากจะเล่าถึงการ Proof ซักหน่อย เพราะมันจะเป็นหนึ่งในเหตุผลที่นักลงทุนคริปโตฯจะเลือกเข้าไปเล่นในเชนนั้นๆ หลักๆจะมี 2 แบบ คือระบบ Proof of Work(POW) และ Proof of Stake(POS)
โดยในปัจจุบันก็ยังเสียงแตกกันอยู่ว่าแบบไหนดีกว่ากัน เพราะแต่ละระบบก็พยายามพัฒนาเพื่อกลบจุดด้อยของตัวเองอย่างต่อเนื่อง เอาเป็นว่า เหรียญคริปโตฯที่นักลงทุนรายใหญ่นิยมเข้าไปเล่นจะเป็นแบบ POW ด้วยเหตุผลด้านความปลอดภัยของการตรวจ Block ส่วนรายย่อยแบบเราๆจะนิยมเข้าไปเล่นบนเชนแบบ POS เพราะการทำธุรกรรมจะมีค่าธรรมเนียม(Transaction Fee; Tx Fee) ที่ค่อนข้างถูกและรวดเร็วกว่าแบบ POW (ถูกกว่าจากหลักร้อยถึงพันบาทต่อ Tx กลายเป็นหลักสิบบาท)
ตัวอย่างของเหรียญที่เป็นระบบ POS คือ Cardano(ADA), Luna(LUNA), Solana(SOL), Fantom(FTM), Avalanche(AVAX), Celo(CELO), และอื่นๆ ส่วนตัวอย่างของเหรียญที่เป็นแบบ POW คือ Bitcoin(BTC), Ethereum(ETH, กำลังจะมีการเปลี่ยนแปลงเป็น POS ในอนาคต), Kadena(KDA), และอื่นๆอีกมากมาย
บทความถัดไปจะเป็นการ Introduction สุดท้าย ก่อนที่เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักเกี่ยวกับการทวีคูณรายได้ในโลกคริปโตฯ โดยในบทความถัดไป แอดจะอธิบายและแยกประเภทเหรียญเพื่อเพิ่มความเข้าใจและให้ง่ายต่อการนำไปศึกษาต่อมากขึ้น ฝากติดตามกันด้วยนะ <3
ติดตามบทความดีๆแบบนี้ได้ที่
Cryptonaut TH Facebook : https://www.facebook.com/cryptonautth
Cryptonaut TH Medium : https://cryptonaut-th.medium.com/
โฆษณา