Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
Main Stand
ยืนยันแล้ว
•
ติดตาม
25 ก.พ. 2022 เวลา 14:16 • กีฬา
29 ชั่วโมงสู่ฮีโร่คิวบา : เมื่อกบฏ ฟิเดล คาสโตร โค่นรัฐบาลด้วยการลักพาตัวแชมป์โลก F1 | MAIN STAND
การประกาศตัวเป็นคู่อาฆาตกับรัฐบาลของประเทศหนึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ต่อให้คุณมีอุดมการณ์กล้าแกร่งขนาดไหน แต่ด้วยแต้มต่อด้านต่าง ๆ ที่เป็นรอง รัฐบาลจะเล่นงานคุณสารพัด ทั้งจากสื่อ กองทัพ ตำรวจ ทุกวิธีที่จะทำให้คุณเป็นฝ่ายพ่ายแพ้
อย่างไรก็ตามใช่ว่าโอกาสชนะอันน้อยนิดจะเป็นไปไม่ได้ เมื่อสู้กันด้วยกำลังและอำนาจไม่ได้ มันก็ต้องใช้ความคิดและการวางแผนเพื่อนำไปสู่ชัยชนะ
นี่คือเรื่องราวในวันที่ ฟิเดล คาสโตร ยังเป็นกบฏที่อาศัยอยู่ตามเทือกเขาเขตชายแดน เขาตัดสินใจลักพาตัว ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ แชมป์โลกฟอร์มูล่าวัน 5 สมัย
และการลักพาตัวครั้งนี้คือกุญแจสำคัญสู่ชัยชนะที่ทำให้เขากลายเป็นประธานาธิบดีผู้ยิ่งใหญ่ของประเทศ
ติดตามเรื่องราวไปพร้อมกับ Main Stand
คิวบาแดนสวรรค์
ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ คือหนึ่งในนักแข่ง F1 ที่ดีที่สุดเมื่อย้อนกลับไปในช่วงยุค 50s เขาเป็นแชมป์โลก F1 ถึง 5 สมัย (คว้าแชมป์ในปี 1951, 1954, 1955, 1956, 1957) พร้อมทั้งครองตำแหน่งนักกีฬาที่ป๊อปปูล่าร์ที่สุดในโลก คนอย่างเขาไปที่ไหนก็มีแต่ใครสนใจ แข่งรายการไหนคนระดับผู้นำประเทศก็ต้องมายินดีต้อนรับด้วยตัวเอง
ฮวน มานูเอล ฟานจิโอ เป็นชาวอาร์เจนไตน์เชื้อสายอิตาลี หลังจากที่ปู่ของเขาอพยพจากทางใต้ของอิตาลีมาอยู่ที่กรุงบัวโนสไอเรส เมืองหลวงของอาร์เจนตินา ในปี 1887 นั่นทำให้ ฟานจิโอ ได้สัญชาตินี้มา
ความเอาจริงเอาจังของ ฟานจิโอ ที่ทำให้เขาเป็นยอดนักแข่งเริ่มต้นตั้งแต่อายุ 13 ปี เขารู้ว่าตัวเองอยากจะทำอะไร จึงขอที่บ้านลาออกจากโรงเรียนและเริ่มไปทำงานเป็นช่างซ่อมรถยนต์ ซึ่งในสมัยถือเป็นของหายาก คนจะมีรถยนต์ต้องรวยจริง ๆ เท่านั้น
ฟานจิโอ เริ่มต้นจากตำแหน่งผู้ช่วยช่าง ก่อนจะตั้งใจศึกษาจนกลายเป็นช่างใหญ่ตอนอายุ16 ปี น่าเสียดายที่เขาถูกเกณฑ์เข้าสู่กองทัพตอนอายุ 21 ปี ทำให้เส้นทางช่างยนต์ไม่ได้ถูกสานต่อ ทว่าในโชคร้ายก็มีโชคดีปนอยู่ เมื่อ ฟานจิโอ แสดงทักษะการขับขี่ที่เก่งกาจจนผู้บังคับบัญชาในกองทัพต้องตา เลือกให้เป็นพลขับประจำตัวของผู้บัญชาการทหาร
หลังจากปลดประจำการอาชีพนักแข่งรถก็เริ่มขึ้น การเป็นคนที่เข้าใจในเรื่องเครื่องยนต์และชิ้นส่วนต่าง ๆ ของรถเป็นอย่างดีจากประสบการณ์ที่คลุกคลีมาตั้งแต่เด็กและการทุ่มเทเอาจริง ทำให้ ฟานจิโอ กลายเป็นยอดนักแข่งในเวลาต่อมา อัจฉริยภาพในการขับขี่ของ ฟานจิโอ ไปเข้าตาทีม อัลฟ่า โรเมโอ ยุคก่อตั้งทีมขึ้นมาเพื่อแข่ง F1 ซีซั่นแรก ในปี 1950 และหลังจากนั้นก็ถือเป็นการเปิดตำนานยอดนักขับของโลกเป็นต้นมา
เป็นธรรมดาที่คนอย่าง ฟานจิโอ จะถูกเชิญไปงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยียานยนต์ เช่นเดียวกับศึก F1 ที่จำเป็นจะต้องเดินทางไปแข่งขันในสนามต่าง ๆ ทั่วโลก ทุกครั้งที่ ฟานจิโอ ปรากฏตัวที่ไหน ที่นั่นก็จะคราคร่ำไปด้วยฝูงชนที่มารุมล้อมเขา
และการแข่งขัน คิวบา กรังด์ปรีซ์ ในปี 1958 ก็ไม่แตกต่างกันนัก เขาเดินทางมาถึงคิวบาก่อนวันแข่ง 3-4 วัน เพื่อเตรียมตัวสำหรับการป้องกันแชมป์ที่เขาคว้ามาได้เมื่อ 1 ปีก่อนหน้า
เขาเข้าพักที่โรงแรมลินคอล์น ณ กรุงฮาวานา เปิดตัวด้วยภาพถ่ายกับ ฟุลเคนเซียว บาติสตา ประธานาธิบดีของคิวบา ... และภาพ ๆ นี้ก็ทำให้คนบางกลุ่มไม่พอใจจนต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อเป็นการสั่งสอนว่านี่คือความสัมพันธ์ที่ไม่ถูกต้อง
การลักพาตัวที่เหนือยิ่งกว่ากีฬา
การแข่งขัน คิวบา กรังด์ปรีซ์ เกิดขึ้นภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ปกติในประเทศนี้ เรื่องมีอยู่ว่า บาติสตา ผู้เป็นประธานาธิบดี ณ เวลานั้นคือเผด็จการที่กดขี่และมีข่าวด้านลบมากมายทั้งการทุจริตและเรื่องผลประโยชน์จากสมบัติของชาติ ที่เอารายได้ไปเข้ากระเป๋าตัวเอง
บาติสตา พยายามจะทำทุกทางเพื่อกลบกระแสเรื่องราวด้านลบทั้งหมดของเขา ด้วยการแสดงให้โลกเห็นว่า คิวบา เป็นประเทศที่ก้าวหน้าในสายตาประชาชาติมากแค่ไหน และหนึ่งในนั้นคือจัดการแข่งขันรถยนต์ที่มีคนสนใจเป็นจำนวนมาก ที่แม้จะเป็นเพียงรายการพิเศษไม่ได้เป็นสนามเก็บคะแนนชิงแชมป์โลก F1 ก็ตาม เรียกง่าย ๆ ว่ามันคือ Sports Marketing และอาจรวมไปถึง Sportswashing ที่มาก่อนกาลนั่นเอง
แน่นอนว่าการที่ บาติสตา ปรากฏตัวร่วมกับ ฟานจิโอ ทำให้ภาพของเขาปรากฏออกทางสื่อไปทั่วโลก และนั่นทำให้คนที่ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดของบาติสตาไม่ชอบใจ ซึ่งก็คือผู้นำฝ่ายตรงข้ามที่เป็นชายที่โลกคุ้นชื่อในเวลาต่อมา ... ฟิเดล คาสโตร
ฟิเดล คาสโตร หัวหน้ากลุ่มปฏิวัติมีความเชื่อที่อยู่ตรงข้ามกับ บาติสตา โดยสิ้นเชิง ในมุมมองของ คาสโตร เขามองว่า บาติสตา เป็นเผด็จการ ฉาวโฉ่เรื่องคอร์รัปชั่น และเป็นเหมือนรัฐบาลหุ่นเชิดของสหรัฐอเมริกาที่ชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้ กล่าวคือ บาติสตา เปลี่ยนคิวบาให้เป็นเหมือนสนามเด็กเล่นของคนรวย เปลี่ยนกรุงฮาวานาให้เป็นลาสเวกัส และกลายเป็นที่ที่พวกอเมริกันเข้ามาหาผลประโยชน์ทางธุรกิจผ่าน ผับ บาร์ คาสิโน ไนท์คลับ และซ่องโสเภณี
ฟิเดล ที่เป็นกบฏปฏิวัติฝ่ายซ้ายร่วมกับ ราอูล คาสโตร น้องชายของเขา และ เออร์เนสโต "เช" เกวารา นักปฏิวัติชาวอาร์เจนตินา ที่พยายามซ่องสุมกำลังเพื่อหาจังหวะล้มล้างรัฐบาลคิวบาในยุคบาติสตามานานแล้วตั้งแต่ปี 1953 เพียงแต่ว่าพวกเขาไม่ยังไม่มีกำลัง อาวุธ และเครือข่ายมากพอที่จะโค่นล้มได้ แต่ถึงอย่างนั้นกลุ่มกบฏฝ่ายซ้ายก็ยังรอจังหวะที่จะโค่นล้มรัฐบาลอยู่เสมอด้วยอุดมการณ์ที่หนักแน่น และโอกาสนั้นก็มาถึงตอนที่ ฟานจิโอ มาถึงกรุงฮาวานานั่นเอง
ฟิเดล คาสโคร จึงต้องวางแผนแบบใช้กำลังคนให้น้อยแต่สร้างผลกระทบให้มาก นั่นคือการพยายามลักพาตัว ฟานจิโอ นักแข่งที่เก่งที่สุดในโลก ณ โรงแรมลินคอล์น และกดดันให้ บาติสตา ยกเลิกการแข่งขัน คิวบา กรังด์ปรีซ์ และจะทำให้รัฐบาลคิวบาต้องเสียหน้า ซึ่งจุดนี้ดีกว่าการสู้กันด้วยอาวุธหรือวิธีรุนแรงที่มีแต่ข้อเสียและทำให้สูญเสียสรรพกำลังกันไปเปล่า ๆ
เช้าวันก่อนแข่ง ฟานจิโอ ลงมาที่ล็อบบี้โรงแรมลินคอล์น ชายใส่ชุดไอ้โม่งกลุ่มหนึ่งก็บุกถึงตัวเขาและพูดกับเขาว่า "ในนามของกลุ่มปฏิวัติ 26 กรกฎาคม (ชื่อกลุ่มมาจากวันแรกที่ ฟิเดล คาสโตร ตั้งตัวเป็นศัตรูกับ บาติสตา ในปี 1953) คุณต้องมากับพวกเรา"
ฟานจิโอ รู้ถึงอันตรายที่รออยู่ เขาแค่คิดแวบเดียวว่าจะหนีจากเหตุการณ์นี้อย่างไร แต่ก็มีเสียงเตือนว่า "อยู่นิ่ง ๆ ไม่อย่างนั้นพวกเราจะยิง" เท่านี้ก็เพียงพอที่จะทำให้แชมป์โลก F1 ต้องปล่อยให้โชคชะตาพาไป ... เขาอาจจะตายในอีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้ นั่นคือสิ่งที่เขาคิด
ทว่าอย่าได้ดูถูกความคิดของ ฟิเดล คาสโตร เด็ดขาด นี่ไม่ใช่การคิดอะไรตื้น ๆ การลักพาตัวครั้งนี้เกิดจากการพิจารณามาเป็นอย่างดี กึ๋นของเขาวิเคราะห์ออกมาแล้วว่านี่คือวิธีที่ดีที่สุดที่จะทำให้กระแสมวลชนและชาวต่างชาติหันมาสนับสนุนฝั่งกบฏอย่างพวกเขาเสียที
เครื่องมือสู่ชัยชนะ
ไม่กี่ชั่วโมงหลังจากยอดนักแข่งชาวอาร์เจนไตน์ถูกลักพาตัว ข่าวก็ถูกเสนอไปทั่วคิวบา ก่อนที่จะถูกแปลภาษาส่งไปทั่วโลก นั่นคือสิ่งที่กลุ่มกบฏต้องการ
ฟิเดล คาสโตร เชื่อว่า บาติสตา จะเสียหน้ากับเรื่องการโดนลักพาตัวของฟานจิโอ คิวบาจะถูกมองว่าเป็นประเทศที่ไม่มีความปลอดภัย และที่สำคัญคือรัฐบาลของเขาไม่ได้เป็นที่กลัวเกรงของกลุ่มกบฏเท่าไรนัก นี่คือการส่งสาส์นท้ารบโดยใช้การลักพาตัว ฟานจิโอ เป็นกุญแจดอกสำคัญ
สิ่งที่เกิดขึ้นจากนั้นคือการแก้เกมแบบเม็ดต่อเม็ด รัฐบาลของบาติสตารีบออกมาบิดเบือนข่าวสารว่าข่าวที่หลุดไปไม่เป็นความจริง ฟานจิโอแค่ออกไปนั่งรถเล่นกับทีมงานของเขาเท่านั้นไม่ใช่โจร ไม่ใช่การกรรโชกทรัพย์ และไม่ใช่การลักพาตัวที่ทำได้อย่างง่ายดายเหมือนปลอกกล้วยเข้าปากแบบที่โลกสงสัย
แต่เบื้องหลังคือการตื่นตัวครั้งใหญ่ รัฐบาลบาติสตาส่งกองกำลังออกไปไล่ล่ากบฏ 26 กรกฎาคม เพื่อเอาตัวฟานจิโอกลับมาอย่างปลอดภัยให้ได้ เพราะถ้าฟานจิโอเป็นอะไรไป พวกเขาคงถูกสหรัฐอเมริกาที่เป็นลูกพี่ใหญ่ไม่พอใจแน่นอน มันเหมือนกับเหตุการณ์ในปี 1957 ที่กลุ่มกบฏบุกโจมตีที่ทำการรัฐบาลอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมาย ซึ่งเรื่องนี้ทำให้สหรัฐอเมริกาถึงกับเรียกตัวนักการทูตกลับประเทศและส่งผลต่อความสัมพันธ์ที่ลุ่ม ๆ ดอน ๆ เรื่อยมา
ตัดภาพกลับมาที่ ฟานจิโอ ท่ามกลางวงล้อมของพวกกบฏนั้นแตกต่างออกไปอย่างสิ้นเชิง ฟานจิโอ เล่าว่าเขาไม่ได้โดนทำร้ายหรือกดขี่อะไรเลย กลุ่มกบฏแค่นำตัวเขาไปยังที่ซ่อนตัว เขาได้รับอาหารค่ำเป็นสเต็กเนื้อชั้นดี ได้นอนในห้องนอนส่วนตัว ได้ฟังวิทยุรายงานข่าวต่าง ๆ โดยไม่มีการใช้กำลังแต่อย่างใด มีเพียงทหารที่คอยเฝ้าอยู่หน้าห้องพักของเขาเท่านั้น
คาสโตร ตั้งใจจะลักพาตัว ฟานจิโอ มาเพื่อสร้างความอับอายและฉีกหน้ารัฐบาลเท่านั้น เขาไม่คิดจะทำให้ ฟานจิโอ เจ็บตัวเลยแม้แต่น้อย เพราะเขารู้ดีว่าหาก ฟานจิโอ บาดเจ็บหรือเสียชีวิต มุมมองของผู้คนคิวบาที่มีต่อกลุ่มกบฏจะต้องเปลี่ยนไป และจะถูกมองในแง่ลบ
สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการส่งสาส์นเพื่อให้ทั้งโลกรู้ว่า ภายใต้รัฐบาลบาติสตาที่ผ่านการชักใยจากรัฐบาลตะวันตก การลักพาตัว กรรโชกทรัพย์ และหายตัวไปภายในนี้ประเทศเป็นเรื่องง่าย ๆ ที่ชาวคิวบาต้องประสบพบเจอหากเลือกจะอยู่ฝั่งตรงข้ามของรัฐบาล พวกเขาไม่มีสิทธิ์ต่อต้าน ห้ามมีปากมีเสียง และต้องทนกับเรื่องนี้มานานกว่า 20 ปี
ขณะที่รัฐบาลบาติสตาก็ออกมายอมรับหลังจากที่ฟานจิโอหายตัวไป 24 ชั่วโมงว่า พวกเรารู้ตัวผู้กระทำผิดและจะจัดการขั้นเด็ดขาดเพื่อนำ ฟานจิโอ กลับมาสู่การแข่งขัน คิวบา กรังด์ปรีซ์ ให้ได้
บาติสตา ส่งกำลังตำรวจและทหารแทบพลิกประเทศเพื่อหาตัว ฟานจิโอ แท้จริงแล้วที่หลบซ่อนตัวนี้อยู่ใต้จมูกของพวกเขาเอง ไม่มีการขับรถพาฟานจิโอไปทรมานในถ้ำหรือตามหุบเขา หรือแม้กระทั่งการจับตัวเรียกค่าไถ่ใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะกลุ่มกบฏไม่ได้นำตัวของฟานจิโอไปไหนไกลเลย พวกเขาซ่อนตัวฟานจิโอไว้ใกล้กับสถานทูตอาร์เจนตินาในกรุงฮาวานา โดยเปลี่ยนที่ซ่อนทั้งหมด 3 ครั้ง จนกระทั่งครบ 29 ชั่วโมง พวกเขาก็ขับรถที่มี ฟานจิโอ นั่งอยู่เบาะหลังไปส่งที่สถานทูตอาร์เจนตินาอย่างปลอดภัยครบ 32
เรื่องการฉีกหน้ายังไม่จบแค่นั้น ไม่มีใครรู้ว่า ฟิเดล คาสโตร ได้คุยอะไรกับ ฟานจิโอ แต่เมื่อ ฟานจิโอ ปลอดภัย เขาขึ้นแถลงข่าวเกี่ยวกับการหายตัวไปของตนเองทันที เขาไม่ได้โกรธแค้นคนที่ลักพาตัวเขา แต่เขาบอกว่ากลุ่มกบฏและชาวคิวบาน่าเห็นใจจากการโดนกดขี่ข้ามช่วงอายุคนแบบนี้มากกว่า
"หากสิ่งที่พวกกบฏทำมีเหตุผลและมีเป้าหมายที่ดี ผมในฐานะชาวอาร์เจนตินาก็เห็นด้วยและพร้อมจะยอมรับในสิ่งที่เขาทำ ... เราเข้ากันได้ดี พวกเขาไม่ได้ทำอะไรผม พวกเขาแค่ต้องการจะสร้างประเด็นทางการเมืองเท่านั้น สิ่งที่ผมพบเจอไม่ใช่โจรผู้ร้าย แต่เป็นคนหนุ่มสาวที่รู้ว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พวกเขาไปรวมตัวกัน ณ จุดนั้น"
เรื่องตลกที่เป็นไปตามแผนการยังมียิ่งกว่านั้น นั่นคือแม้รัฐบาลคิวบา และ บาติสตา จะบอกว่าชีวิตของ ฟานจิโอ สำคัญขนาดไหน แต่ที่สุดแล้วพวกเขาก็ยังคงจัดให้มีการแข่งขัน คิวบา กรังด์ปรีซ์ ต่อไป แม้แชมป์โลกกำลังโดนลักพาตัวแบบไม่รู้เป็นตายร้ายดี เคราะห์ซ้ำในการแข่งขันครั้งนี้ยังเกิดเหตุสลดจากอุบัติเหตุที่รถของ อาร์มันโด การ์เซีย ซิฟูเอนเตส เสียหลักพุ่งเข้าชนอัฒจันทร์จนมีผู้ชมเสียชีวิตถึง 7 คน
สิ่งที่พวกกบฏจะบอกก็คือ รัฐบาลคิวบาไม่เคยกลัวอะไรเลยนอกจากกลัวเสียหน้า พวกเขาพยายามสร้างภาพมาตลอดทั้ง ๆ ที่คอรัปชั่นกัดกินทั้งประเทศ มีชาวต่างชาติเข้ามากอบโกยความร่ำรวย ขณะที่ชาวคิวบาถูกกดขี่ให้ยากจนโดยไม่มีสวัสดิการและความช่วยเหลือใด ๆ
แผนการของ ฟิเดล คาสโตร ครั้งนี้เป็นการทำให้ทุกคนตระหนักและคิดว่าแท้จริงแล้วคุณภาพชีวิตที่ดีของชาวคิวบาควรเป็นเช่นไร แต่ที่แน่ ๆ ไม่ใช่ภาพที่เด็กชายต้องกลายมาเป็นมือปืนของบ่อนคาสิโนที่มีฝรั่งเป็นเจ้าของและเด็กสาวต้องถูกส่งตัวไปเป็นโสเภณีให้นักท่องเที่ยวตั้งแต่อายุยังน้อยแน่นอน
1 ปีหลังจากนั้น กลุ่มปฏิวัติก็สามารถโค่นล้มรัฐบาลบาติสตาได้สำเร็จ พวกเขาประกาศชัยชนะกลางกรุงฮาวานา พร้อมการสรรเสริญกู่ร้องของชนชั้นรากหญ้าชาวคิวบา
จากกลุ่มกบฏเขากลายเป็นฮีโร่ของคนนับล้านในทันที ฟิเดล คาสโตร ได้ประกาศตัวเองเป็นผู้ปลดปล่อยและผู้สร้างคิวบาที่ดีกว่า เขาต้องการเห็นภาพเด็ก ๆ มีโอกาสได้เรียนหนังสือและคิดเลขเป็น ประชาชนมีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น และลดอัตราการเสียชีวิตของเด็กลง
อย่างไรก็ตามทุก ๆ อย่างบนโลกนี้ก็ไม่ได้มีแค่ด้านเดียว เมื่อ ฟิเดล คาสโตร ขึ้นปกครองประเทศ เขาก็ถูกวิจารณ์เรื่องการสังหารขั้วอำนาจเก่า ๆ ที่มีความสัมพันธ์กับบาติสตาเช่นกัน ซึ่งที่สุดแล้วมนุษย์เราก็ตัดสินกันที่มุมมองของตัวเอง บางคนมองว่า ฟิเดล คาสโตร เป็นฮีโร่ ส่วนบางคนก็มองว่าเขาเป็นทรราช
แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องยอมรับว่าการลักพาตัว ฟานจิโอ แชมป์โลก F1 ในปี 1958 คือแผนที่แยบยลของเขา แม้สู้ไม่ได้เรื่องกำลัง แต่ก็ยังมีพลังสมองมาทดแทนจนกลายเป็นกุญแจสู่ชัยชนะทางการเมืองของเขาในภายหลัง
ส่วนความสัมพันธ์ของ ฟานจิโอ และ คาสโตร ยังคงดำเนินต่อไปด้วยดีเรื่อยมา วันเกิดครบรอบอายุ 80 ปี ของ ฟานจิโอ เมื่อปี 1981 หรือ 4 ปีก่อนการเสียชีวิตของเขาในปี 1985 มีของขวัญที่ส่งตรงมาจากประเทศคิวบาและเขียนข้อความระบุว่า "Your friends, the kidnappers" (จากเพื่อน ผู้ลักพาตัวนาย) ... ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าใครเป็นผู้ส่งของขวัญชิ้นนี้มาให้
บทความโดย ชยันธร ใจมูล
แหล่งอ้างอิง
https://www.theneweuropean.co.uk/brexit-news-europe-news-when-fidel-castro-kidnapped-juan-manuel-fangio-8006174/
https://en.wikipedia.org/wiki/Juan_Manuel_Fangio
https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%9B%E0%B8%8F%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%95%E0%B8%B4%E0%B8%84%E0%B8%B4%E0%B8%A7%E0%B8%9A%E0%B8%B2
https://themomentum.co/fidel-castro/
https://www.thedrive.com/article/2296/the-day-fidel-castro-kidnapped-the-worlds-greatest-racing-star
https://sportsgazette.co.uk/juan-manuel-fangio-the-formula-1-legend-who-was-kidnapped-by-cuban-rebels/
3 บันทึก
8
1
3
8
1
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย