Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
2 มี.ค. 2022 เวลา 11:11 • ไลฟ์สไตล์
“รู้ทันความปรุงแต่งของจิต”
“ … จิตใจเรามันไม่เคยหยุดความปรุงแต่ง
มันเป็นธรรมดาอย่างนั้น
มันก็ปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
พยายามจะไม่ปรุงบ้าง
หมุนเวียนกันอยู่อย่างนี้ทั้งวัน
เราคอยรู้เท่าทันความปรุงแต่งของจิตใจ
ปรุงชั่ว มันปรุงจนเคยชิน
เดี๋ยวก็โลภ เดี๋ยวก็โกรธ เดี๋ยวก็หลง
รู้ทันเวลามันโลภขึ้นมาก็รู้
มันโกรธขึ้นมาก็รู้ มันหลงก็รู้
คอยรู้ทันความปรุงแต่ง บางทีมันก็ปรุงดี
เมื่อวานหลวงพ่อตรวจการบ้านพระในนี้
เรียนกับหลวงพ่อมา 20 กว่าปีแล้ว
วันๆ ก็เอาแต่ปรุงแต่ง คอยควบคุมตัวเอง บังคับ
อย่างเวลาจะพูดต้องพูดเสียงหล่อๆ
เสียงไม่เป็นธรรมชาติ เสียงต้องหล่อ
พวกเราก็ทำเสียงให้สวยๆ พวกผู้หญิง
ผู้ชายก็ทำเสียงหล่อๆ
จะทำ จะเคลื่อนไหวอะไร จะทำงานอะไร
ก็เหมือนพระเอกอยู่ต่อหน้ากล้อง ต้องให้ดูดี
เหมือนเล่นหนังอยู่ตลอดเวลา
เหมือนเขาถ่ายหนัง
ผู้หญิงก็เป็น ไม่ใช่เป็นแต่ผู้ชายหรอก
ทำตัวเป็นดาราหน้ากล้องอยู่เรื่อยๆ
เวลาจะพูดก็ทำเสียงหล่อ เสียงสวย
ให้เสียงสวยๆ ภาษาโบราณเขาเรียกมารยา มารยามาก
เป็นคนธรรมดาให้เป็น
ความปรุงของจิตใจคือสิ่งที่เรียกว่า ภพ
ทำอย่างไรจะเป็นคนธรรมดาเป็น
รู้ทันว่ากำลังมารยาอยู่ กำลังเก๊กหล่อเก๊กสวยอยู่ รู้ทันไป
นี่เป็นความปรุงแต่งทั้งหมดเลย
เวลาจะภาวนาก็เก๊ก เก๊กเป็นนักปฏิบัติ
วางฟอร์มจะเคลื่อนไหว จะขยับ จะพูด จะกินอะไรนี่
มันมีฟอร์มของนักปฏิบัติ เป็นนักปฏิบัติ
เดินก็ต้องไม่เดินเหมือนคนอื่นเขา
นั่งก็ต้องนั่งไม่เหมือนคนอื่น
ทำอะไรก็ต้องไม่เหมือนคนธรรมดา
ความปรุงแต่งของจิต ถ้าเราไม่รู้ทัน
เราก็โดนมันครอบอยู่อย่างนี้
ไม่สามารถเอาชนะมันได้ ก็เลยไม่ธรรมดาเสียที
ฝ่ายชั่วก็อย่างที่เล่า
ทำไปด้วยอำนาจของราคะ โทสะ โมหะ
ฝ่ายดีก็ทำด้วยอำนาจของโลภะเหมือนกัน
ราคะแต่ไม่ใช่กามราคะ
อยากดี อยากได้มรรคได้ผล อยากถึงพระนิพพาน
มันก็มาจากความอยากทั้งนั้นล่ะ
จะปรุงดี หรือปรุงชั่ว มันก็เกิดจากตัณหา
ความปรุงของจิตใจคือสิ่งที่เรียกว่า ภพ
ฉะนั้นเราจะสร้างภพของตัวเองอยู่ตลอดเวลา
ตอนนี้เป็นผู้บริหารบริษัท สร้างภพ
ต้องวางฟอร์มอย่างนี้ แต่งตัวอย่างนี้
กินอย่างนี้ พูดอย่างนี้
ตอนนี้เป็นอาจารย์ ก็ต้องแต่งตัวอย่างนี้
วางฟอร์มอย่างนี้ พูดอย่างนี้
กระทั่งเป็นพระ พระก็ต้องทำให้ดูดี ดูเรียบร้อย
วางฟอร์มให้ดูเป็นพระ พยายามปรุง ปรุงให้ดูดี
ลึกๆ ลงไปมันคือความรักตัวเอง
มันไม่ได้ทำให้เกิดสติเกิดปัญญาอะไรหรอก
การที่เรานั่งปรุงตัวเองให้ดูดี
คอยรู้ทันไปที่ปรุงดีนี่ล่ะ ติดแล้วแก้ยากกว่าปรุงชั่วอีก
ปรุงชั่ว อย่างจิตเดี๋ยวก็ปรุงโกรธ ปรุงโลภ
ปรุงหลงอะไรขึ้นมา อันนี้เรารู้ว่าเป็นของไม่ดี เราก็ละง่าย
เพราะมันมองเห็นง่าย
อย่างเวลาโกรธ เห็นไหม
หน้าตาเราก็เป็นยักษ์เป็นมาร เสียงเราก็สั่น
โกรธมากเสียงสั่นเลย เอะอะโวยวายอะไรอย่างนี้
มันดูน่าเกลียด
1
ในขณะที่ปรุงดีมันดูน่าดู มันดูดี
ฉะนั้นปรุงชั่วยังรู้ทันได้ง่าย ละได้ง่ายกว่าปรุงดี
แต่ไม่ว่าปรุงดีหรือปรุงชั่ว
มันก็เริ่มมาจากตัณหาเหมือนกัน อยาก
อยากดีของตัวเองด้วย
อยากให้คนอื่นเห็นว่าเราดีด้วยอะไรอย่างนี้
มีหลายอย่าง ลึกลงไปก็คือมันมีเราอยู่
มันมีความหลงผิดว่าตัวเรามีอยู่จริงๆ ว่าตัวเรามีอยู่
ถ้าเรารู้สึกขึ้นมา จะปฏิบัติธรรมก็ต้องทำให้ดี
ก็สนองความเป็นตัวตนนั่นล่ะ โลภ โกรธ หลง
มันก็สนองความเป็นตัวตนเหมือนกัน
ฉะนั้นความเป็นตัวตนมันถูกพิทักษ์รักษาเอาไว้
วางฟอร์มให้ดูดีอะไรอย่างนี้
ลึกๆ ลงไปก็คือปกป้องตัวตนเอาไว้
เฝ้ารู้เฝ้าดู เฝ้าสังเกตตัวเองเป็นลำดับๆ ไป
เมื่อไรจะธรรมดา คนในโลกไม่มีธรรมดาหรอก
คนทั้งโลกหาคนธรรมดายากมาก
อย่างเวลาเราโกรธ จิตใจเราก็เสียความเป็นธรรมดาไป
เวลาเราโลภ จิตใจก็เสียความเป็นธรรมดา
เวลาหลง จิตก็เสียความเป็นธรรมดา
เวลาอยากดี พยายามบังคับตัวเอง ควบคุมตัวเอง
เราก็เสียความเป็นธรรมดา
ธรรมดาเลยถูกปิดบังเอาไว้ด้วยความปรุงแต่งที่ไม่ธรรมดา
คนทั้งโลกมันไม่ธรรมดาหรอก มันถูกกิเลสปรุงแต่งอยู่
แล้วมันไม่เคยรู้ไม่เคยเห็น
รู้ทันความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งก็ครอบงำใจไม่ได้
อาศัยเราได้ยินได้ฟังธรรมะภาคปฏิบัติ เรารู้
พัฒนาสติขึ้นมา รู้ทันเข้าไป
ตอนนี้จิตไม่ธรรมดาแล้ว
ไม่ธรรมดาเพราะกิเลสฝ่ายชั่ว ตกต่ำเลย โลภ โกรธ หลง
หรือไม่ธรรมดาเพราะอยากดี
ปรุงดีหรือปรุงชั่ว มันก็ปรุงแต่ง
รู้ลงไปเรื่อยๆ รู้ทันความปรุงแต่ง
แล้ววันหนึ่งก็จะพ้นจากความปรุงแต่งได้
ถ้าเราไม่รู้ทันความปรุงแต่ง
เราก็มีแต่ปรุงแต่งมากขึ้นๆ ปรุงไปตามความเคยชิน
เคยชั่วก็ปรุงชั่วบ่อย
เป็นนักปฏิบัติก็ปรุงการวางฟอร์มเป็นนักปฏิบัติ
ปรุงทั้งนั้นล่ะ
แต่พอเรารู้ทัน ถึงจุดหนึ่ง
ความปรุงแต่งเกิด เรามีสติรู้
จิตใจจะเป็นอิสระจากความปรุงแต่ง
อย่างมันโกรธขึ้นมา เรารู้ว่าโกรธอย่างนี้
จิตใจก็จะเป็นอิสระจากความโกรธ
ความโกรธมาครอบงำจิตไม่ได้แล้ว
มาบงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจไม่ได้
ทางใจ คือ บงการความคิด อย่างเราโกรธคนสักคน
เราก็คิดไม่ดีกับเขา ความโกรธมันบงการความคิด
บงการคำพูด เช่น ไปด่าเขาอะไรอย่างนี้
บงการการกระทำ เช่น ไปตีเขา
ความโลภก็บงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ
ความดีก็บงการพฤติกรรมทางกาย ทางวาจา ใจเหมือนกัน
ปรุงดีก็ดีกว่าปรุงชั่ว
ปรุงดีชีวิตนี้ก็จะเวียนว่ายในสังสารวัฏไปอย่างมีความสุขมากหน่อย
ปรุงชั่วก็จะเวียนว่ายไปในความทุกข์มากๆ เลย
ไม่ใช่มากหน่อย มากๆ เลย
ฉะนั้นความปรุง มันมีปรุงดีปรุงชั่ว
ปรุงดีก็ดีกว่าปรุงชั่ว
แต่รู้ทันความปรุงแต่ง
อยู่เหนือความปรุงแต่งได้ อันนั้นดีที่สุด
1
ปรุงชั่วก็ทุกข์แบบคนชั่ว คือทุกข์แสนสาหัส
ปรุงดีมันก็ทุกข์อย่างคนดี มันก็ทุกข์เหมือนกัน
เมื่อไรพ้นจากความปรุงแต่ง มันก็ไม่ทุกข์
ธรรมะที่พ้นจากความปรุงแต่งเรียกว่า วิสังขาร
เป็นชื่อหนึ่งของพระนิพพาน วิสังขาร
ทำอย่างไรเราจะพ้นความปรุงแต่ง รู้ลงไปเลย
จิตปรุงก็รู้ ปรุงก็รู้ไป มันปรุงโลภ ปรุงโกรธ ปรุงหลงก็รู้
มันปรุงจะเป็นคนดี ปรุงเป็นนักปฏิบัติ
หรือมันปรุงโน้นปรุงนี้ไปเรื่อยๆ
ปรุงเป็นพ่อ ปรุงเป็นแม่ ปรุงเป็นลูก ปรุงทั้งนั้นล่ะ
อย่างลูกจะพูดกับพ่อแม่ใช่ไหม ก็ปรุงไปแบบหนึ่ง
เวลาไปคุยกับเพื่อน มันก็ปรุงไปอีกแบบหนึ่ง
ฉะนั้นทุกคนมันมีหน้ากากจำนวนมาก
ความปรุงแต่งของเรา ใส่หน้ากาก
เปลี่ยนหน้ากากไปเรื่อย
มันเป็นผู้บริหารก็มีหน้ากากอย่างนี้
เป็นพระมีหน้ากากอย่างนี้
รู้ไม่ทันก็เป็นทาสมันไปเรื่อยๆ
รู้ทันความปรุงแต่ง ความปรุงแต่งก็ครอบงำใจไม่ได้
อย่างความปรุงชั่วมันเกิด เรามีสติรู้ทันปั๊บ
ความปรุงชั่วจะดับอัตโนมัติเลย
อย่างเราโลภอยู่ ถ้าเราไม่รู้ทันความโลภ
ก็บงการพฤติกรรมทางกาย วาจา ใจ
ทางใจก็คือบงการความคิด
ถ้าเรารู้ทัน เราก็จะเห็นความโลภมันอยู่ส่วนหนึ่ง
จิตใจเราอยู่ส่วนหนึ่ง ไม่ถูกมันครอบ
ความโลภก็จะดับลงในทันทีนั้นเลยที่สติรู้สึก
จิตตั้งมั่นมีสมาธิที่ถูกต้อง
มีสติที่ถูกต้อง
สติที่ถูกต้องจะเกิดพร้อมๆ สมาธิที่ถูกต้องนั่นล่ะ
เกิดด้วยกันนั่นล่ะ
เพราะฉะนั้นเราฝึกเจริญสติ
แล้วสติที่ถูกต้องก็เกิด สมาธิที่ถูกต้องก็จะเกิด
วิธีฝึกสติทำได้เยอะแยะไป
อย่างการรู้สังขารอย่างนี้ คือรู้การปรุงแต่งของจิต
คือรู้ทันจิตตสังขารนั่นล่ะ ความปรุงแต่งของจิต
ตัวสังขารขันธ์ ปรุงโลภ ปรุงโกรธ ปรุงหลง รู้ทัน มันก็จะดับไป
ปรุงดี รู้ทัน การปรุงก็จะค่อยๆ ลดระดับลง
เข้าไปสู่ความเป็นธรรมดา
เป็นธรรมดาแล้ว จิตใจที่ธรรมดามันเป็นอย่างไร
จิตใจที่ธรรมดามันเป็นผู้รู้ มันทำหน้าที่รู้
ไม่ใช่ปรุงแต่งโน้นนี้ไป
แล้วมันมีภาวะแห่งความตื่นเกิดขึ้น
เราจะรู้สึกเลย ทันทีที่จิตเราตื่นเราจะรู้เลย
ตลอดชีวิตที่ผ่านมาตื่นแต่ร่างกาย แต่จิตไม่เคยตื่นเลย
แล้วสภาวะที่ธรรมดาของจิตใจ
มันมีความเบิกบานอยู่ในตัวของมันเอง
เพราะฉะนั้นจะคำว่า พุทโธ
คือคำว่า ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน
ก็คือจิตใจที่เป็นกุศลของเรานี้ล่ะ รู้เนื้อรู้ตัว
พอจิตใจรู้เนื้อรู้ตัวแล้ว ก็มี 2 กลุ่ม
กลุ่มหนึ่งเดินปัญญาได้
อีกกลุ่มหนึ่งพอใจที่จะรู้อยู่เฉยๆ
เพราะฉะนั้นจิตที่เป็นกุศล รู้เนื้อรู้ตัวขึ้นมา
มีสติ ก็ยังมี 2 กลุ่ม
พวกหนึ่งเดินปัญญา
พวกหนึ่งอยู่เฉยๆ เราก็ค่อยเรียน
เห็นความปรุงแต่งที่ประณีตๆ เข้าไปเรื่อยๆ
จากปรุงหยาบมาปรุงละเอียด
จากปรุงชั่วมาปรุงดี แล้วก็ดีมากขึ้นๆ
เฉลียวฉลาดมากขึ้น
สิ่งที่ดีที่สุดในความปรุงแต่ง
สิ่งที่เลิศที่สุดในความปรุงแต่งคืออะไรรู้หรือเปล่า
ปัญญา ปัญญาคือยอดเลยของความปรุงแต่งทั้งหลาย
ปัญญานั้นรู้เหตุรู้ผลๆ
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ก็ไม่มีอะไรอย่างนี้
รู้เหตุรู้ผล …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
รู้ทันความปรุงแต่งของจิต
ความมปรุงแต่งทั้งหลาย จะปรุงชั่ว จะปรุงดี หรือพยายามจะไม่ปรุง ก็คือทุกข์ทั้งหมด พอจิตพ้นจากความปรุงแต่ง มันก็เข้าถึงความสุขเหนือความปรุงแต่ง
Photo by : Unsplash
3 บันทึก
12
6
3
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
3
12
6
3
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย