Blockdit Logo
Blockdit Logo (Mobile)
สำรวจ
ลงทุน
คำถาม
เข้าสู่ระบบ
มีบัญชีอยู่แล้ว?
เข้าสู่ระบบ
หรือ
ลงทะเบียน
A WAY OF LIFE : ทางผ่าน
•
ติดตาม
2 มี.ค. 2022 เวลา 05:21 • ไลฟ์สไตล์
“เวลาปัญญาที่แท้จริงเกิด มันเกิดในพริบตาเดียว”
“ … ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ สติเป็นตัวรู้ทัน
1
เวลาภาวนาบางทีรู้ตัวอยู่เฉยๆ ยังใช้ไม่ได้
ดีเหมือนกัน ปรุงดี แต่ยังดีไม่ถึงที่สุด
ปรุงดีให้ถึงที่สุด ต้องเป็นจิตที่ประกอบด้วยปัญญา
เห็นสภาวะทั้งหลาย มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ บังคับไม่ได้
1
สภาวะทั้งหลาย เห็นไหม มีเหตุก็เกิด หมดเหตุก็ดับ
มันแสดงอนิจจัง บังคับไม่ได้
1
การที่มันเกิดจากเหตุและมันดับเพราะเหตุดับ
นั่นล่ะมันสอน อนัตตา เรา
ฉะนั้นปัญญาจะช่วยให้เราเห็นไตรลักษณ์ของความปรุงแต่ง
ถึงจุดหนึ่งจิตก็จะพ้นจากความปรุงแต่งได้
ถึงความบริสุทธิ์ได้ด้วยปัญญา
แต่ปัญญาเกิดขึ้นก็อาศัยศีล อาศัยสมาธิ อาศัยสติ
อาศัยองค์ธรรมที่ดี เราพัฒนาขึ้นมา
เบื้องต้นตั้งใจรักษาศีล ฝึกสมาธิ ฝึกสติ
สามารถฝึกควบไปได้เลย โดยการทำสติปัฏฐานที่ถูกต้อง
มีวิหารธรรมไว้สักอย่างหนึ่งที่เราถนัด
เป็นรูปธรรม หรือเป็นนามธรรมก็ได้
เอาที่ตัวเองถนัด
แล้วก็มีสติรู้ความเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงของจิตใจตัวเองไป
อย่างเราหายใจออกหายใจเข้าเป็นบ้านของจิต เป็นวิหารธรรม
อย่างจิตมันหนีไป ปรุงแต่ง ไปคิด นึก ปรุงแต่ง รู้ทันมัน
จิตก็จะมีสติเป็นตัวรู้ทัน
แล้วทันทีที่รู้ทัน
ความตั้งมั่นคือตัวสมาธิก็จะเกิดขึ้นพร้อมๆ กันนั้นเลย
ฉะนั้นทำสติปัฏฐานไว้ มีวิหารธรรม มีสติระลึกรู้
เกิดความเปลี่ยนแปลงอะไรขึ้นในจิตใจนั่นล่ะ
ความปรุงแต่งมันเกิดแล้ว
อย่างจิตมันเที่ยวแสวงหา
นั่งหายใจเข้าพุทออกโธ เดี๋ยวจิตมันก็ส่ายๆ อยู่ข้างใน
เริ่มปรุงแต่งแล้ว ส่ายๆ แล้วก็ส่งออกไป
ดูทางนี้ๆๆ จิตมันดิ้นรนปรุงแต่งแล้ว
ไปเจออันนี้เข้า เกิดพอใจ ปรุงพอใจขึ้นมา
นี่ก็ปรุงแต่งแล้ว ปรุงๆๆ ไปเรื่อยๆ ทั้งวัน
ไม่เคยหยุดเลย
เราอาศัยการปฏิบัติ เจริญสติปัฏฐาน
มีเครื่องอยู่ของจิต แล้วระลึกรู้จิตที่เปลี่ยนแปลงเรื่อยๆ
เราจะเห็นเลยว่าทั้งๆ ที่เราหายใจเข้าพุท หายใจออกโธอยู่
ประเดี๋ยวเดียวก็หนีไปคิดเรื่องอื่นแล้ว
ไปปรุงแต่งความฟุ้งซ่านขึ้นมา
หลงไปคิดเรื่องโน้นเรื่องนี้
เพราะฉะนั้นการที่เราภาวนา เรามีวิหารธรรม
แล้วจิตใจมันทำงาน แล้วเรามีสติรู้
เราจะรู้ทันความปรุงแต่ง
เราจะรู้เลยว่าความปรุงแต่ง
ไม่ว่ามันจะปรุงดีหรือปรุงชั่ว
หรือพยายามจะไม่ปรุง
พยายามจะไม่ปรุงก็เป็นความปรุง
4
พยายามปรุงความไม่ปรุง เรียก อเนญชาภิสังขาร
พยายามไม่ปรุง ดีก็จะไม่เอา ชั่วก็จะไม่เอา
จะไม่เอาอะไรเลย
จิตก็จะไปหลงว่างๆ ไป นี่ก็ปรุง
1
พอเรามีสติระลึกรู้เรื่อยๆ
จิตใจเราตั้งมั่นเป็นผู้รู้ผู้ดูอยู่ เพราะทรงสมาธิที่ถูกต้อง
พอมีอะไรเกิดขึ้นในจิตในใจ
ความปรุงแต่งใดๆ เกิดขึ้น สติเป็นตัวรู้ทัน
ต่อไปพอรู้ทันบ่อยๆ เข้า มันจะเกิดปัญญา
ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
1
สติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
อย่างทีแรกเราก็อาศัยสติ
รู้จิตเดี๋ยวมันก็ไปปรุงดี จิตเดี๋ยวมันก็ไปปรุงชั่ว
สารพัดจะปรุงเลย
ดูซ้ำแล้วซ้ำอีกไปช่วงหนึ่ง มันก็เกิดความเข้าใจขึ้นมา
เออ จิตนี้มันไม่หยุดปรุงแต่งหรอก
มันปรุงแต่งได้เอง จิตนี้มันเป็น อนัตตา
หรือเดี๋ยวมันก็เห็น
เดี๋ยวมันก็ปรุงดี เดี๋ยวมันก็ปรุงชั่ว
เดี๋ยวพยายามจะไม่ปรุง ดูซ้ำแล้วซ้ำอีก
ถึงจุดหนึ่งปัญญาก็เกิด
ก็เข้าใจจิตนี้มีแต่ความไม่เที่ยง
เดี๋ยวก็ปรุงดี เดี๋ยวก็ปรุงชั่ว
เดี๋ยวพยายามจะไม่ปรุง
1
ฉะนั้นเราก็อาศัยการเจริญสติปัฏฐานนี้ล่ะ
มีวิหารธรรมที่เราอยู่ด้วยแล้วสติเกิดบ่อยๆ เอาอันนั้นล่ะ
อยู่กับวิหารธรรมไป
เช่น หายใจเข้าพุท หายใจออกโธ
พอจิตมันหนีไปปรุงแต่ง สติเป็นตัวรู้ทัน
พอเห็นบ่อยๆ รู้บ่อยๆ สติก็ยิ่งเกิดเร็วขึ้นๆ
แต่ก่อนนี้ไม่เคยรู้ทันสภาวะ ต่อมาเรารู้ทัน
จิตปรุงความโกรธ พอเรารู้ว่ามันปรุงความโกรธ
ต่อไปพอมันปรุงความโลภ ปรุงความหลง
ปรุงสุข ปรุงทุกข์ ปรุงอย่างโน้นปรุงอย่างนี้
มันก็ค่อยๆ เข้าใจ ค่อยๆ รู้ไปเรื่อย
สติของเราก็จะว่องไวขึ้นเรื่อยๆ
มันปรุงท่าไหนก็รู้ทันหมดเลย
2
ฉะนั้นตัวที่รู้ทันคือตัวสตินั่นล่ะ
หัดรู้บ่อยๆ แล้วมันก็จะรู้ทันได้มากขึ้นๆ
แต่อย่าลืมว่าจิตต้องตั้งมั่นๆ เป็นแค่คนดู
จะเห็นความปรุงแต่งมันเกิดขึ้น จิตเป็นแค่คนดู
ความปรุงแต่งนั้นขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ปรุงแต่งไป
สติเป็นตัวรู้ จิตตั้งมั่นมีสมาธิ เป็นผู้รู้ผู้ดู ดูซ้ำๆๆ ไป
ถึงจุดหนึ่งปัญญาจะเกิดขึ้นเอง
ปัญญาจะเกิดขึ้นเอง
ไม่ใช่การคิด ถ้านั่งคิดเอา
ยังไม่ใช่ปัญญาที่แท้จริง เป็นปัญญาเบื้องต้น
ปัญญาจากการฟัง การอ่าน การคิด
มันเป็นปัญญาขั้นต้นเท่านั้นเอง
แต่ถ้าเราลงมือภาวนา ลงมือปฏิบัติ
เจริญสติปัฏฐานจริงๆ แล้ว
ไม่ต้องมานั่งคิดหรอก
มีสติรู้สภาวะทั้งหลายด้วยจิตที่ตั้งมั่นเป็นกลางไป
ถึงจุดหนึ่งปัญญามันเกิดเอง
คือความเข้าใจมันจะเกิดขึ้น
ฉะนั้นสติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
เข้าใจอะไร เข้าใจไตรลักษณ์
มันจะเข้าใจไตรลักษณ์ขึ้นมา
อย่างมันเห็นจิตปรุงดีบ้าง ปรุงชั่วบ้าง
ปรุงสุขบ้าง ปรุงทุกข์บ้าง สติมันรู้ไปทีละช็อตๆ
สติรู้ทีละช็อตเท่านั้นเอง แต่รู้ซ้ำๆๆ ไปเรื่อยๆ
ถึงจุดหนึ่งปัญญามันเข้าใจ เข้าใจในพริบตาเดียว
เข้าใจในพริบตาเดียวเท่านั้นเอง
เวลาเข้าใจ มันเข้าใจภาพรวม
โอ้ จิตทุกชนิดนี้ไม่เที่ยง จิตทุกชนิดนี้เป็น อนัตตา
มันจะเข้าใจอย่างนี้
ฉะนั้นเวลาปัญญาที่แท้จริงมันเกิด
มันเกิดในพริบตาเดียวล่ะ
ไม่ใช่เรื่องอัศจรรย์อะไร
สติเป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด
อย่างสมมติว่าเราไปอ่านหนังสืออะไรสักอย่างหนึ่ง หรือวิชาการอะไร ฟังเลกเชอร์ ฟังแล้วไม่รู้เรื่องเลย หรือฟังหลวงพ่อเทศน์ ฟังไม่รู้เรื่องเลย แต่ฟังมาหลายปีแล้ว บทจะเข้าใจ บทปัญญามันจะเกิด มันปิ๊งขึ้นมาเลย
อ๋อ อย่างนี้เอง มันอ๋อเลย มันอ๋อ อย่างนี้เอง
บางคนยิ่งกว่าอ๋ออีก บางคนจิตอุทานเลย
เอ๊ะ อย่างนี้เลยหรือ อย่างนี้ก็มี
เพราะฉะนั้นเวลาที่ปัญญาเกิด มันเกิดในพริบตาเดียว
เราอ่านหนังสือที่ยากๆ หรือฟังอะไรยากๆ
รอบที่หนึ่งไม่รู้เรื่อง รอบที่สองไม่รู้เรื่อง
รอบที่สิบไม่รู้เรื่อง
รอบที่ร้อยเกิดรู้เรื่อง
เวลารู้เรื่องรู้ในฉับพลันเลย รู้ในพริบตาเดียว
ฉะนั้นเวลาปัญญาเกิด ไม่เกิดยาวหรอก
เกิดแป๊บเดียวเท่านั้นเอง จิตก็เข้าถึงความหลุดพ้นได้
เข้าถึงความบริสุทธิ์เป็นลำดับๆ ไป
เป็นโสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี
เป็นพระอรหันต์อะไรไป
อย่างถ้าเราทำกรรมฐานสักอย่างหนึ่ง
เราคอยดูความปรุงแต่งของจิตไปเรื่อยๆ
เราก็จะรู้ว่าความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวง
มันคือ ภพ นั่นเอง
ความปรุงแต่งนั้นเป็นที่อาศัยของจิต
ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นทุกข์ทั้งสิ้น
ปรุงชั่วก็ทุกข์ ปรุงดีก็ทุกข์ พยายามจะไม่ปรุงก็ทุกข์
จิตมันรู้แจ้งแทงตลอด จิตมันจะวาง
เมื่อไรจิตมันเห็นทุกข์ จิตมันก็จะวาง
เหมือนเราเด็กๆ สมัยก่อนที่บ้านหุงข้าวด้วยฟืน
หรือด้วยถ่านหุงข้าวอะไรอย่างนี้
ไฟมันสวย
เปลวไฟเวลามันลุกมันสวย บางคนชอบดูไฟ
ผู้ใหญ่บอกอย่าไปโดนมัน เดี๋ยวมือพองอะไรอย่างนี้
พอผู้ใหญ่เผลอ ลองไปจับดูเพราะมันสวย
มันถูกใจ มันอยากได้ อยากได้ก็หยิบมา
ไปจับเข้า มันร้อน พอรู้ว่ามันร้อน
ต่อไปเรียกให้จับ มันก็ไม่จับแล้ว
ถ้าจิตมันฉลาด มันรู้ว่าความปรุงแต่งทั้งหลายเป็นของร้อน
ไม่ใช่ของดีของวิเศษหรอก เป็นตัวทุกข์
หยิบขึ้นมาทีไร ความทุกข์เกิดขึ้นทุกที
จิตมันจะวางเอง เรียกให้จับมันยังไม่จับเลย
อย่างถ้าเราภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง
เราจะพบว่าจิตเราจะเที่ยวจับโน้นจับนี้ตลอดเวลา
เดี๋ยวก็ไปจับเรื่องนี้ๆ เดี๋ยวไปจับรูป จับเสียง
จับกลิ่น จับรส จับโผฏฐัพพะ จับธรรมารมณ์
จิตวิ่งไปจับโน้นจับนี้ตลอดเลย
ภาวนาไปถึงจุดหนึ่ง มันรู้เลยไม่ว่าหยิบฉวยอะไรขึ้นมา
อันนั้นก็คือทุกข์ทั้งสิ้น คือภาระทั้งสิ้น
จิตมันก็ไม่ไปหยิบขึ้นมาอีก มันก็เป็นของมันเอง
พอปัญญามันเกิด มันรู้แล้วว่า
ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงไม่มีอย่างอื่นหรอก มีแต่ทุกข์
ทุกข์เพราะมันไม่เที่ยง ทุกข์เพราะมันทนอยู่ไม่ได้
ทุกข์เพราะว่ามันบังคับไม่ได้ ควบคุมไม่ได้จริง
สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามเหตุ ไม่ใช่ตามที่เราจงใจบังคับ
นี่เรียกว่าปัญญา
ปัญญาเกิดปุ๊บ มันจะวางทันทีเลย
จะไม่ไปหยิบฉวยแล้วสิ่งนี้ เพราะเรารู้แจ้งแล้ว
ฉะนั้นบางทีในตำราเขาสอนว่าสตินี้เป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด
มันจับคืออารมณ์อะไรเกิดขึ้น
ความปรุงแต่งอะไรเกิดขึ้น
มันรู้ทัน คล้ายๆ มันจับ จับอะไร
จับตามอง เห็นแล้ว ไม่ได้เอาไปจับจริงๆ มันแค่จับตามอง
สติมันจับอารมณ์ขึ้นมาแล้ว
อะไรแปลกปลอมเข้ามาสติจับได้
รู้ ดูไปเรื่อยๆ ความปรุงแต่ง สุดท้ายปัญญาเกิด
ความปรุงแต่งทั้งหลายทั้งปวงมีแต่ทุกข์
ไม่มีอะไรหรอก
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรเกิดขึ้น
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรตั้งอยู่
นอกจากทุกข์ไม่มีอะไรดับไป
พอปัญญามันเกิด มันจะตัด
มันจะไม่ไปหยิบไปฉวยสิ่งนี้อีกต่อไปแล้ว
อันไหนที่รู้แจ้งแล้วก็จะวางแล้ว ไม่เอาอีกแล้ว
ฉะนั้นในตำราเขาสอนก็ถูกว่า
สติเป็นตัวจับ ปัญญาเป็นตัวตัด
มันทำหน้าที่อย่างไร
สติเป็นตัวรู้ทัน ปัญญาเป็นตัวเข้าใจ
พอเข้าใจปุ๊บตัดปั๊บเลย …”
.
หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช
วัดสวนสันติธรรม
20 กุมภาพันธ์ 2565
อ่านธรรมบรรยายฉบับเต็มได้ที่ :
เยี่ยมชม
dhamma.com
รู้ทันความปรุงแต่งของจิต
ความมปรุงแต่งทั้งหลาย จะปรุงชั่ว จะปรุงดี หรือพยายามจะไม่ปรุง ก็คือทุกข์ทั้งหมด พอจิตพ้นจากความปรุงแต่ง มันก็เข้าถึงความสุขเหนือความปรุงแต่ง
Photo by :Unsplash
3 บันทึก
13
4
4
ดูเพิ่มเติมในซีรีส์
ธรรมะเพื่อความพ้นทุกข์
3
13
4
4
โฆษณา
ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
© 2025 Blockdit
เกี่ยวกับ
ช่วยเหลือ
คำถามที่พบบ่อย
นโยบายการโฆษณาและบูสต์โพสต์
นโยบายความเป็นส่วนตัว
แนวทางการใช้แบรนด์ Blockdit
Blockdit เพื่อธุรกิจ
ไทย