Black Sea ทำเลทองสีดำที่เป็นเขตพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครนนานนับศตวรรษ
เมื่อเปิดแผนที่โลก เราจะพบว่า จุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญระหว่างเขตแดนยูเครนกับรัสเซีย นั่นคือ Black Sea หรือ “ทะเลดำ”
ทำไมมันถึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ แล้วทะเลดำที่ว่านี้มีความน่าสนใจอย่างไร ?
TechHero จะพาไปหาคำตอบกัน
ภูมิศาสตร์ทะเลดำ มีพื้นที่ทั้งหมด 436,400 ตารางกิโลเมตร ติดกับชายฝั่งรัสเซีย, จอร์เจีย, ตุรกี, บัลแกเรีย, โรมาเนีย และยูเครน
ที่ได้ชื่อว่าทะเลดำก็เพราะดินทรายชายหาดของทะเลแห่งนี้เป็นสีดำ เนื่องมาจากสารไฮโดรเจนซัลไฟด์ หรือที่เรียกว่าก๊าซไข่เน่า สารเคมีตัวนี้เกิดมาจากแบคทีเรียที่อยู่ในทะเล ก๊าซไข่เน่าเมื่อไปจับกับทรายชายฝั่ง จึงทำให้ดินนั้นเป็นสีดำ ก็เลยเรียกันว่า Black Sea หรือทะเลดำ
สิ่งที่น่าสนใจคือคาบสมุทรแห่งหนึ่งนี้ มีติ่งยื่นเข้ามาในทะเลดำทางตอนเหนือครอบคลุมอาณาเขต 27,000 ตารางกิโลเมตร คาบสมุทรแห่งนี้เรียกว่า “ไครเมีย”
ตั้งแต่ศตวรรษที่ 18 สมัยที่จักรวรรดิโซเวียตเรืองอำนาจ ยูเครนยังเป็นส่วนหนึ่งของจักรวรรดิ ซึ่งไครเมียก็เป็นรัฐอิสระอยู่ภายใต้การปกครองของโซเวียต
หลังจากโซเวียตล่มสลาย ข้อพิพาทระหว่างรัสเซียและยูเครน ก็เกิดบนพื้นที่แห่งนี้เรื่อยมา ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น ?
ภูมิศาสตร์ที่มีติ่งยื่นเข้าไปในทะเลดำ คือทำเลทองจากธรรมชาติที่รังสรรค์มาให้เอื้อต่อการเป็นเมืองท่า รองรับการขนส่งทางทะเล ซึ่งมันสามารถเชื่อมต่อกับผู้นำการค้าจากฝั่งยุโรปได้ง่าย
สิ่งที่ตามมาจากข้อพิพาทในไครเมีย คือการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ของชนพื้นเมือง โดยเฉพาะกลุ่มชาติพันธุ์เติร์ก Tatars ที่อาศัยอยู่ในไครเมียมาเนิ่นนาน
อย่างไรก็ดี ไม่ใช่แค่เพิ่งเริ่มมีข้อพิพาทในไครเมีย แต่มันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ยุคประวัติศาสตร์ จนมาถึงยุคล่าอาณานิคม เกิดความขัดแย้งในปี 1853-1856 ซึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ครั้งนั้นถูกเรียกว่า “สงครามไครเมีย” โดยมี 4 ชาติที่เข้าร่วมรบคือ โซเวียต ฝรั่งเศษ อังกฤษ และตุรกี
ว่ากันว่า เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้บรรพบุรุษรัสเซียต้องตายในสนามรบถึง 4 แสนคน และร่างของพวกเขาก็ถูกฝังอยู่ที่ไครเมีย จึงเป็นเหตุผลให้นักการเมืองรัสเซียหลายๆ คน พยายามปลุกกระแสรักชาติด้วยประวัติศาสตร์หน้านี้
ทะเลดำคือพื้นที่สำคัญในการเชื่อมต่อเอเชียเข้ากับยุโรป หลายๆ ชายฝั่งของแต่ละประเทศ ถูกใช้เป็นท่าเรือ และอุตสาหกรรมการประมง
แต่ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นช่องโหว่ของการลักลอบขนส่งสินค้าผิดกฎหมาย ไม่ว่าจะเป็นยา วัสดุกัมมันตภาพรังสี สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์ และวัสดุที่ใช้ในการก่อการร้าย
เมื่อถามว่าทะเลดำมีความมั่งคั่งมากแค่ไหน ?
จากการสำรวจในปี 2013 โดย International Transport Workers' Federation หรือสหพันธ์แรงงานขนส่งระหว่างประเทศ พบว่ามีท่าเรือในทะเลดำอย่างน้อย 30 แห่ง ซึ่ง 12 แห่งอยู่ในยูเครนและไครเมีย และนอกจากนี้มีเรือพาณิชย์อย่างน้อย 2,400 ลำ ล่องอยู่บนทะเลดำในแต่ละวัน
อุตสาหกรรมการประมง เฉพาะที่ประเทศตุรกี มีการจับปลากระตักได้มากถึง 300,000 ตันต่อปี ซึ่งการประมงส่วนใหญ่จะดำเนินในฤดูหนาว ช่วงพฤษจิกายนถึงธันวาคม
ความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ ไม่เพียงแค่รังสรรค์ให้มีสัตว์ทะเลจำนวนมหาศาล แต่มันยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ช่วยดึงดูดผู้คนจากทั่วโลก
หนึ่งในขุมทรัพย์สำคัญอีกอย่างในทะเลดำคือ แร่ปิโตรเลียมใต้พิภพ ย้อนกลับไปช่วงปี 1980 สหภาพโซเวียตได้มีการเริ่มสำรวจและขุดเจาะปิโตรเลียมนอกชายฝั่งตะวันตก ซึ่งติดกับยูเครน พบว่ามีแหล่งน้ำมันขนาดใหญ่จำนวนมาก และสิ่งที่ตามมาคือข้อพิพาทเหนือขุมทรัพย์แห่งนี้
ไม่ใช่เพียงรัสเซียที่ขัดแย้งกับยูเครนเรื่องดินแดนอยู่บ่อยๆ แต่ชายฝั่งที่ติดกับโรมาเนีย ยังเคยเกิดความขัดแย้งกันเรื่องอาณาเขตการค้า แต่มันก็จบอย่างสันติจากคำสั่งของศาลระหว่างประเทศ โดยการแบ่งเขตเศรษฐกิจจำเพาะระหว่างสองประเทศขึ้นใหม่ ในปี 2011
สิ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับแร่ปิโตรเลียมในทะเลดำ แม้จะมีการสำรวจและขุดเจาะมานานหลายสิบปี แต่มันก็ยังไม่ถูกสำรวจไปทั้งหมด 100 เปอร์เซ็นต์
ในปี 2017 มีการสำรวจแหล่งปิโตรเลียมที่สามารถสร้างเป็นบ่อน้ำมันได้ถึง 20 แห่ง
และในปี 2020 ตุรกีก็พบก๊าซปริมาตร 320 พันล้านลูกบาศก์เมตร
ซึ่งถือเป็นการค้นพบที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เกิดมาในทะเลดำ
มาถึงตรงนี้ หลายคนคงเข้าใจแล้วว่าทำไมทะเลดำจึงเป็นจุดยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ซึ่งในทางการเมือง รัสเซียคงไม่ยอมให้องค์กรการทหารจากยุโรปขยายอิทธิพลมาครอบคลุมทะเลดำได้ง่าย
เพราะขึ้นชื่อว่าทอง ใครที่ควบคุมมัน คือคนที่มีอำนาจเหนือใคร
และทำเลทองก็เช่นกัน ใครที่ควบคุม ก็สามารถมีอำนาจเหนอพื้นที่แห่งนั้น นั่นเอง..
ไม่พลาดทุกคอนเทนท์ของเทคฮีไร
Line Official: https://lin.ee/cB2Muk0
ติดตามเทคฮีโร เพิ่มเติมได้ที่..
- 2
โฆษณา
- ดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน
- © 2025 Blockdit
