8 มี.ค. 2022 เวลา 04:28 • กีฬา
3 เศรษฐี 3 สัญชาติ ว่าที่เจ้าของใหม่เชลซี | Main Stand
การประกาศขายสโมสร เชลซี ของ โรมัน อบราโมวิช กำลังดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง หลังเจ้าตัวถูกกดดันจากรัฐบาลอังกฤษเนื่องจากเหตุการณ์ รัสเซีย บุก ยูเครน
การปล่อยมือจากการบริหารทีมด้วยความประสบความสำเร็จมาตลอดเกือบ 20 ปี กำลังเกิดขึ้น และ 3 "ว่าที่" เจ้าของใหม่ ที่มีข่าวลือหนาหูที่สุด ณ ปัจจุบันก็ได้เปิดตัวและยืนยันความสนใจในการเทคโอเวอร์สโมสรเชลซีด้วยตัวเองแล้วทั้งสิ้น
ท็อดด์ โบห์ลี่ย์, ฮันส์ ยอร์ค วิสส์ และ มูห์ซิน บายรัค คือชื่อของพวกเขา ทว่าในเบื้องลึกแล้วพวกเขาเป็นใครมาจากไหน ร่ำรวยมาจากธุรกิจอะไร และมีแนวคิดการบริหารเช่นไร ?
ติดตามได้ที่ Main Stand
ท็อดด์ โบห์ลี่ย์
1
มหาเศรษฐีชาวอเมริกันวัย 47 ปีรายนี้ ร่ำรวยมาจากธุรกิจต่าง ๆ มากมายและมีความเกี่ยวข้องกับวงการกีฬามาไม่น้อยตลอดช่วงชีวิตของเขา
ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เคยเป็นอดีตแชมป์มวยปล้ำระดับรัฐมาแล้วในสมัยที่เขายังเรียนอยู่ในช่วงมัธยม โดยได้แชมป์ IAC Championships ถึง 2 สมัย ก่อนที่ในอีก 5 ปีต่อมาหลังจากเรียนจบ ม.ปลาย เขาก็เข้าศึกษาด้านธุรกิจโดยตรงที่ London School of Economics และเริ่มทำงานประจำสะสมประสบการณ์ที่บริษัทด้านการเงินอย่าง Credit Suisse First Boston
เส้นทางสายธุรกิจของ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ เริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังหลังจากนั้น เขาประกอบธุรกิจเกี่ยวกับหุ้นและตราสารอยู่พักใหญ่ ก่อนจะขยับมาสนใจเรื่องการเป็นหุ้นส่วนในสโมสรเบสบอลในลีก MLS อย่าง ลอสแอนเจลิส ดอดเจอร์ส ในปี 2013 ซึ่งเขาก็ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมากด้วยการบริหารทีมจนคว้าแชมป์กลุ่มตะวันตกไปถึง 8 หนในรอบ 10 ปีหลัง, คว้าแชมป์ เนชั่นแนล ลีก (ที่จะได้ไปแข่งใน เวิลด์ ซีรีส์) 3 สมัยในรอบ 10 ปีหลัง พ่วงด้วยแชมป์ใหญ่ประจำฤดูกาล World Series ในปี 2020 อีกด้วย
นั่นแค่ส่วนหนึ่งของธุรกิจที่ ท็อดด์ บริหารได้อย่างประสบความสำเร็จ เพราะบ่อเงินบ่อทองของเขาที่แท้จริงยังไม่หยุดอยู่แค่นั้น โดยในปี 2015 เขาได้ก่อตั้งบริษัทโฮลดิ้งอย่าง Eldridge Industries โดยทำหน้าที่ทั้งประธานบริษัทและซีอีโอไปพร้อม ๆ กัน ซึ่งธุรกิจนี้ต่อยอดเขาไปยังธุรกิจสายอื่น ๆ อีกมากมายทั้งการเปิดบริษัทชื่อว่า Draft Kings ที่เป็นบริษัทพนันกีฬาถูกกฎหทาย และการแข่งขันกีฬาแบบแฟนตาซีรายวัน (รับเงินตามผลงานของผู้เล่นแต่ละคนในห้ากีฬาหลักของอเมริกา) ทั้งใน MLB, NHL, NFL, NBA และ PGA นอกจากนี้ยังเกี่ยวข้องกับกีฬาอื่น ๆ อีกทั้ง ฟุตบอลพรีเมียร์ลีก, ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ไปจนถึงการแข่งขันรถ NASCAR
เหนือสิ่งอื่นใดนี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ ออกตัวเรื่องการซื้อสโมสร เชลซี เพราะ 2 ปีก่อนในช่วงที่ โรมัน อบราโมวิช มีปัญหาเรื่องวีซ่าในการเข้าประเทศอังกฤษ ท็อดด์ ก็เคยยื่นซื้อสโมสรแห่งนี้มาแล้วด้วยราคา 2.2 พันล้านปอนด์ ทว่าข้อเสนอดังกล่าวถูกปัดตกไปเนื่องจาก อบราโมวิช ยังไม่มีนโยบายจะขายทีม ณ เวลานั้น
อย่างไรก็ตาม ณ เวลานี้ทรัพย์สินของเขาที่มีอยู่โดยประมาณอยู่ที่ 4.7 พันล้านปอนด์ (ราว 2 แสนล้านบาท) แม้การซื้อทีม เชลซี อาจจะต้องใช้เงินมากกว่าทรัพย์สินที่เขามีอยู่ แต่ก็มีโอกาสไม่น้อยที่ ท็อดด์ จะใช้นโยบายเดียวกับตอนที่เขาขอซื้อหุ้นสโมสร แอลเอ ดอดเจอร์ส นั่นคือเทคนิคการกู้เงินมาซื้อ โดยครั้งนั้นเขากู้เงินก้อนใหญ่ที่สุดในวงการอเมริกันเกมส์ โดยเป็นการกู้เงินถึง 1 พันล้านปอนด์เลยทีเดียว
การซื้อสโมสรด้วยเงินกู้อาจจะเป็นสิ่งที่แฟนเชลซีหรือเจ้าของเดิมอย่าง อบราโมวิช กังวลอยู่บ้าง เนื่องจาก วิธีที่ ท็อดด์ โบลี่ย์ ใช้นั้นเป็นวิธีเดียวกับที่ ตระกูลเกลเซอร์ ใช้ในการซื้อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ในช่วงต้นยุค 2000s และทำให้ทีมปีศาจแดงมีหนี้มาจนถึงทุกวันนี้ ... ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ต้องมาดูกันว่าเรื่องแนวคิดการบริหารจัดการทีมของ โบลี่ย์ นั้นเป็นเช่นไร ซึ่งเรื่องนี้บอร์ดบริหารของเชลซีจะเป็นผู้ตัดสินอีกครั้งเร็ว ๆ นี้
ฮันส์ ยอร์ค วิสส์
มหาเศรษฐีชาวสวิส อย่าง ฮันส์ บอร์ค วิสส์ ถือเป็นแคนดิเดตเจ้าของใหม่ของสโมสร เชลซี ที่มีอายุมากที่สุด โดย ณ ปัจจุบันเขามีอายุ 86 ปีแล้ว
ฮันส์ ยอร์ค วิสส์ มีดีกรีด้านการศึกษามากมายทั้งการจบปริญญาโทด้านวิศวกรรมโยธาและโครงสร้างจาก Swiss Federal Institute of Technology Zurich และยังต่อเนื่องด้วยการศึกษาระดับปริญญาโทด้านบริหารธุรกิจจาก Harvard Business School
ในยุคที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่มีการศึกษามากเท่ากับเขา วิสส์ ใช้โอกาสและความรู้ที่มีพลิกชีวิตด้วยการเดินหน้าเข้าสู่เส้นทางสายธุรกิจอย่างเต็มรูปแบบตั้งแต่เริ่มต้นอาชีพ เขาได้เอาความรู้ด้านการก่อสร้างมารวมกับความรู้ด้านการลงทุน ทำให้ธุรกิจส่วนใหญ่ของเขาเกี่ยวข้องกับกับอุตสาหกรรมเกี่ยวกับเหล็ก การขายเครื่องบิน และสำคัญที่สุดคือการต่อยอดด้วยการก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ Synthes USA ในปี 1977
ความสามารถในการบริหารของเขาทำให้บริษัท Synthes USA ประสบความสำเร็จ จนถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ในอเมริกาอย่าง Johnson & Johnson ซื้อต่อไปในราคา 2 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2012
ทั้งหมดทั้งมวลนี้สรุปแล้วทำให้ วิสส์ มีทรัพย์สินส่วนตัวถึง 3.8 พันล้านปอนด์ (ราว 1.64 แสนล้านบาท) สำหรับชายวัย 86 ปี เขายืนยันว่าหากการซื้อขายสโมสร เชลซี เกิดขึ้นจริง เขาจะใช้เงินส่วนตัวของตัวเองซื้อทั้งหมด เพียงแต่มีข้อแม้บางประการ โดยเฉพาะในส่วนรายละเอียดที่เจ้าของเก่าอย่าง โรมัน อบราโมวิช เรียกร้องนั้น วิสส์ มองว่ามันสูงและเป็นข้อเรียกร้องที่มากเกินไป
"อบราโมวิช ต้องการจะขายสโมสร เชลซี ให้เร็วที่สุด และตอนนี้มีผมและคนอีก 2-3 คนที่ได้รับข้อเสนอจากเขาในวันอังคารที่ผ่านมา" วิสส์ กล่าว
"ผมได้รับข้อเสนอมาแล้ว และผมคิดว่าสิ่งที่ โรมัน อบราโมวิช เรียกร้องตอนนี้มันมากเกินไป ทุกคนรู้ดีว่าสโมสรเชลซีเป็นหนี้เขาถึง 2 พันล้านปอนด์ แต่สโมสรเชลซีไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น ดังนั้นหมายความคนที่จะซื้อเชลซีต้องใช้หนี้ดังกล่าวนั้นให้กับ อบราโมวิช ด้วยเงินของตัวเองแทน"
"ณ เวลานี้ผมไม่รู้ราคาขายที่แน่นอน แต่ผมพอนึกภาพบางอย่างออกร่วมกับพันธมิตรของผม เพียงแต่ว่าตอนนี้ผมต้องตรวจสอบเงื่อนไขต่าง ๆ ให้ดีอย่างละเอียดเสียก่อน แต่ที่แน่ ๆ ด้วยข้อเสนอตอนนี้ผมจะยังไม่ลงมือแน่นอน ถ้าผมจะซื้อ เชลซี บางทีผมอาจจะต้องมีผู้ร่วมลงทุนราว 6-7 รายร่วมด้วย" วิสส์ กล่าวถึงสถานการณ์ ณ ปัจจุบัน
มูห์ซิน บายรัค
“เรากำลังเจรจาเงื่อนไขในการซื้อเชลซีกับทนายของ โรมัน อบราโมวิช เราอยู่ในขั้นตอนการเจรจาเพื่อเซ็นสัญญา เราจะไปโบกธงชาติตุรกีที่ลอนดอนในไม่ช้านี้" มูห์ซิน บายรัค กล่าวกับ Yeni Şafak สื่อในตุรกี
"เรายื่นข้อเสนอไปแล้ว พวกเขาอยากรับเงินหลังจากการขายเกือบทั้งหมดที่ตุรกี พวกเขามองว่าที่ตุรกีปลอดภัยจากสถานการณ์ของรัสเซียกับยูเครนที่กำลังเกิดขึ้น เรากำลังวางแผนที่จะเซ็นสัญญากันในเร็ว ๆ นี้"
มูห์ซิน บายรัค คือรายชื่อเศรษฐีคนล่าสุดที่เข้ามาเกี่ยวข้องกับการซื้อสโมสร เชลซี ต่อจาก โรมัน อบราโมวิช จากรายชื่อทั้ง 3 คน บายรัค ถือเป็นคนที่อายุน้อยที่สุด โดยปัจจุบันเขามีอายุแค่ 36 ปีเท่านั้น
มูห์ซิน บายรัค ถือว่าอยู่ในระดับคาบช้อนเงินช้อนทองมาเกิดเลยก็ว่าได้ เขาเป็นตัวแทนของชาว Kurdish Mutk ซึ่งถือเป็นชนกลุ่มที่เป็นชาวมุสลิมนิกายสุหนี่ และเป็นแกนหลักในสมาพันธ์ชาวเคิร์ด โดยตระกูลของเขาเป็นตระกูลชนชั้นนำที่ยิ่งใหญ่ที่สุดตระกูลหนึ่งในประเทศตุรกี
ข้อมูลด้านธุรกิจของ มูห์ซิน บายรัค มีไม่มากนัก โดยเฉพาะสื่อด้านการเงินอย่าง Forbes ที่ยังไม่ลงรายละเอียดของ บายรัค ในเวลานี้ ทว่าบางที่ระบุว่าเขามีสินทรัพย์ส่วนตัวอยู่ที่ 8.3 พันล้านปอนด์ (ราว 3.6 แสนล้านบาท) ซึ่งนี่คือจำนวนทรัพย์สินส่วนตัวที่พอฟัดพอเหวี่ยงกับที่ โรมัน อบราโมวิช เจ้าของเดิมของ เชลซี มีเลยทีเดียว
ปัจจุบัน บายรัค เป็นประธานกรรมการของบริษัท AB Group Holding ซึ่งเป็นบริษัทที่ตั้งอยู่ในประเทศตุรกี บ้านเกิดของเขา โดยบริษัทนี้ดำเนินธุรกิจนี้เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมต่าง ๆ มากมาย เช่น ธุรกิจการก่อสร้าง การท่องเที่ยว พลังงาน รวมถึงสกุลเงินดิจิทัล
แม้จะไม่มีข้อมูลด้านธุรกิจมากมายเท่ากับ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ และ ฮันส์ ยอร์ค วิสส์ แต่ในรายของ มูห์ซิน บายรัค ก็เป็นคนที่ดูมั่นใจมากที่สุดกับการซื้อสโมสร เชลซี ณ เวลานี้ และจะว่าไปแล้วโมเดลธุรกิจของ บายรัค ก็ไม่ได้แตกต่างอะไรกับที่ โรมัน อบราโมวิช เป็น กล่าวคือเขาใช้ความสนิทสนมกับรัฐบาลและความสัมพันธ์อันดีทำให้เขาได้กินรวบธุรกิจต่าง ๆ ในประเทศ จนทำให้มีทรัพย์สินมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย
เหนือสิ่งอื่นใดการซื้อสโมสรเชลซีซึ่งคาดว่าจะใช้เงินราว ๆ 2-3 พันล้านปอนด์ บายรัค จะลงสนามแต่เพียงผู้เดียวโดยไม่มีหุ้นส่วนเหมือนกับ ฮันส์ ยอร์ค วิสส์ และไม่มีการกู้เงินมาซื้อสโมสรเหมือนกับที่ ท็อดด์ โบห์ลี่ย์ วางแผนไว้ ... หากเขาได้เป็นเจ้าของใหม่ของ เชลซี จริง ๆ เราอาจจะได้เห็นการควักเงินส่วนตัวมาพัฒนาทีมเพื่อความก้าวหน้า เหมือนกับที่ โรมัน อบราโมวิช ทำมาตลอด 20 ปีก็เป็นได้
แหล่งอ้างอิง
โฆษณา