8 มี.ค. 2022 เวลา 12:39 • ข่าว
JUSTICE: ศาลจังหวัดเวียงสระ สุราษฎร์ธานี อ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ ภาค 8 ยกฟ้องข้อหาพยายามฆ่ากับมือปืนที่ลอบยิง ‘ดำ อ่อนเมือง’ นักปกป้องสิทธิฯ ด้านที่ดิน สมาชิกสหพันธ์เกษตรภาคใต้ พร้อมทั้งปล่อยตัวทันทีหลังอ่านคำพิพากษา ขณะที่ทนายความระบุผิดหวังต่อคำพิพากษาของศาลที่เห็นต่างจากศาลชั้นต้นระบุเตรียมยื่นฎีกาเพื่อสู้ต่อเต็มที่ ขณะที่ ‘ดำ’ ชี้จะสู้ต่อเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเอง
วันนี้ (8 มี.ค. 65) เวลา 09.00 น. ที่ศาลจังหวัดเวียงสระ จังหวัดสุราษฎร์ธานี นายดำ อ่อนเมือง นักปกป้องสิทธิมนุษยชนด้านที่ดินจากชุมชนสันติพัฒนา สหพันธ์เกษตรกรภาคใต้ (สกต.) พร้อมนักปกป้องสิทธิในที่ดิน 20 คน ได้เดินทางมาที่ศาลเพื่อเข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์กรณีที่นายสมพร ฉิมเรือง คนร้ายที่ยิงนายดำได้ยื่นอุทธรณ์หลังจากที่ศาลชั้นต้นได้มีคำพิพากษาจำคุกนายสมพรเป็นเวลา 13 ปี 16 เดือน ในฐานความผิดพยายามฆ่า, ความผิดต่อ พ.ร.บ.อาวุธปืนฯ และขอให้ชดใช้ค่าสินไหมทดแทนให้แก่นายดำอีก 30,000 บาท เนื่องจากนายดำได้เรียกค่าเสียหายไปเป็นจำนวน 60,000 บาท และนายสมพร (จำเลย) ชดใช้ไปแล้วจำนวน 30,000 บาท
ซึ่งภายหลังที่ศาลได้อ่านคำพิพากษาเสร็จสิ้นแล้วนางอำพร สังข์ทอง ทนายความของนายดำได้สรุปคำพิพากษาในวันนี้ว่า ศาลได้วินิจฉัยปัญหาตามการอุทธรณ์ของนายสมพรซึ่งเป็นจำเลยในคดีนี้ในประเด็นว่านายสมพรได้กระทำความผิดฐานพยายามฆ่าลุงดำตามคำพิพากษาศาลชั้นต้นหรือไม่ โดยศาลเห็นว่าเมื่อพิจารณาพฤติการณ์ของนายสมพรกับลุงดำที่อาศัยอยู่หมู่บ้านเดียวกัน และคำพูดของนายสมพรที่ลุงดำเบิกความถึงประกอบกับสภาพแวดล้อมในที่เกิดเหตุ หากนายสมพรมีเจตนาฆ่าลุงดำ นายสมพรสามารถยิงลุงดำได้ทันทีในตำแหน่งที่ยืนใกล้กับจุดที่ลุงดำนอนอยู่ และ/หรือมีโอกาสยิงซ้ำได้
ประกอบกับวิถีกระสุนที่นายสมพรยิงถูกแคร่ที่ลุงดำนอน ห่างจากศีรษะลุงดำ 30-50 เซนติเมตร และจุดที่พบหัวกระสุนปืนมีลักษณะขนานไปกับแคร่ด้านบน ข้อเท็จจริงจึงอาจเป็นไปตามที่นายสมพรต่อสู้ว่า นายสมพรมีเจตนาใช้อาวุธปืนยิงเพียงต้องการข่มขู่ลุงดำเท่านั้น พยานหลักฐานที่ลุงดำนำสืบจึงรับฟังไม่ได้ว่านายสมพรมีเจตนาฆ่าลุงดำ การกระทำของสมพรจึงไม่เป็นความผิดฐานพยายามฆ่าลุงดำตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้น การอุทธรณ์ของจำเลยฟังขึ้น ศาลอุทธรณ์ภาค 8 พิพากษาแก้เป็นว่า ให้ยกฟ้องจำเลยในข้อหาพยายามฆ่าผู้อื่น
ทนายความของนายดำกล่าวว่า สิ่งที่ทำให้ตนและลุงดำซึ่งเป็นโจทก์ร่วมในครั้งนี้แปลกใจเป็นอย่างมากคือการอ่านคำพิพากษาของศาลไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ (8 มี.ค. 65) วันเดียว เราได้รับทราบว่าศาลได้อ่านคำพิพากษาไปแล้วก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 18 ก.พ. 65 ซึ่งมีแต่นายสมพร (จำเลย) ที่ได้เข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษา แต่ลุงดำซึ่งเป็นโจทก์ร่วมและผู้เสียหายกลับไม่ได้รับหนังสือแจ้งจากศาลหรือจากการติดต่อของอัยการซึ่งเป็นเจ้าของคดีและโจกท์ร่วมกับผู้เสียหายให้เข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาพร้อมจำเลยในวันที่ 18 ก.พ. 65 แต่ได้รับหมายนัดให้เข้ารับฟังการอ่านคำพิพากษาแค่ในวันนี้ (8 มี.ค.65 ) และในขณะนี้นายสมพรก็ได้รับการปล่อยตัวและใช้ชีวิตอยู่ในหมู่บ้านตามปรกติแล้ว
ซึ่งในประเด็นของการอ่านคำพิพากษานี้ ศาลได้มีข้อกำหนดไว้ว่าหากโจทก์หรือจำเลยจะทำการยื่นฎีกาในคดีจะทำได้ภายใน 1 เดือนนับตั้งแต่วันอ่านหรือถือว่าได้อ่านคำพิพากษา ซึ่งในกรณีของลุงดำคือลุงดำได้รับฟังการอ่านคำพิพากษาในวันนี้ (8 มี.ค. 65)
นางอำพรกล่าวเพิ่มเติมว่า ในส่วนตัวเคารพคำพิพากษาของศาลในวันนี้ แต่ตนในฐานะทนายเจ้าของคดีนี้ก็รู้สึกผิดหวังที่ศาลอุทธรณ์มีความเห็นต่างจากศาลชั้นต้นและมองว่าศาลอุทธรณ์ไม่ได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับพยานแวดล้อมที่ศาลอุทธรณ์ยกขึ้นมาประกอบเหตุผลในการยกฟ้อง โดยศาลอุทธรณ์ใช้คำว่า อาจเป็นไปตามที่นายสมพรจำเลยต่อสู้ ว่าการใช้อาวุธปืนของจำเลยเป็นการข่มขู่ลุงดำ โดยดูจากวิถีกระสุนซึ่งอยู่ห่างจากจุดที่ลุงดำนอน และนายสมพร (จำเลย)สามารถยิงซ้ำได้ แต่จำเลยไม่ยิง
อย่างไรก็ตามเรายังเห็นว่ามีหลายประเด็นที่จะฎีกาคัดค้านคำพิพากษาของศาลอุทธรณ์ และประเด็นที่น่าจับตาและติดตามต่อคือ พนักงานอัยการในฐานะโจทก์จะมีท่าทีต่อคดีนี้อย่างไร และจะยื่นฎีกาตามขั้นตอนของกฎหมายหรือไม่ ซึ่งในส่วนของลุงดำที่เป็นโจทก์ร่วมกับพนักงานอัยการนั้นจะดำเนินการยื่นฎีกาแน่นอน
นอกจากนี้เรายังจะทำหนังสือสอบถามพนักงานอัยการเกี่ยวกับการดำเนินการขอยื่นฎีกาของพนักงานอัยการทั้งส่วนภูมิภาคและส่วนกลางต่อไปอีกด้วย และหวังว่าศาลฎีกาจะมีคำพิพากษาลงโทษผู้กระทำความผิดเพื่อให้ลุงดำผู้เสียหายได้รับความเป็นธรรมต่อไป
 
ขณะที่นายดำกล่าวภายหลังจากฟังคำพิพากษาของศาลเสร็จสิ้นแล้วว่า ตนไม่รู้มาก่อนว่าศาลจะอ่านคำพิพากษาของนายสมพรก่อนวันที่ตนทราบ มารู้อีกทีก็เห็นนายสมพรอยู่ที่หมู่บ้านแล้ว เลยรู้สึกทั้งตกใจและหวาดกลัว และไม่คิดว่าศาลอุทธรณ์จะตัดสินคนละอย่างกับศาลชั้นต้น แม้จะเคารพการตัดสินของศาลแต่ก็คิดว่าไม่ได้รับความเป็นธรรม และตอนนี้รู้สึกกังวลมาก แทนที่จะได้ทำมาหากินภายในบริเวณชุมชนก็ต้องระวังไปไหนก็ไม่สะดวก ตอนเย็นก็ต้องรีบกินข้าว และหามาตราการความปลอดภัยให้ตนเองเพื่อความปลอดภัย เป็นอย่างนี้ตั้งแต่ที่นายสมพรได้ถูกปล่อยตัวมา
ส่วนในเรื่องความปลอดภัยตนไม่รู้ว่าพวกของเขามีกี่คนและมีใครบ้าง ทำให้ระวังตัวไม่ถูก นอกจากนี้ตนยังขาดรายได้ เพราะไปไหนก็ไปไม่ได้ ต้องจำกัดที่อยู่ แต่ก็ยังยืนยันจะสู้ต่อจนถึงศาลฎีกาเพื่อเรียกร้องความยุติธรรมให้กับตนเองจนถึงที่สุดถึงแม้ว่าผลจะออกมาอย่างไร
ด้าน น.ส.ปรานม สมวงศ์ จาก Protection International กล่าวว่ารู้สึกตกใจมากตอนที่ทราบว่าศาลอุทธรณ์ได้อ่านคำพิพากษาและปล่อยตัวจำเลยมาก่อนวันที่นัดผู้เสียหายและโจทก์ร่วมมาฟังคำพิพากษาโดยไม่มีการแจ้งผู้เสียหายแต่อย่างใด ไม่เคยมีประสบการณ์กับการอ่านคำพิพากษาแบบนี้มาก่อน โดยเฉพาะคดีที่เกี่ยวกับความเป็นความตายและความปลอดภัยของนักปกป้องสิทธิฯ ที่ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของผู้เสียหายให้มากที่สุด รวมถึงการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนของเหยื่อและผู้เสียหายในคดีอาญา ในตอนแรกที่ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาตัดสินว่านายสมพร (จำเลย) มีความผิดและสั่งจำคุก เราคิดว่าอย่างน้อยเป็นความยุติธรรมในระดับหนึ่ง แต่พอศาลอุทธรณ์มากลับคำพิพากษาและตัดสินว่านายสมพร(จำเลย) มีเจตนาใช้อาวุธปืนยิงเพียงต้องการข่มขู่ลุงดำเท่านั้น แม้ในส่วนตัวจะเคารพคำพิพากษาในครั้งนี้
แต่ในคำพิพากษาของศาลชั้นต้นค่อนข้างชัดเจนว่าพฤติการณ์ของจำเลยมีความผิดอาจถึงขั้นพยายามฆ่า ซึ่งเป็นการกระทำที่อุกอาจ แม้การระทำของจำเลยไม่บรรลุผล แต่สำหรับเรามีเหตุผลไม่น่าเชื่อว่าจำเลยมิได้มีเจตนาที่จะทำร้ายหรือฆ่าผู้เสียหาย ซึ่งแน่นอนประเด็นลักษณะเช่นนี้จะมีการฎีกาต่อไปเพื่อให้แน่ใจว่านักปกป้องสิทธิฯจะได้รับความยุติธรรมและผู้กระทำผิดจะไม่ลอยนวลพ้นผิดและไปกระทำผิดซ้ำ
#TheReporters #เดอะรีพอร์ตเตอร์
โฆษณา