9 มี.ค. 2022 เวลา 01:08 • หุ้น & เศรษฐกิจ
การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ (Economic sanction) ในอดีตที่ผ่านมาเคยประสบความสำเร็จแค่ไหน?
จากการที่ประเทศแถบตะวันตก นำโดยประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้ประกาศมาตรการคว่ำบาตรเพื่อตอบโต้การที่รัสเซียบุกโจมตียูเครนตั้งแต่ปลายเดือนที่ผ่านมา เราคงจะเห็นภาพความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในรัสเซีย มาตรการคว่ำบาตรนี้ส่งผลกระทบกับการดำเนินชีวิตประชาชนชาวรัสเซียเป็นวงกว้าง
1
การคว่ำบาตร ถือเป็นเหมือนการรบสงครามแบบที่ไม่จำเป็นต้องมีการเสียเลือดเสียเนื้อ เพราะเป็นการออกบทลงโทษแก่ประเทศ เจ้าหน้าที่ระดับสูง หรือประชาชนธรรมดาในประเทศที่ถูกคว่ำบาตร โดยอาจจะอยู่ในหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะเป็นการคว่ำบาตรทางการทูต, การคว่ำบาตรการแข่งขันกีฬา อย่างไรก็ตามการคว่ำบาตรเหล่านี้อาจจะไม่รุนแรง และไม่มีพลังมากพอเท่ากับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
ในบทความนี้ Bnomics จะพาผู้อ่านไปรู้จักกับการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจให้มากขึ้น และดูว่าในอดีตการคว่ำบาตรนั้นสามารถบังคับให้ประเทศหนึ่งๆ ยอมกลับมาอยู่ในข้อตกลงที่ถูกที่ควรได้สักแค่ไหน
📌 การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ คือ อะไร?
การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ เป็นการใช้เครื่องมือที่ไม่ได้ใช้กำลังทางการทหารในการลงโทษหรือขัดขวางการกระทำที่ไม่เหมาะสม โดยอาจจะอยู่ในรูปแบบของการจำกัดการค้าระหว่างประเทศ, จำกัดการการไหลเข้าออกของเงิน หรือจำกัดการเคลื่อนไหวของประชาชน
1
อย่างไรก็ตาม การใช้มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจเพื่อกดดันให้ประเทศนั้นๆ เปลี่ยนแปลงพฤติกรรม หรือเพื่อตอบโต้การกระทำที่ไม่เป็นธรรม นั้นอาจจะไม่ได้สัมฤทธิ์ผล และอาจจะต้องใช้ต้นทุนที่สูงมาก ซึ่งประเทศที่จะสามารถแบกรับต้นทุนขนาดนี้ได้ส่วนใหญ่จึงมักจะเป็นประเทศที่ร่ำรวยและมีเศรษฐกิจขนาดใหญ่ ที่ผ่านมาเราจึงเห็นว่าประเทศอย่างจากสหรัฐฯ หรือกลุ่มสหภาพยุโรป มักจะมีอำนาจในการประกาศคว่ำบาตรประเทศอื่นๆ ได้มากกว่า เนื่องจากมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุดและเป็นกลุ่มการค้าที่ใหญ่ที่สุด
📌 รูปแบบของการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจ
  • 1.
    ระงับการส่งออกหรือนำเข้าสินค้า (Embargo) เป็นการแบนการค้าระหว่างประเทศ แต่ในบางครั้งก็อาจจะยกเว้นการแบนสำหรับสินค้าประเภทอาหารและยารักษาโรคด้วยเหตุผลทางมนุษยธรรม
  • 2.
    การควบคุมการส่งออก เป็นการควบคุมปริมาณสินค้าหรือบริการบางอย่าง และทรัพย์สินทางปัญหาต่างๆ กับประเทศเป้าหมาย โดยมักจะเป็นการจำกัดการขายอาวุธ, เทคโนโลยีทางการทหาร
  • 3.
    การควบคุมเงินทุน อยู่ในรูปแบบการจำกัดการลงทุนในประเทศเป้าหมาย หรืออุตสาหกรรมเป้าหมาย หรือการจำกัดการเข้าถึงตลาดทุนระดับนานาชาติ
  • 4.
    การคว่ำบาตรทางการค้า สามารถรวมไปถึงการจำกัดการนำเข้าสำหรับบางประเทศ, บางภูมิภาค หรือบางอุตสาหกรรม
  • 5.
    การอายัดทรัพย์สิน เป็นการอายัดทรัพย์สินหรือเงินในบัญชีเพื่อป้องกันการขายหรือถอนออกมา
  • 6.
    การจำกัดการเดินทาง เจ้าหน้าที่รัฐ หรือประชาชนที่อยูในประเทศที่ถูกคว่ำบาตร อาจถูกปฏิเสธไม่ให้เดินทางเข้าประเทศที่ทำการคว่ำบาตร
4
📌 แล้วที่ผ่านมาการคว่ำบาตรในอดีตเคยประสบความสำเร็จแค่ไหน?
ย้อนกลับไปในสมัยศตวรรษที่ 19 การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจหลักๆ คือ การปิดล้อมมหาสมุทรแปซิฟิก (Pacific Blockades) โดยเป็นการใช้กองกำลังจากกองทัพเรือเข้าไปวางกำลัง เพื่อปิดกั้นการติดต่อค้าขายในบริเวณท่าเรือ หรือชายฝั่งของประเทศนั้นๆ โดยส่วนใหญ่แล้ววิธีนี้มักจะกระทำกันในช่วงสงคราม แต่เมื่อเวลาผ่านไปมันกลับถูกพัฒนาเรื่อยๆ กลายเป็นเครื่องมือที่ใช้บีบบังคับบางประเทศให้ชำระหนี้ และเพื่อระงับข้อพิพาทระหว่างประเทศ
นับตั้งแต่ปี 1827 ที่มาตรการปิดล้อมมหาสมุทรแปซิฟิกได้ถูกใช้เป็นครั้งแรก จนถึงสงครามโลกครั้งที่ 1 มีการปิดล้อมมหาสมุทรแปซิฟิกไปแล้ว 21 ครั้งโดยประเทศมหาอำนาจทางยุโรป
แต่การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจได้เริ่มถูกนำมาใช้มากขึ้นเรื่อยๆ หลังจากสงครามโลกครั้งที่สอง เนื่องจากก่อตั้งขึ้นของสหประชาชาติ (United Nations) ที่มีอำนาจในการบังคับใช้มาตรการคว่ำบาตร หรือกองกำลังทหารได้หากมีความจำเป็น สหรัฐฯ จึงมักจะเข้ามามีบทบาทสำคัญในการคว่ำบาตรในช่วงหลังจากทศวรรษที่ 1950 จนกระทั่งหลังจากทศวรรษ 1990 ประเทศทางยุโรปตะวันตก อาทิ สหราชอาณาจักร จึงเริ่มเข้ามามีบทบาทมากขึ้น
การคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจที่พบเห็นได้บ่อยๆ คือ การจำกัดการส่งออกของประเทศที่ถูกคว่ำบาตร ทำให้ประเทศนั้นๆ มีรายได้ลดลง หรืออีกทางหนึ่งคือการห้ามการนำเข้าสินค้าจากประเทศนั้นๆ
การที่ประเทศที่ออกมาตรการคว่ำบาตรนั้นจะสามารถลงโทษประเทศเป้าหมายได้มากน้อยแค่ไหนผ่านมาตรการคว่่ำบาตร ขึ้นกับเรื่องของที่ตั้งทางภูมิศาสตร์ รูปแบบการค้าที่ผ่านมา และขนาดของเศรษฐกิจโดยเปรียบเทียบกัน
ในยุคศตวรรษที่ 20 การคว่ำบาตรจะสำเร็จและทำให้ประเทศเป้าหมายยอมเปลี่ยนแปลงนโยบายต่างประเทศได้ ก็ต่อเมื่อต้นทุนต่อประเทศที่ออกมาตรการนั้นน้อยมาก แต่สร้างผลกระทบมหาศาลต่อประเทศที่ถูกคว่ำบาตร
มีงานวิจัยหนึ่งได้เคยประมาณว่า อัตราความสำเร็จของการคว่ำบาตรอยู่ราวๆ 1 ใน 3 และยังพบว่าการคว่ำบาตรในระหว่างปี 1945 ถึง 1969 มีโอกาสบรรลุผลได้มากกว่าการคว่ำบาตรที่เกิดขึ้นหลังจากปี 1970 เป็นต้นมา
1
จากตัวเลขนี้จึงชี้ให้เห็นว่าการคว่ำบาตรจึงไม่ใช่มาตรการที่มีประสิทธิภาพที่จะช่วยให้ประเทศเป้าหมายยอมเปลี่ยนแปลงนโนบายต่างประเทศเสมอไป อย่างเมื่อครั้งที่สหรัฐฯ ห้ามทำการส่งออกธัญพืชไปยังสหภาพโซเวียตในช่วงปี 1980 เพื่อตอบโต้กับการที่สหภาพโซเวียตบุกอัฟกานิสถาน ส่งผลให้ราคาธัญพืชในรัสเซียพุ่งขึ้นสูงมาก แต่สหภาพโซเวียตกลับสามารถหาแหล่งนำเข้าแหล่งอื่นแทนได้ มาตรการนี้จึงไม่สามารถช่วยให้สหภาพโซเวียตเลิกไปบุกอัฟกานิสถานได้ กลายเป็นว่าสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับต้นทุนจากมาตรการคว่ำบาตรนี้กว่า 2.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ อีกทั้งเกษตรกรชาวอเมริกันยังสูญเสียตลาดส่งออกธัญพืชที่สำคัญไปอีกด้วย
1
📌 หัวใจหลักที่ทำให้การคว่ำบาตรประสบความสำเร็จไดัในยุคปัจจุบัน
ดังนั้นในงานวิจัยเกี่ยวกับมาตรการคว่ำบาตรในช่วง 2 ทศวรรษที่ผ่านมานี้ จึงชี้ให้เห็นว่าปัจจัยที่จะช่วยทำให้การคว่ำบาตรนั้นบรรลุเป้าหมายได้ตามที่ต้องการนั้นมีอยู่ 2 อย่างนั้น คือ
  • 1.
    เมื่อมีหลายประเทศเข้าร่วมทำการคว่ำบาตร
  • 2.
    สัดส่วนรายได้ของประเทศที่ออกมาตรการคว่ำบาตรกับประเทศที่ถูกคว่ำบาตรต้องมากกว่ากันมากๆ ยิ่งสัดส่วนนี้มากกว่าเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะคว่ำบาตรสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสมมติฐานข้อนี้จึงช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดการคว่ำบาตรจึงมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ นั่นก็เพราะโลกเริ่มมีความเชื่อมโยงกันเป็นตลาดเดียวกันและมีความคล่องตัวมากขึ้น ในขณะที่สหรัฐฯ ก็ค่อยๆ มีอำนาจในเศรษฐกิจโลกลดลง
1
ยิ่งสัดส่วนนี้มากกว่าเท่าไหร่ ยิ่งมีโอกาสที่จะคว่ำบาตรสำเร็จมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งสมมติฐานข้อนี้จึงช่วยอธิบายได้ว่าเหตุใดการคว่ำบาตรจึงมีประสิทธิภาพน้อยลงเรื่อยๆ นั่นก็เพราะโลกเริ่มมีความเชื่อมโยงกันเป็นตลาดเดียวกันและมีความคล่องตัวมากขึ้น ในขณะที่สหรัฐฯ ก็ค่อยๆ มีอำนาจในเศรษฐกิจโลกลดลง
กระแสโลกาภิวัฒน์ที่เกิดขึ้นนั้น ส่งผลให้เกิดแหล่งอุปทานที่มีศักยภาพเพิ่มมากขึ้น แต่ในทางกลับกันก็ทำให้เกิดการพึ่งพาการค้าต่างประเทศมากขึ้น ซึ่งก็กลายเป็นจุดอ่อนทำให้การแทรกแซงเกิดขึ้นได้ง่ายเช่นกัน ผลกระทบจากกระแสโลกาภิวัฒน์ที่ขัดแย้งกันเช่นนี้ จึงช่วยอธิบายได้ว่าทำไมการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจด้านการค้าในปัจจุบันไม่ค่อยประสบความสำเร็จดังเช่นในอดีต
และจึงทำให้ประเทศที่ออกมาตรการคว่ำบาตรเริ่มมีแนวโน้มที่จะใช้มาตรการอื่นร่วมด้วย อาทิ การคว่ำบาตรทางการเงิน การอายัดบัญชีทรัพย์สิน ซึ่งจะช่วยให้การคว่ำบาตรนั้นมีโอกาสบรรลุเป้าหมายตามที่ต้องการได้มากขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในปัจจุบันที่เทคโนโลยีก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว มาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจจึงมีความหลากหลายขึ้นอย่างที่เรากำลังได้เห็นรัสเซียกำลังเผชิญกับมาตรการคว่ำบาตรจากนานาประเทศอยู่ในตอนนี้นั่นเอง
คงยังไม่มีใครสามารถตอบได้ว่าความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน จะไปสิ้นสุดที่ตรงไหน และมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซียจะประสบความสำเร็จหรือไม่ แต่ที่แน่ๆ เราได้เห็นจุดยืนของแต่ละประเทศต่อเหตุการณ์นี้ เห็นว่ามาตรการคว่ำบาตรครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบต่อประชาชนชาวรัสเซียเป็นวงกว้าง เห็นว่าประชาชนชาวรัสเซียหลายคนเองก็ไม่ได้ต้องการสงคราม และถ้าหากผู้นำยอมฟังเสียงประชาชนบ้าง…บางทีคำถามนี้อาจจะตอบง่ายนิดเดียว
ผู้เขียน : ชนาภา มานะเพ็ญศิริ Economist, Bnomics
ภาพประกอบ : จินดาวรรณ อรรถมานะ Graphic Designer, Bnomics
▶︎ ติดตามช่องทางของ Bnomics ได้ที่
Line OA : @Bnomics https://bit.ly/3eYkTJC
Bnomics - Bangkok Bank Economics
'Be an Economist for Everyone'
วิเคราะห์ เจาะทุกประเด็นเศรษฐกิจ ให้เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
Reference :
โฆษณา