22 มี.ค. 2022 เวลา 22:14 • ปรัชญา
“ต้องรู้สถานภาพของตนว่าเป็นนักบุญหรือนักบวช”
ต้องถามตัวเองว่าตอนนี้อยู่ในสถานภาพใด เป็นนักบุญหรือเป็นนักบวช ถ้าเป็นนักบุญก็ต้องยอมรับผลของนักบุญ ว่าได้แค่สวรรค์ ถ้าเป็นนักบวชก็ต้องรักษาสถานภาพของนักบวชไว้ เหมือนคนที่แต่งงานกับคนที่เป็นโสด มีสถานภาพต่างกัน จะทำตัวให้เหมือนกันไม่ได้ คนโสดจะไปเที่ยวกับใครที่ไหนเมื่อไหร่ก็ทำได้ แต่คนที่มีคู่ครองแล้วต้องไปกับคู่ครองเท่านั้น
พุทธศาสนิกชนก็มีหลายสถานภาพด้วยกัน ถ้าเป็นนักบุญก็ไปเลย ใครมาชวนทำบุญที่ไหน ไปเลย ไปอินเดียไปเลย ใช้เงินให้หมด พอหมดแล้วจะได้ไม่ต้องไปไหน จะได้เป็นนักบวช พอเป็นนักบวชแล้ว จะไม่ไปไหนแล้ว จะเข้าป่าไปปลีกวิเวก จะไม่สังคมกับใคร ไม่ติดต่อกับใคร จะดึงใจให้เข้าข้างใน ด้วยการเจริญสติ เดินจงกรมนั่งสมาธิ ตลอดเวลาตั้งแต่ตื่นจนหลับ ไม่ว่าจะทำภารกิจใด ที่จำเป็นจะต้องทำ ก็จะเจริญสติควบคู่ไปด้วย ปัดกวาดก็พุทโธไปด้วย หรือเฝ้าดูการปัดกวาดเพียงอย่างเดียว ไม่ให้จิตไปอดีตไปอนาคต ไม่ให้คิดถึงใคร ให้จิตอยู่กับการปัดกวาดเพียงอย่างเดียว เวลาขบฉันก็อยู่กับการขบฉันเพียงอย่างเดียว เวลาซักจีวรก็อยู่กับการซักจีวร เวลาอาบน้ำก็อยู่กับการอาบน้ำ พอเสร็จกิจก็เข้าทางจงกรมหรือนั่งสมาธิทันที สลับกันไป จนถึงเวลาพักผ่อนหลับนอน ก็พักผ่อนหลับนอน
พอตื่นขึ้นมาลุกขึ้นมาก็เดินจงกรมนั่งสมาธิต่อ จนกว่าจะถึงเวลาไปทำภารกิจต่างๆ เช่นไปทำอาหาร ไปรับประทานอาหาร ถ้าเป็นพระก็ออกบิณฑบาต กลับมาฉันก็ฉันด้วยสติ ไม่ให้จิตไปคิดเรื่องอื่น ให้อยู่กับปัจจุบันตลอดเวลา อยู่กับเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น อย่างนี้ถึงจะเรียกว่าสร้างกำลังใจ รักษาสถานภาพของนักบวช ใครมาชวนให้ไปทำบุญที่ไหนก็ต้องปฏิเสธ ทำมาพอแล้ว ไม่มีเงินจะทำอีกแล้ว
นี่คือการปฏิบัติที่จะทำให้เกิดผล ต้องมีมาตรการ ต้องรู้จักสถานภาพของตน ว่าตอนนี้เป็นนักบุญหรือนักบวช ไม่อย่างนั้นกิเลสจะหลอกให้หลง แทนที่จะปฏิบัติ จะหลอกให้ไปทำบุญ จะไม่เจริญก้าวหน้า จะติดอยู่ที่การทำบุญ ไม่ยอมรักษาศีล ๘ ไม่ยอมปลีกวิเวก ไม่ยอมภาวนา ไม่ยอมออกบวช ถ้าไม่ออกบวช จะไม่สามารถสร้างกำลังใจ ให้มีกำลังเต็มร้อย ที่จะเอาชนะกิเลสตัณหาได้
การทำบุญกำลังไม่พอ ที่จะปราบกิเลสให้หมดไปจากใจได้ แต่การทำบุญก็เอื้อต่อการปฏิบัติ ถ้าทำบุญจนเงินทองหมด ก็จะไม่มีเงินทองรับใช้กิเลส ก็ต้องเข้าวัด บังคับใจให้ปฏิบัติธรรมขั้นสูงต่อไป ถ้าอยากจะหลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดในชาตินี้ ก็ต้องรีบทำให้มากที่สุด เพราะไม่รู้ว่ามีเวลาเหลืออยู่มากน้อย ไม่รู้ว่าพรุ่งนี้จะอยู่หรือไป อะไรก็เกิดขึ้นได้เสมอ ให้คิดอย่างนี้ จะได้ไม่ประมาทนอนใจ อย่างที่พระพุทธเจ้า ทรงสอนพระอานนท์ว่า ต้องระลึกถึงความตาย อยู่ทุกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ว่าตายได้ทุกเวลานาที ถ้าหายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตาย หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตาย
คิดอย่างนี้จะได้ไม่ประมาทนอนใจ จะได้รีบทำกิจที่ควรทำ คือสร้างกำลังใจให้มีมากกว่ากิเลสตัณหา ถ้ามีก็จะฆ่ากิเลสตัณหาให้หมดไปจากใจได้ พอหมดแล้ว ก็หมดภารกิจ ไม่มีภารกิจอื่นที่ต้องทำอีกต่อไป จะตายเมื่อไหร่ก็ไม่เป็นปัญหา เพราะเสร็จกิจแล้ว ไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว ไม่เวียนว่ายตายเกิดอีกแล้ว
จุลธรรม ๓๓, กัณฑ์ที่ ๔๕๗
วันที่ ๖ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๕๖
 
พระอาจารย์สุชาติ อภิชาโต
วัดญาณสังวรารามฯ จังหวัดชลบุรี
โฆษณา