1 เม.ย. 2022 เวลา 13:48 • ประวัติศาสตร์
รัตนา ส่าหรี เทวี : จากสาวบาร์ สู่ภรรยาประธานาธิบดี ตอนที่ 1
“โกโกริโกะ เกมส์กึ๋ยส์” ถ้าพูดถึงชื่อนี้ หลายคนที่มีอายุหน่อยจะต้องร้องอ๋อแน่นอน เพราะรายการวาไรตี้จากญี่ปุ่นรายการนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทยเมื่อประมาณ 10 ปีก่อน ควบคู่ไปกับรายการอย่าง TV Champion โดยรายการนี้จะเป็นการเชิญดารานักแสดงของญี่ปุ่นมาทำภารกิจต่าง ๆ เช่น การกินอยู่ด้วยงบประมาณจำกัด การทำอาหารที่ไม่เคยทำมาก่อน การแข่งกินอาหาร เป็นต้น
3
และที่แปลกสำหรับคนไทยในตอนนั้นก็คือการนำดารานักแสดง หรือคนดังของญี่ปุ่น มารวมตัวกันในห้องส่ง เพื่อดูคลิบไปด้วยกัน แล้วให้ React พร้อม ๆ ไปด้วย เหมือนกับเรามีพวกเขาเหล่านั้นมาร่วมชมรายการไปพร้อมกับพวกเรา
และถ้าจำได้ จะมีบุคคลคนหนึ่ง ซึ่งเธอมักจะได้รับเชิญมาเป็นแขกประจำในรายการ เธอเป็นหญิงมีอายุ แต่ยังดูสวย เธอมักจะแต่งตัวด้วยเสื้อผ้าหรูหรา ราคาแพง มีเครื่องประดับระยิบระยับเต็มตัว และทุกคนเรียกเธอว่า “มาดาม เดวี”
5
มาดาม เดวี มักจะได้รับเชิญไปออกรายการโทรทัศน์ต่าง ๆ ของญี่ปุ่น (Source: https://news.mynavi.jp/article/20180510-628828)
ว่าแต่ทำไมคนญี่ปุ่นถึงถูกเรียกว่า “มาดาม” และชื่อ “เดวี” ก็ดูไม่มีความเป็นญี่ปุ่นเอาซะเลย จริง ๆ แล้วเธอเป็นใครกันแน่ วันนี้ Kang’s Journal จะพาทุกคนไปรู้จักเรื่องราวของเธอคนนี้กันครับ คนไทยหลายคนอาจจะมองว่าเธอดูตลกโปกฮา ไร้สาระ แต่ถ้าได้รู้เบื้องหลังของเธอแล้ว รับประกันว่าคุณจะต้องมองเธอเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน
4
รัตนา ส่าหรี เทวี จากสาวบาร์ สู่ภรรยาประธานาธิบดี (Source: https://alchetron.com)
ชีวิตวัยเด็ก
“นังเกอิชาชั้นต่ำ” “สาวบาร์ที่ใช้เต้าไต่จนได้ดี” “หญิงแพศยาจากญี่ปุ่น” นี่คือหนึ่งในคำพูดแง่ลบหลาย ๆ คำที่หลายคน ทั้งประชาชนและสื่อมวลชน ต่างใช้เรียกขานเธอผู้นี้ แต่ก็มีอีกหลายคำพูด ที่ใช้กล่าวถึงตัวเธอเช่นกันไม่ว่าจะเป็น “ซินเดอเรลล่าแห่งเอเชีย” หรือ “แจ็กเกอลีนแห่งญี่ปุ่น” ซึ่งล้วนสื่อถึงความสง่างามของเธอได้เป็นอย่างดี คำพูดที่ดูขัดแย้งกันเหล่านี้ล้วนมีที่มา โดยทุกอย่างเริ่มต้นจากวัยเด็กอันแสนขมขื่นของเธอ
4
มาดาม เดวี มีชื่อเดิมว่า เนโมโตะ นาโอโกะ เธอเกิดเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 1940 ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 พอดิบพอดี และอย่างที่หลายคนทราบว่า หลังสงครามสิ้นสุดลงในปี 1945 ญี่ปุ่นเป็นผู้แพ้สงคราม บ้านเรือนในกรุงโตเกียวที่เธออาศัยอยู่พังราบเป็นหน้ากลอง เศรษฐกิจต่าง ๆ ฝืดเคือง ผู้คนแทบไม่มีอันจะกิน และหลายคนต้องกลายเป็นคนไร้บ้าน
4
กรุงโตเกียวในปี 1945 หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 (Source: bloomberg.com)
บ้านของนาโอโกะก็เช่นกัน พ่อของเธอเป็นช่างไม้จน ๆ ส่วนแม่ของเธอเป็นง่อย และเป็นคนพิการที่ไม่สามารถทำมาหาเลี้ยงชีพได้ ดังนั้นรายได้ทั้งหมดของครอบครัวจึงมาจากพ่อของเธอเพียงผู้เดียว โดยที่เธอยังมีน้องชาย 1 คนชื่อว่า ยาโซะ
3
อย่างไรก็ตาม ครอบครัวทั้งสี่ก็อยู่กันอย่างมีความสุข นาโอโกะเข้าเรียนชั้นมัธยมต้น เธอได้รับรางวัลด้านการวาดภาพมากมาย และชื่นชอบในเรื่องของศิลปะ จนสุดท้ายด้วยรูปร่างหน้าตาที่สะสวยของเธอ เธอจึงได้รับคัดเลือกให้เล่นละครของโรงเรียน
1
นาโอโกะ เนโมะโตะ สมัยเรียนอยู่ชั้นมัธยม (Source: Pinterest)
เธอเคยกล่าวไว้ว่า เธอเป็นคนชอบวาดภาพมาก แต่ศิลปินจิตรกรส่วนใหญ่มักจะยากจน และต้องอยู่อย่างยากลำบาก ดังนั้นเธอเลยตัดสินใจที่จะเป็นนักแสดงแทน นี่คือความคิดของเด็กมัธยมต้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเด็กหญิงนาโอโกะ มีความคิดที่ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
แต่แล้วความฝันของเธอก็ต้องพังทลายลง พ่อของเธอเกิดมาเสียชีวิตกะทันหัน ทิ้งแม่ที่เป็นง่อย และน้องชายที่ยังเรียนชั้นประถมเอาไว้ นาโอโกะในฐานะพี่ใหญ่ของบ้านเลยต้องรับผิดชอบเลี้ยงดู 2 ชีวิตไปโดยปริยาย
4
หลังจบชั้นมัธยมต้น เธอเข้าทำงานเป็นพนักงานขายประกันให้กับบริษัทประกันโยชิดะ พร้อมกับเรียนภาคค่ำเพื่อให้สำเร็จชั้นมัธยมศึกษาตอนปลายไปด้วยในเวลาเดียวกัน จนในที่สุดเธอก็เรียนจบ และเข้าทำงานเป็นพนักงานขายประกันเต็มตัว
6
ภาพในวัยเด็กของนาโอโกะ เนโมโตะ (Source: Pinterest)
อย่างไรก็ตามเธอมองว่า ชีวิตของเธอจะต้องไม่หยุดเพียงแค่นั้น เงินทั้งหมดที่เธอมี นอกจากจะเอาไว้ดูแลแม่และน้องชายของเธอแล้ว เธอยังส่งตัวเองไปเรียนวิชาศิลปะต่าง ๆ ที่สตรีชาวญี่ปุ่นชั้นสูงมักจะร่ำเรียนกัน ไม่ว่าจะเป็น การจัดดอกไม้ การทำอาหาร หรือการชงชา
2
จนกระทั่งวันหนึ่ง เธอได้มารู้จักกับนักร้องสาวชาวฟิลิปปินส์ ซึ่งทำงานอยู่ในคลับที่มีชื่อว่า Copacabana Club คลับแห่งนี้เป็นหนึ่งในสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่มีชื่อเสียงมากของโตเกียว โดยจะรับแต่แขกระดับ VIP เท่านั้น ทางคลับจะจ้างสาวสวยเพื่อมานั่งเป็น “เพื่อน” กับบรรดาคนสำคัญเหล่านี้ ที่มีตั้งแต่ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ นักการเมือง นักธุรกิจ หรือแม้กระทั่งคนดังจากต่างประเทศอย่างประธานาธิบดี John F. Kennedy หรือ Frank Sinatra ก็เคยเป็นแขกของที่นี่เช่นกัน
Club Copacabana สถานบันเทิงชื่อดังของกรุงโตเกียว ที่รับแต่แขกระดับ VIP (Source: ebay.com)
ผู้หญิงที่เข้ามาทำงานที่นี่ สามารถทำเงินได้ถึงคืนละ 6,000 เยน คิดเป็นเงินในปัจจุบันก็ประมาณ 10,000 บาท ซึ่งนั่นเท่ากับเงินเดือนทั้งเดือนของนาโอโกะเลยทีเดียว นอกจากนี้พวกเธอยังแต่งตัวด้วยชุดราตรีหรูหรา ขับรถราคาแพง และพูดภาษาอังกฤษได้ โดยหน้าที่ของพวกเธอคือ คอยปรนนิบัติแขกของร้าน เพื่อให้พวกเขาหายเหนื่อยและได้รับความสำราญ ส่วนเรื่องบนเตียงนั้นถือเป็นเรื่องส่วนบุคคล
4
ด้วยหน้าตาสะสวย ตาโต โครงหน้าชัด แต่มีรูปร่างเล็กและผอมบางตามแบบฉบับสาวญี่ปุ่น ทำให้นาโอโกะได้รับคัดเลือกมาทำงานในคลับอันโด่งดังแห่งนี้ เธอกลายเป็นดาวเด่นประจำคลับในเวลาไม่นาน มีผู้ชายมาหลงสเน่ห์เธอมากมาย ทำให้เธอสามารถมีรายได้จุนเจือครอบครัว และหลังจากเข้าทำงานได้ 6 เดือน ในเดือนมิถุนายน ปี 1959 มีแขก VIP คนหนึ่งเดินทางมาเยือนสถานที่แห่งนี้ ซึ่งเขาคือผู้ที่จะเปลี่ยนแปลงโชคชะตาของเธอไปตลอดกาล
6
ความงามของนาโอโกะ เนโมโตะ ที่ทำให้เธอมีผู้ชายหลายคนมาติดพัน (Source: https://inf.news/)
แขกจากแดนอิเหนา
1
แขก VIP คนนั้นคือประธานาธิบดีซูการ์โน แห่งประเทศอินโดนีเซีย เขาคือแกนนำในการต่อสู้เพื่อเอกราชของอินโดนีเซียจากเนเธอร์แลนด์ ชาวอินโดนีเซียต่างยกย่องชื่นชม “ป๊ะ” หรือ “บัง” ของพวกเขา ซึ่งมีความหมายว่า “พ่อ” และ “พี่ชาย” ซึ่งเป็นคำที่ชาวอินโดนีเซียใช้เรียกผู้นำท่านนี้
3
ในช่วงที่อินโดนีเซียตกอยู่ภายใต้การปกครองของเนเธอร์แลนด์ ซูการ์โนพยายามทำทุกทางเพื่อที่จะให้อินโดนีเซียได้รับเอกราช ทั้งการป่วนเมือง จัดการประท้วง จนกระทั่งเขาต้องเข้าไปใช้ชีวิตในคุกนานถึง 17 ปี จนได้รับการปล่อยตัวตอนที่กองทัพญี่ปุ่นเข้ามายึดครองอินโดนีเซีย ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
4
ประธานาธิบดีซูการ์โน ผู้ประกาศเอกราชให้กับประเทศอินโดนีเซีย หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จบลง (Source: https://www.thoughtco.com)
และหลังสงครามจบลง ซูการ์โนได้ชิงโอกาสนี้ในการประกาศอิสรภาพและจัดตั้งสาธารณรัฐอินโดนีเซียขึ้น เขาได้พยายามทำการรวบรวมชนชาติที่มีวัฒนธรรมแตกต่างกันตามหมู่เกาะต่าง ๆ เข้าด้วยกัน พัฒนาเศรษฐกิจ วางรากฐานสังคมใหม่ จนได้รับการชื่นชมจากทั่วโลก
4
แต่อย่าลืมว่าในขณะนั้นอินโดนีเซียเป็นประเทศที่มีประชากรมากเป็นอันดับ 7 ของโลก มิหนำซ้ำยังมีทรัพยากรมากมายโดยเฉพาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติ ทำให้อินโดนีเซียกลายเป็นที่หมายตาของนักลงทุนทั่วโลก และนั่นก็รวมถึงนักลงทุนชาวญี่ปุ่นด้วย บริษัทห้างร้านที่เพิ่งฟื้นตัวจากสงครามต่างก็กระหายที่จะเขามาลงทุนและกอบโกยผลประโยชน์จากประเทศนี้ ประเทศที่เต็มไปด้วยโอกาสในการทำกำไรมากมายมหาศาล โดยเฉพาะโครงการก่อสร้างอภิมหาโปรเจคทั้งหลายที่รัฐบาลวางแผนไว้
3
ประธานาธิบดีซูการ์โน แห่งประเทศอินโดนีเซีย แขก VIP ผู้ที่จะนำพาให้โชคชะตาของนาโอโกะ เนโมโตะเปลี่ยนไปตลอดกาล (Source: https://sawadee.wiki/wiki/Sukarno)
และแน่นอนวิธีที่จะทำให้ได้สัญญาต่าง ๆ กับรัฐบาลคือการมีสายป่านที่แข็งแกร่งและกว้างไกล และจะมีสายป่านไหนอีกเล่า ที่จะแข็งแกร่งเท่ากับการเข้าถึงตัวของประธานาธิบดีโดยตรง
ประธานาธิบดีซูการ์โน ถึงจะเป็นคนที่เข้มแข็ง และชาญฉลาด แต่ก็มีจุดอ่อนที่ทุกคนรู้ดีคือ เขาเป็นคนที่ชอบสิ่งสวยงามที่เรียกว่า “ผู้หญิง” ตอนที่เขาอายุ 19 ปี เขาได้แต่งงานกับภรรยาคนแรกที่มีชื่อว่า สิตี อุตารี ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้ใหญ่คนสนิท ซึ่งเขาได้หย่าขาดในเวลาไม่นาน ภรรยาคนที่สองของเขาคืออีงกิต การ์นะซีห์ ซึ่งก็จบลงด้วยการหย่าร้างเช่นกัน เนื่องจากเขาได้มาพบกับภรรยาคนที่ 3 ซึ่งเป็นลูกสาวของผู้มีอิทธิพลคนหนึ่งในเมืองที่เขาถูกเนรเทศไปอยู่นามว่า ฟัตมาวาตี
2
ประธานาธิบดีซูการ์โน และฟัตมาวาตี ภรรยาคนที่ 3 (Source: popbela.com)
ชาวอินโดนีเซียส่วนใหญ่ถือว่าฟัตมาวาตี คือสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศตัวจริงในตอนนั้น แต่หลังจากครองรักกันมาได้นาน 7 ปี สายตาของซูการ์โน ก็ไปสะดุดตาเข้ากับผู้หญิงคนใหม่ เธอมีชื่อว่า ฮาร์ตินี่ ซึ่งเป็นแม่ม่ายลูกห้า และแม้ศาสนาอิสลามจะอนุญาตให้ผู้ชายมีภรรยาได้ถึง 4 คน แต่ฟัตมาวาตี ไม่สามารถรับเรื่องนี้ได้เลย เธอไม่หย่าขาดจากเขา แต่ก็ย้ายตัวเองออกมาจากทำเนียบประธานาธิบดี และประกาศกร้าวว่าชาตินี้จะไม่ขอเจอหน้าซูการ์โนอีกเลย และเธอก็ทำได้ตามนั้นจริง เพราะแม้กระทั่งงานพิธีศพของซูการ์โน เธอก็เพียงแค่ส่งพวงหรีดมาที่งานเท่านั้น
9
ฮาร์ตินี่ ภรรยาคนที่ 4 จึงกลายมาเป็น "อีบู นครา" หรือสตรีหมายเลขหนึ่งของประเทศอินโดนีเซีย และในปี 1959 ซูการ์โนก็แต่งงานกับภรรยาคนที่ 5 ที่เป็นพนักงานต้อนรับของสายการบินการูด้า อินโดนีเซีย นามว่า คาร์ตินี มาโนปโป แต่ฮาร์ตินี่ก็ยังถือเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งอยู่ดี
2
ประธานาธิบดีซูการ์โน และฮาร์ตินี่ ภรรยาคนที่ 4 (Source: boombastic.com)
กามเทพแผลงศร
3
กลับมาในคืนวันที่ 16 มิถุนายน 1959 ที่ Copacabana Club คืนนั้นมาซุโอะ คุโบะ ประธานของบริษัทโทะนิชิ เทรดดิ้ง แอนด์ คุโบะ ได้วางแผนการเพื่อที่จะทำให้บริษัทตนเองได้รับสัมปทานจากรัฐบาลอินโดนีเซีย เขาตัดสินใจจัดงานเลี้ยงต้อนรับประธานาธิบดีซูการ์โนกับชาวคณะ ที่คลับชื่อดังแห่งนี้ และเขาได้เฟ้นเลือก นาโอโกะ มาต้อนรับขับสู้ท่านประธานาธิบดี โดยหวังว่าสเน่ห์ของเธอจะสามารถมัดใจเขาเอาไว้ได้
และแน่นอนว่า นาโอโกะ ซึ่งได้รับการ “บรีฟ” งานมาจากคุโบะแล้ว ย่อมไม่ทำให้ผิดหวัง เธอพูดคุยกับซูการ์โนอย่างถูกคอ แต่ไฮไลท์ของค่ำคืนนั้นคือการที่เธอขึ้นไปบนเวทีพร้อมขับร้องเพลง Bengawan Solo (ลองฟังดูใน Link ที่แปะไว้ได้นะครับ ฟังแล้วก็เพราะดี) เพลงพื้นเมืองของอินโดนีเซียที่มีความหมายว่า แม่น้ำโซโล แม่น้ำที่ไหลผ่านเกาะชวา ภาษาบาฮาซาที่เธอเปล่งออกมา แม้จะไม่ได้ชัดเจน แต่ก็เต็มไปด้วยความไพเราะ และเป็นเหมือนดั่งมนต์สะกดที่สามารถมัดใจหนุ่มใหญ่ชาวอินโดนีเซียผู้นี้ได้อย่างอยู่หมัด วัยที่ต่างกันถึง 38 ปี ไม่ได้มีอุปสรรคแต่อย่างใดที่จะทำให้เขาตกหลุมรักสาวญี่ปุ่นตาโตผู้นี้
10
คืนต่อมา เขาเชิญเธอไปดื่มน้ำชาที่โรงแรมอิมพีเรียลที่เขาพำนักอยู่ และหลังจากการสนทนากันอย่างออกรส ทั้งสองก็นัดกันอีกครั้งในเวลาต่อมา แต่แล้วโชคชะตากลับไม่เข้าข้างเธอ บรรดาผู้ติดตามต่างเตือนท่านประธานาธิบดีว่าการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับผู้หญิงต่างชาติ ที่ทำงานกลางคืน ย่อมจะเป็นการไม่ดี โดยเฉพาะถ้านักข่าวรู้เรื่องนี้เข้า และแนะนำให้ซูการ์โนรีบเดินทางกลับอินโดนีเซีย
ดังนั้นเมื่อนาโอโกะมาถึงโรงแรมตามวันที่นัดไว้ เธอจึงพบแต่ความว่างเปล่า เธอรู้สึกเจ็บช้ำน้ำใจเป็นอย่างมาก และรู้สึกถูกหยามเกียรติ ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอยอมรับไม่ได้ เธอจึงตัดสินใจเอามีดแทงตัวเอง โดยหวังที่จะปลิดชีวิตของเธอ
3
โรงแรมอิมพีเรียลที่กรุงโตเกียว สถานที่นัดจิบน้ำชาของทั้งสอง (Source: Wikipedia)
โชคดีที่พนักงานของโรงแรมมาพบเธอก่อน และช่วยเธอไว้ได้ทัน แต่ข่าวการฆ่าตัวตายของเธอก็ลอยเข้าไปถึงหูของประธานาธิบดีซูการ์โนจนได้ เขารู้สึกผิดและสงสารนาโอโกะเป็นอย่างมาก รวมถึงตั้งแต่กลับมาจาการ์ตา เขายังไม่สามารถลืมผู้หญิงคนนี้ได้เลย เขาจึงตัดสินใจส่งจดหมายไปเพื่อเชิญเธอมาเยือนอินโดนีเซีย และหลังจากการเชิญครั้งที่ 3 เธอก็ตอบตกลง
3
อินโดนีเซีย เมื่อแรกพบ
1
นาโอโกะในวัยเพียง 19 ปี เดินทางมายังอินโดนีเซียพร้อมกับคุโบะ เจ้าของบริษัทโทะนิชิ เทรดดิ้ง แอนด์ คุโบะ ในฐานะเลขานุการส่วนตัว เนื่องจากตัวของซูการ์โนรู้ดีว่าการเปิดตัวสาวญี่ปุ่นคนนี้ในฐานะคนรัก อาจจะนำความเสื่อมเสียมาสู่เขาได้
2
แน่นอนว่างานมากมายหลั่งไหลเข้าสู่บริษัทของคุโบะ ส่วนทางซูการ์โนก็ติดต่อมายังสาวน้อยนาโอโกะและคอยนัดพบกับเธอเรื่อย ๆ จนกระทั่งข่าวลือเริ่มแพร่สะพัดไปทั่วอินโดนีเซียว่าป๊ะของพวกเขา กำลังหลงรัก “นังเกอิชา” จากญี่ปุ่นคนนั้นอยู่ แต่เสียงนินทาก็ไม่อาจหยุดความรักของทั้งสองได้ ซูการ์โนได้ส่งจดหมายบอกรักนาโอโกะไว้มากมายกว่า 500 ฉบับ ซึ่งเธอยังคงเก็บเอาไว้จนถึงทุกวันนี้
7
นาโอโกะ เนโมะโตะ ตอนที่เดินทางมาถึงอินโดนีเซียใหม่ ๆ (Source: Pinterest)
ในส่วนของนาโอโกะนั้นเธอก็ไม่ได้เป็นผู้หญิงที่จะยอมอยู่เฉย ๆ เธอใช้โอกาสนี้ในการติดต่อสานสัมพันธ์กับคนในแวดวงธุรกิจ โดยเฉพาะบรรดาคนญี่ปุ่นที่อาศัยในอินโดนีเซีย รวมไปถึงท่านเอกอัครราชฑูตญี่ปุ่นประจำอินโดนีเซียด้วย เธอไม่ยอมที่จะตกเป็นเบี้ยของคุโบะ แม้เขาจะเป็นคนที่นำพาเธอมาพบกับซูการ์โนก็ตาม จนสุดท้ายเธอก็ไม่ทำงานให้กับคุโบะอีกต่อไป
5
วิวาห์และหายนะ
เป็นเวลานานถึง 2 ปี ที่นาโอโกะอยู่อินโดนีเซียแบบเงียบ ๆ ในฐานะเมียเก็บของซูการ์โน แม้ว่าคนทั่วไปในแวดวงการเมืองจะทราบถึงเรื่องของเธอ แต่ซูการ์โนก็ไม่เคยแนะนำเธออย่างจริงจังว่าเป็นคนรัก หรือภรรยา แน่นอนว่าฮาร์ตินี่ภรรยาคนที่ 4 ของเขาย่อมรู้เรื่องนี้เหมือนกัน แต่เธอก็ทำอะไรมากไม่ได้ เธอเคยถามซูการ์โนตรง ๆ ถึง “ผู้หญิงญี่ปุ่นคนนั้น” ซึ่งซูการ์โนก็ตอบเธอว่า “เธอเก็บเอาเรื่องเช่นนี้มาคิดให้เปลืองสมองทำไม”
6
นาโอโกะ ต้องอยู่ในอินโดนีเซียในฐานะเมียเก็บของซูการ์โนนานถึง 2 ปี (Source: Pinterest)
และแล้ววันแห่งการเปลี่ยนแปลงก็มาถึง ในปี 1962 ตอนที่ทั้งสองเดินทางไปพักผ่อนด้วยกันที่เกาะบาหลี ในขณะที่ทั้งสองกำลังยืนเคียงคู่กันเพื่อชมพระอาทิตย์ตกที่บริเวณระเบียงโรงแรม ซูการ์โนค่อย ๆ หันหน้ามาหานาโอโกะ พร้อมกล่าวว่า “ขอให้คุณได้โปรดมาเป็นแรงบันดาลใจ เป็นพลัง และความเบิกบานให้กับชีวิตของผม”
สำหรับหญิงสาวจากญี่ปุ่นนี่คือคำพูดอันหอมหวานที่เธอรอคอยมานานแสนนาน ทั้งคู่เข้าพิธีวิวาห์กันในวันที่ 3 มีนาคม 1962 เธอเปลี่ยนมานับถือศาสนาอิสลาม พร้อมทั้งสละสัญชาติญี่ปุ่น มาใช้สัญชาติอินโดนีเซีย และที่สำคัญที่สุดชื่อของเธอจากเนโมะโตะ นาโอโกะ ก็ถูกเปลี่ยนเป็น รัตนา ส่าหรี เทวี ซึ่งเป็นชื่อที่ป๊ะตั้งให้กับเธอ และมีความหมายอันไพเราะว่า “เทพีผู้เป็นเนื้อแท้ของมณีทั้งปวง”
6
ประธานาธิบดีซูการ์โน และภรรยาคนที่ 6 ของเขา (Source: Pinterest)
แม้จะเป็นปี 1962 ปีที่ยังไม่มี Social Network แต่ข่าวงานวิวาห์ของทั้งคู่กลับแพร่กระจายไปไวมาก ไม่นานแม่และน้องชายของนาโอโกะที่อยู่ญี่ปุ่นก็รู้เรื่องนี้เข้า และรับไม่ได้อย่างมากที่ลูกสาวของตนเองแต่งงานกับชายต่างชาติ ที่เคยมีภรรยามาแล้วถึง 4 คน แถมยังเปลี่ยนไปนับถือศาสนาอิสลามอีก สำหรับสังคมญี่ปุ่นเรื่องแบบนี้ถือว่าก่อให้เกิดความเสื่อมเสียอย่างมากต่อวงศ์ตระกูล
3
แม่ของเธอช้อค จนเสียชีวิต ส่วนน้องชายของเธอทำการฮาลาคีรี คือคว้านท้องตนเองเพื่อฆ่าตัวตาย เรื่องราวทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในเวลาเพียง 26 ชั่วโมง หลังจากเธอเข้าประตูวิวาห์ ตอนนี้เธอกลายเป็นคนไร้ครอบครัวซะแล้ว และคงมีเพียงป๊ะของเธอเท่านั้นที่จะเป็นที่พึ่งให้กับเธอได้ อนาคตในประเทศที่เธอไม่คุ้นชิน ประเทศที่คนส่วนใหญ่ไม่ชอบขี้หน้าเธออยู่ในกำมือของท่านประธานาธิบดีแล้ว
8
รัตนา ส่าหรี เทวี (Source: https://www.tumgir.com/tag/Dewi%20Sukarno)
ชีวิตหลังแต่งงาน
รัตนา ส่าหรี เทวี เริ่มต้นชีวิตแต่งงานของเธอด้วยความโศกเศร้า และเพื่อเป็นการปลอบประโลม ซูการ์โนจึงสร้างบ้านให้เธอหลังหนึ่งบนพื้นที่กว้างขวางถึง 32 ไร่ และให้ชื่อบ้านหลังนี้ว่า “วิสมา ยาโซะ” คำว่า วิสมา แปลว่าบ้าน ส่วนยาโซะ ก็คือชื่อของน้องชายผู้ล่วงลับของเธอนั่นเอง และก็ดูเหมือนว่าแผนการนี้จะสำเร็จ เพราะเธอทุ่มเทเวลาไปกับการตกแต่งบ้าน จนความเศร้าของเธอทุเลาลงไปบางส่วน
1
รัตนา ส่าหรี เทวี และวิสมา ยาโซะ บ้านพักของเธอ (Source: Twitter)
และในฐานะภรรยาอย่างเป็นทางการ แม้จะยังไม่ได้ออกงานมากนัก เพราะกระแสสังคมยังคงมองเธอในแง่ลบอยู่ ถึงขนาดที่ตามถนนในจาการ์ต้ามีการเขียนป้ายประท้วงโดยบรรดานักศึกษาว่า "Stop Importing Wife หยุดนำเข้าเมียได้แล้ว" แต่เธอก็ต้องเริ่มเรียนรู้สิ่งต่าง ๆ เริ่มจากการเรียนภาษาบาฮาซา ขนบวัฒนธรรมของอินโดนีเซีย การแต่งกายด้วยชุดเคบาย่า และหลักคำสอนของศาสนาอิสลาม ถึงขนาดว่าเธอเคยเดินทางไปแสวงบุญที่นครเมกกะเลยทีเดียว
4
เธอกล่าวไว้ว่าในตอนนั้นเธอเหงามาก เพราะเธอแทบจะไม่รู้จักใครในอินโดนีเซียเลย แต่ความรักจากป๊ะของเธอ ทำให้เธอรู้สึกอิ่มเอมใจอยู่เสมอ ป๊ะมักจะส่งข้อความบอกรักมาหาเธออยู่เป็นประจำ เช่น “ ถึงแม้กายของผมจะต้องอยู่ในที่ประชุมของคณะรัฐมนตรี แต่หัวใจของผมก็ลอยไปอยู่ที่คุณเสมอ” หรือ “รู้มั้ยว่าความรักของผมที่มีต่อคุณนั้น ยืดยาวยิ่งกว่าเส้นผมของคุณเสียอีก (ตอนนั้นเธอไว้ผมยาวกว่าบั้นเอว)”
6
รัตนา ส่าหรี เทวี และประธานาธิบดีซูการ์โน (Source: Pinterest)
สื่อของอินโดนีเซียถูกควบคุมอย่างหนัก ไม่ให้มีการพูดถึงรัตนา ส่าหรี เทวี แต่แน่นอนว่าสื่อต่างชาติย่อมเล่นข่าวนี้กันอย่างสนุกปาก โดยเฉพาะสื่อของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งมักจะเขียนข่าวโคมลอย และกล่าวหาเธอเสียๆหาย ๆ อยู่เป็นประจำ โดยเฉพาะเรื่องปูมหลังของเธอที่เป็นสาวบาร์
4
ส่วนรัฐบาลญี่ปุ่นก็อยู่ในภาวะกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เพราะรู้อยู่เต็มอกว่าถ้าผูกมิตรกับเธอ เธอจะกลายเป็นกระบอกเสียงของรัฐบาลญี่ปุ่น ที่จะช่วยให้บริษัทต่าง ๆ ได้งานสัมปทานของรัฐบาล แต่รัฐบาลก็ไม่อยากจะไปสุงสิงกับผู้หญิงที่มีเบื้องหลังเป็นคนทำงานกลางคืนมาก่อนเช่นกัน
5
ทั้งสองเรื่อง เป็นสิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกไม่ดีเป็นอย่างมากกับประเทศญี่ปุ่น โดยเฉพาะสื่อมวลชน ซึ่งความแค้นของเธอที่สะสมไว้จะได้รับการชดใช้ในภายหลัง ในตอนนี้เธอยังคงต้องเก็บตัวเงียบ จนกว่าป๊ะของเธอ พร้อมที่จะนำเธอออกสู่สายตาชาวอินโดนีเซีย และชาวโลก
รัตนา ส่าหรี เทวี รอวันที่เธอจะได้รับการแนะนำสู่ชาวโลก โดยป๊ะของเธอ (Source: Pinterest)
สานสายป่าน เจรจาต่อรอง
หลังจากที่ทนรอมานาน ในที่สุดวันสำคัญอีกวันหนึ่งในชีวิตของเธอก็มาถึง เมื่อนายฮายาโตะ อิเคดะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เดินทางมาเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซียอย่างเป็นทางการ พร้อมกับภรรยา ประธานาธิบดีซูการ์โน ถือโอกาสควงรัตนา ส่าหรี เทวีออกในงานเลี้ยงต้อนรับ พร้อมกับแนะนำเธอกับท่านนายกรัฐมนตรีอิเคดะว่า “นี่คือภรรยาของผม” นำความปลาบปลื้มมาให้เธอยิ่งนัก เพราะนอกจากครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่ป๊ะของเธอ แนะนำเธอในฐานะภรรยาแล้ว รัฐบาลญี่ปุ่นจะไม่สามารถปฏิเสธความสำคัญและการมีอยู่ของเธอได้อีกต่อไป
3
ในที่สุดเธอก็ได้รับการเปิดตัวสู่สังคม ว่าเป็นภรรยาอย่างเป็นทางการของประธานาธิบดีซูการ์โน (Source: yahoo.com)
หลังจากวันนั้นเธอก็ได้พยายามทำทุกวิถีทาง เพื่อให้ตนเองก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งภรรยาเบอร์หนึ่ง ทั้งการใช้เล่ห์เหลี่ยมในการผูกมิตรกับฑูตประเทศต่าง ๆ การเชิญตัวเองไปงานเลี้ยงสำคัญ ๆ ในแวดวงสังคมชั้นสูงของอินโดนีเซีย จนในที่สุดเธอก็ได้รับตำแหน่ง “ที่ปรึกษาพิเศษของประธานาธิบดี” ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ไม่เคยมีภรรยาคนใดของซูการ์โนได้รับมาก่อนเลย
3
แน่นอนมีคนมากมายออกมาคัดค้านเรื่องนี้ เป็นไปได้ยังไงที่ประธานาธิบดีที่มีดีกรีเป็นนักศึกษาปริญญาเอกด้านวิศวกรรม จะเอาผู้หญิงไร้ประสบการณ์ที่จบแค่ ม.ปลายมาเป็นที่ปรึกษา หลายคนสรุปว่าที่ซูการ์โนทำเช่นนี้เป็นเพราะแค่หลงเธอ และอยากทำให้เธอพอใจมากกว่า แต่เมื่อมีคนไปถาม รัตนา สาหรี่ เทวี เธอกลับให้คำตอบที่น่าสนใจว่า ถ้าคุณเป็นประธานาธิบดีที่ยืนอยู่บนภูเขาไฟฟูจิ แล้วมองลงมาเบื้องล่างที่มีแต่เมฆบดบัง เมฆพวกนั้นก็เหมือนกับคนรายล้อมที่คอยแต่จะเอาใจท่าน แต่เธอเป็นคนตรงไปตรงมาไม่เหมือนผู้หญิงทั่วไป และเธอสามารถให้ความเห็นตรง ๆ กับท่านประธานาธิบดีได้ โดยไม่ต้องกลัวเกรงสิ่งใด
9
ความรักหวานชื่น (Source: Pinterest)
และในเมื่อเธอมีตำแหน่งทางการเมือง รัฐบาลญี่ปุ่นซึ่งตอนนี้ปฏิเสธการมีอยู่ของเธอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว จึงตัดสินใจมาขอความช่วยเหลือจากเธอ ให้เป็น “คนกลาง” เพื่อประสานงานระหว่างบริษัทญี่ปุ่น และรัฐบาลอินโดนีเซียแทน
1
ด้วยความสามารถในการพูดได้ทั้งภาษาญี่ปุ่น และภาษาบาฮาซา การเป็นคนฉลาดเฉลียว มีไหวพริบ และรู้จักต่อรอง ทำให้เธอสามารถทำหน้าที่นี้ได้เป็นอย่างดี เงินลงทุนจากญี่ปุ่นจำนวนมหาศาลหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย รวมถึงทุนการศึกษามากมายจากรัฐบาลญี่ปุ่นที่มอบให้กับนักศึกษาชาวอินโดนีเซีย มีรายงานฉบับหนึ่งถึงกับเขียนไว้ว่า “ธุรกิจทุกอย่างของญี่ปุ่น จะไม่สามารถเริ่มได้ในอินโดนีเซีย ถ้าไม่ได้รับอนุญาตจากเธอ” ส่วนตัวเธอเองก็ได้ค่าตอบแทนจำนวนมหาศาล และถ้าคิดว่าเธอจะนำเงินไปใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแล้วละก็ นั่นคือความคิดที่ผิด เพราะเงินที่เธอหาได้มานั้นมีการนำไปลงทุนต่อเนื่อง เปิดเป็นบริษัทหลายบริษัทที่เธอเป็นเจ้าของเพื่อทำการค้าขายต่อยอด
16
รัตนา ส่าหรี เทวี ในชุดเคบาย่า (Source: Pinterest)
การที่เธอเป็นคนกลางที่เก่ง และมีประสิทธิภาพ ทำให้ในเวลาไม่นานวิสมา ยาโซะของเธอ ไม่ได้มีเพียงนักธุรกิจญี่ปุ่นที่เดินเข้าออกเท่านั้น นักธุรกิจชาวอินโดนีเซีย นักการเมืองท้องถิ่น หรือเจ้าหน้าที่ทหาร ต่างก็เดินทางเข้ามาพบเธอ เพื่อให้เธอส่งต่อความต้องการของพวกเขาต่อไปให้กับท่านประธานาธิบดี ซึ่งเธอก็ทำให้ด้วยความเต็มใจ
1
ที่สำคัญที่สุดคือเธอยังสานสัมพันธ์กับนายพลซูฮาร์โต ซึ่งเป็นผู้นำกองทัพในขณะนั้น เธอรู้ดีว่าถ้าผู้นำกองทัพเกิดไม่พอใจขึ้นมา ก็สามารถทำรัฐประหารเข้ายึดประเทศได้ทันที ดังนั้นเธอจึงมักเชิญนายพลซูฮาร์โต้ และภรรยา มาทานข้าวที่วิสมา ยาโซะ อยู่เสมอ แถมยังไปเรียนกอล์ฟ เพื่อออกรอบกับนายพลซูฮาร์โต้อีกด้วย
4
อิริยาบถน่ารัก ๆ ของรัตนา ส่าหรี เทวี (Source: Alarmy)
แม้หลายคนจะยังมองเธอว่าเป็น “นังเกอิชาชั้นต่ำ” อยู่ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าเธอกลายมาเป็นผู้หญิงที่ทรงอิทธิพล ทั้งในแวดวงธุรกิจและการเมืองของอินโดนีเซีย การกระทำหลายอย่างของเธอแสดงให้เห็นว่าเธอไม่ใช่ผู้หญิงไร้สมอง แต่มีหัวทางธุรกิจ และการเจรจาเป็นอย่างดี แน่นอนว่าเธอไม่สามารถสลัดปูมหลังของเธอไปได้ แต่เธอก็ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เธอไม่ใช่คนที่จะยอมแพ้ต่อคำครหาต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ
3
ความมั่นคงเริ่มสั่นคลอน
1
สิ่งหนึ่งที่รัตนา ส่าหรี เทวี มักจะบอกกับสื่อเสมอคือ ความรักที่เธอมีต่อป๊ะ เธอบอกว่าทุกอย่างที่เธอทำไป ก็เพื่อความสุขและประโยชน์ของประธานาธิบดีซูการ์โน และเพื่ออินโดนีเซีย เธอเคยกล่าวไว้ว่า "ถ้าจะมีการสร้างอนุสาวรีย์เพื่อรำลึกถึงประธานาธิบดีซูการ์โน เธอก็ยินดีที่จะสละตัวเองเพื่อเป็นฐานของอนุสาวรีย์"
6
รัตนา ส่าหรี เทวี และป๊ะของเธอ (Source: Pinterest)
แต่แม้ป๊ะจะรักเธอมากแค่ไหน ความสวยงามของอิสตรีก็ยังคงเป็นจุดอ่อนของเขาอยู่ ในปี 1963 เพียง 4 ปี หลังแต่งงานกับรัตนา ส่าหรี เทวี ซูการ์โนก็แต่งงานอีกครั้งกับสาวสวยนามว่าฮาร์ยาตี ซึ่งเป็นนางรำที่ทำงานให้กับกระทรวงวัฒนธรรม ตอนนั้นฮาร์ยาตีอายุ 23 ปี ในขณะที่ซูการ์โนอายุ 63 ปี
6
และในปี 1964 ป๊ะก็แต่งงานอีกครั้งกับสาววัย 18 ปี นามว่า ยูรีเก ซันเกอร์ นับว่าเป็นภรรยาคนที่ 7 ของซูการ์โน ในตอนแรกเธอรับไม่ได้เลยที่ป๊ะของเธอ จะมีภรรยาใหม่ แต่สุดท้ายเธอก็สามารถทำใจยอมรับได้ เธอคงคิดว่ายังไงเธอคงไม่สามารถห้ามไม่ให้สามีของเธอมีผู้หญิงคนอื่นได้ เธอจึงมองอยู่อย่างห่าง ๆ เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีภรรยาคนไหนได้รับการโปรโมทขึ้นมาเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งเทียบเท่ากับเธออีก
6
ยูรีเก ซันเกอร์ ภรรยาคนที่ 7 ของประธานาธิบดีซูการ์โน (Source: https://www.kaskus.co.id)
ถ้าถามว่าซูการ์โน รักภรรยาคนไหนมากที่สุด เรื่องนี้คงตอบยาก และแน่นอนว่าท่านประธานาธิบดีต้องตอบว่าความรักของเขาที่มีต่อภรรยาทุกคนนั้นย่อมเท่าเทียมกัน แต่จริง ๆ แล้วเขาเคยให้คำตอบไว้จากการสัมภาษณ์ครั้งหนึ่งด้วยประโยคที่มีใจความว่า “เขาไม่เคยพบเจอภรรยาคนไหนที่ทุ่มเทชีวิตให้กับเขาเท่ากับฮาร์ตินี่เลย ดังนั้นถ้าเขาตาย ขอให้เอาเขาไปฝังในหลุมศพข้าง ๆ หลุมศพของฮาร์ตินี่ และเขายังมีภรรยาอีกคนที่เขารักหมดหัวใจ เธอคือ รัตนา ส่าหรี เทวี ถ้าเธอตาย จงนำร่างของเธอไปฝังไว้ในหลุมศพเดียวกับเขา เพราะเขาปรารถนาที่จะอยู่กับเธอตลอดไป” อ่านประโยคนี้จบ คงพอเดาได้นะครับว่าซูการ์โน รักภรรยาคนไหนมากที่สุด
3
แต่เรื่องความรัก ถือว่าเป็นเรื่องเล็ก เมื่อเทียบกับเรื่องที่กำลังเกิดขึ้นในอินโดนีเซีย ตอนนี้บรรยากาศทางการเมืองของประเทศที่เคยสงบสุข เริ่มเข้าสู่ภาวะตึงเครียด ในตอนนั้นโลกเข้าสู่ภาวะสงครามเย็น มีการต่อสู้กันระหว่างแนวคิดประชาธิปไตย และแนวคิดคอมมิวนิสต์อย่างรุนแรง ซึ่งส่งผลให้เกิดสงครามเกาหลี สงครามเวียดนาม รวมถึงในประเทศไทยเอง ก็ต้องต่อสู้กับแนวร่วมคอมมิวนิสต์เช่นกัน
5
สัญลักษณ์ของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย (Source: wikipedia)
อินโดนีเซียในฐานะประเทศที่มีประชากรมาก แถมยังมีทรัพยากรน้ำมัน ย่อมเป็นที่ต้องการของทั้งสหรัฐอเมริกา และสหภาพโซเวียตในการที่จะทำให้ประเทศนี้กลายมาเป็นพวกของตนเอง แต่ประธานาธิบดีซูการ์โนก็ได้ประกาศอย่างเป็นทางการว่าอินโดนีเซียจะดำเนินนโยบายเป็นกลาง และไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด เขายังอนุญาตให้มีการจัดตั้งพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งเหตุผลเบื้องลึกจริง ๆ แล้ว แม้เขาจะดำเนินการบริหารประเทศด้วยระบอบประชาธิปไตย แต่ก็เป็นประชาธิปไตยกึ่งสังคมนิยม ที่ประธานาธิบดีซูการ์โนมีตำแหน่ง President For Life หรือประธานาธิบดีตลอดชีวิต และพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย ก็คือผู้สนับสนุนสำคัญของประธานาธิบดีซูการ์โนนั่นเอง
8
ประธานาธิบดีซูการ์โน ในช่วงที่อินโดนีเซียกำลังเข้าสู่ภาวะตึงเครียด (Source: Shutterstock)
รอยร้าวเริ่มปรากฏระหว่างประธานาธิบดีซูการ์โน และนายพลซูฮาร์โต กองทัพเริ่มเห็นว่าซูการ์โนโอนอ่อนผ่อนปรนต่อการลุกฮือของชนเผ่าต่าง ๆ รวมถึงฝักใฝ่คอมมิวนิสต์มากเกินไป จึงเริ่มมีข่าวว่าทั้งสองเกิดการไม่ลงรอยกันหลายครั้ง และนายพลซูฮาร์โต้ ก็กำลังวางแผนลับ ๆ ในการโค่นประธานาธิบดีคนนี้ให้ลงจากตำแหน่งอยู่
1
นายพลซูฮาร์โต้ ที่มีข่าวว่ากำลังวางแผนลับโค่นล้มประธานาธิบดีซูการ์โน (Source: https://sawadee.wiki/wiki/Suharto)
เดินทางสู่ต่างประเทศ
การเป็นสตรีหมายเลขหนึ่งย่อมจะไม่สมบูรณ์ ถ้าหากว่ายังไม่ได้มีการเดินทางออกนอกประเทศ และทำงานด้านสังคมสงเคราะห์ ดังนั้นเธอจึงหาทางที่จะทำทั้ง 2 สิ่งไปพร้อม ๆ กัน เริ่มจากการตั้ง “มูลนิธิส่าหรี อาซิห์” ขึ้นมา และตัดสินใจที่จะสร้างโรงพยาบาลที่ทันสมัยใจกลางกรุงจาการ์ตา
2
และเพื่อเป็นการระดมทุน ประเทศแรกที่เธอตัดสินใจเดินทางไปเยือนคือประเทศญี่ปุ่นบ้านเกิดของเธอเอง เธอทำใจยอมรับว่าสื่อมวลชนญี่ปุ่นจะต้องทำข่าวของเธออย่างเอิกเกริกแน่นอน และก็เป็นไปอย่างนั้นจริง ๆ เรื่องราวต่าง ๆ ในสมัยก่อนของเธอถูกขุดคุ้ยขึ้นมา บางแห่งถึงกับเปรียบเทียบเธอว่า เป็นเหมือนกับโสเภณี ผู้ชายญี่ปุ่นต่างก็ไม่พอใจที่เธอบังอาจไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการบ้านเมืองของสามีซึ่งเป็นสิ่งที่หญิงชาวญี่ปุ่นไม่ควรกระทำ
2
รัตนา ส่าหรี เทวี ในชุดแบบตะวันตก (Source: https://www.tumgir.com/tag/Dewi%20Sukarno)
แต่อย่าลืมว่าเธอคือผู้มีอิทธิพลในอินโดนีเซีย และญี่ปุ่นก็ยังคงต้องการเธอ ดังนั้นเธอจึงสามารถระดมทุนได้มากถึง 3,700,000 ดอลล่าร์ นับว่าเป็นความสำเร็จที่สวยงามทีเดียว
3
หลังจากนั้นเพื่อให้โรงพยาบาลที่สร้างมีความทันสมัยทัดเทียมกับชาติตะวันตก เธอจึงตัดสินใจออก “ทริป” เพื่อไปดูงานที่ยุโรป แม้ว่าจะมีแต่คนเห็นเธอเดินช้อปปิ้ง หรือไปงานเลี้ยง หรือแฟชั่นโชว์มากกว่าที่จะเดินทางไปเยี่ยมเยียนโรงพยาบาลตามที่เธอกล่าวอ้างก็ตาม
2
รัตนา ส่าหรี เทวี ตอนที่เดินทางมายังกรุงลอนดอน (Source: Pinterest)
รอยร้าวครั้งที่ 1
ในวันที่ 1 ตุลาคม 1965 เช้าวันนั้นประธานาธิบดีซูการ์โนออกเดินทางไปทำงานตามปกติ แต่ปรากฎว่ามีสายรายงานเข้ามาว่ามีนายทหารบางคนได้ก่อรัฐประหารขึ้น และเข้าล้อมทำเนียบประธานาธิบดีเอาไว้ ทำให้ซูการ์โน ต้องรีบเลี้ยวรถไปยังที่บ้านพักแห่งหนึ่งแทน
1
สถานการณ์อยู่ในภาวะตึงเครียดทันที มีการประกาศว่ามีนายทหารระดับผู้ใหญ่ 6 คนถูกสังหาร โดยผู้อยู่เบื้องหลังคือกลุ่มที่ได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย ซึ่งผู้ที่ให้ข่าวนี้ก็ไม่ใช่ใครอื่น เขาคือนายพลซูฮาร์โต้ ที่กำลังดำเนินตามแผนการขั้นแรกของเขานั่นเอง เขาได้สั่งให้ทหารเข้ายึดสถานีวิทยุและโทรทัศน์ พร้อมประกาศว่าการกระทำในครั้งนี้เป็นฝีมือของพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซีย
3
หนังสือและแผ่นพับ ต่อต้านพรรคคอมมิวนิสต์ (Source: wikipedia)
ตั้งแต่ตอนนั้น จนถึงปี 1967 มีสมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์อินโดนีเซียถูกสังหารไปเป็นจำนวนมาก ว่ากันว่ามีประชาชนผู้บริสุทธิ์กว่า 1 ล้านคนต้องเสียชีวิตจากการถูกกวาดล้างในครั้งนี้ และถือเป็นการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ครั้งใหญ่เป็นอันดับสองของโลก รองจากการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ยิวของฮิตเลอร์ น่าเศร้าที่คนส่วนใหญ่มักจะไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเหตุการณ์ในครั้งนี้ซักเท่าไร
8
ภายหลังได้มีการเปิดเผยว่าหนึ่งในกลุ่มที่อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์รัฐประหารในครั้งนี้คือหน่วยงาน CIA ของอเมริกา และ MI-6 ของอังกฤษ เพราะพวกเขาไม่ไว้วางใจนายพลซูการ์โน เนื่องจากเขาได้รับการสนับสนุนจากพรรคคอมมิวนิสต์ และตัดสินใจที่จะผลักดันนายพลซูฮาร์โต้ขึ้นมาเป็นผู้นำคนใหม่แทนนั่นเอง
4
ในช่วงที่เหตุการณ์กำลังตึงเครียดอยู่นั้น รัตนา ส่าหรี เทวี และป๊ะของเธอต่างเขียนจดหมายตอบโต้กันไปมา โดยหลายครั้งเธอได้ให้ความเห็นทางการเมืองและกลยุทธ์ต่าง ๆ ซึ่งสามีของเธอก็รับฟังเป็นอย่างดี และจดหมายทุกฉบับย่อมจะต้องลงท้ายด้วยประโยครักหวานหยดย้อยเสมอ
5
ในปลายปี 1965 รัตนา ส่าหรี เทวี ได้ทำการจัดการให้ประธานาธิบดีซูการ์โน และนายพลซูฮาร์โต้ ถ่ายภาพร่วมกัน เพื่อสยบข่าวลือเรื่องการไม่ลงรอยกันของคนทั้งสอง จากนั้นเธอก็บินกลับไปยุโรปเพื่อไปศึกษาดูงานด้านโรงพยาบาลต่อ โดยที่เธอไม่รู้เลยว่าการถ่ายภาพร่วมกันของคนทั้งสอง ไม่ได้ช่วยให้สถานการณ์อะไรดีขึ้นมาเลย
3
ประธานาธิบดีซูการ์โน และนายพล ซูฮาร์โต้ ถ่ายภาพร่วมกัน (Source: Pinterest)
หกระเหเร่ร่อน
1
เธอเริ่มเดินทางจากโตเกียว ไปยังลอนดอน ปารีส และโรมตามลำดับ และก็เหมือนเดิม เธอยังคงโผล่ไปตามงานเลี้ยงหรูหรา และงานแฟชั่นโชว์ของห้องเสื้อชั้นนำ มากกว่าที่จะเดินทางไปดูงานตามโรงพยาบาล
2
รัตนา ส่าหรี เทวี ตอนไปเยือนกรุงโรม พร้อมเข้าชมเสื้อผ้าของห้องเสื้อ Fontana (Source: Alarmy)
แต่เราต้องไม่ลืมว่าสื่อมวลชนของตะวันตกนั้น ไม่ได้ใจร้ายกับเธอเหมือนกับสื่อของญี่ปุ่น พวกเขาต่างก็รู้สึกประทับใจกับรูปร่างหน้าตาที่สวย และเรื่องราวของเธอ จนมีสำนักข่าวหนึ่งถึงกับกล่าวว่า เธอสวยเท่าที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะสวยได้ ดังนั้นงานปาร์ตี้ไหนที่มีเธอไปร่วมงาน ก็ย่อมที่จะได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนเป็นอย่างมากเช่นกัน
1
เมื่อทริปของเธอจบลง และเธอเดินทางกลับสู่อินโดนีเซีย สถานการณ์ในประเทศกลับไม่เป็นอย่างที่เธอคิด รูปที่ประธานาธิบดีซูการ์โน และนายพลซูฮาร์โตถ่ายร่วมกันไม่อาจประสานความบาดหมางของทั้งสองได้ ประชาชนมากมาย โดยเฉพาะคนอินโดนีเซียเชื้อสายจีน ถูกจับ และนำมาทรมาน เนื่องจากโดนกล่าวหาว่าไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคคอมมิวนิสต์ ทำให้ความสัมพันธ์หว่างจีนกับอินโดนีเซียเข้าขั้นวิกฤต
6
ข่าวคนอินโดนีเซีย เชื้อสายจีนโดนทำร้ายจากการประท้วงในปี 1967 (Source: abebooks.com)
แน่นอนว่ารัตนา ส่าหรี เทวีย่อมไม่พ้นจากการโจมตี ขบวนประท้วงของนักศึกษาเดินทางไปถึงหน้าบ้านของเธอที่ วิสมา ยาโซะ พร้อมกับตะโกนขับไล่เธอด้วยถ้อยคำหยาบคายต่าง ๆ นานา จนสุดท้ายก็มีสารจากนายพลซูฮาร์โต้ ส่งมาหาเธอว่า “เธอควรที่จะเดินทางออกไปต่างประเทศเพื่อไปพักผ่อนเสียบ้าง” ซึ่งไม่ต้องบอกก็รู้ว่าความหมายของสารฉบับนี้คือ ให้เธอรีบไสหัวออกไปจากประเทศนี้ได้แล้ว
2
ในส่วนของประธานาธิบดีซูการ์โน อำนาจล้นฟ้าของเขาก็ถูกริดรอนลงไปเรื่อย ๆ ในเมื่อไม่มีแรงสนับสนุนจากทหาร และหน่วยงานต่าง ๆ เขาก็เหมือนเสือแก่ปราศจากเขี้ยวเล็บ จนสุดท้ายเขาก็ถูกบังคับให้สละอำนาจ และแต่งตั้งนายพลซูฮาร์โต้ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีรักษาการณ์แทนในเดือนกุมภาพันธ์ 1967 และเพียง 1 เดือนถัดมา เขาก็ถูกถอดถอนตำแหน่งประธานาธิบดี และถูกจองจำอยู่ในทำเนียบประธานาธิบดีที่เมืองบอกอร์ โดยห้ามมีการติดต่อกับคนภายนอก มีเพียงฮาร์ตินี่ ภรรยาคนที่สี่ และลูกสาวจากภรรยาคนแรกของเขานามว่า รัชมาวาตี ที่สามารถเข้ามาดูแลปรนนิบัติเขาได้ จากคนที่นำพาเอกราชมาสู่อินโดนีเซีย เขากลับโดนคนสนิทหักหลังืและกลายมาเป็นนักโทษในวัยชรา
4
นายพลซูฮาร์โต้ เข้าพิธีสาบานเพื่อรับตำแหน่งประธานาธิบดีชั่วคราวจากซูการ์โน (Source: Pinterest)
และในตอนนั้นเองที่รัตนา ส่าหรี เทวี พบว่าตนเองกำลังตั้งครรภ์ เรื่องนี้ควรนำพาความยินดีมาให้กับทั้งสอง แต่สถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนไม่เอื้ออำนวย และในที่สุดประธานาธิบดีซูการ์โนคือคนที่แนะนำให้เธอเดินทางไปคลอดลูกที่ประเทศญี่ปุ่น เพื่อความปลอดภัยของตัวเธอเอง และทายาทของเขาที่กำลังจะเกิดมา
4
รัตนา ส่าหรี เทวี (Source: Pinterest)
เป็นยังไงกันบ้างครับกับตอนแรกของชีวิตผูหญิงคนนี้ ตอนหน้าผมจะพาทุกคนไปรู้จักกับชีวิตช่วงหลังของเธอหลังจากที่ป๊ะของเธอ โดนกักบริเวณ และเธอต้องเดินทางไปใช้ชีวิตอยู่ในต่างแดน รับรองว่าสนุกไม่แพ้กับชีวิตในช่วงแรกของเธอแน่นอนครับ
4
ติดตามเรื่องราวตอนที่ 2 ได้ที่
1
Source:

ดูเพิ่มเติมในซีรีส์

โฆษณา